สวัสดีคะเพื่อนเพื่อน หลังจากห่างหายจากวงการบันเทิง เอ๊ยไม่ใช่ ห่างหายจากหมู่บ้านสองภาษาไปนาน วันนี้ขออนุญาติมาเขียนเล่าหน่อยนะคะ มีหลายคนเคยถามว่าจะให้ลูกเข้าโรงเรียนก่อนสามขวบดีไหมเอ่ย โดยส่วนตัวแล้วก็คิดว่ามีข้อดีข้อเสียอยู่เหมือนกัน ตอนนี้ไทคิสองขวบเจ๊ดเดือนแล้วคะ แล้วก็มีโอกาสได้มาหาญาติที่ออสเตรเลียก็เลยอยากให้เขาได้มีโอกาสเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากการอยู่ร่วมกันกับเด็กฝรั่งเลยกะว่าจะลองให้เข้าไปเนิสเซอรี่สักหนึ่งเดือน แต่พอหลังจากไปเรียนได้แค่หกวันก็หยุดไปแล้วคะ เพราะไทคิไม่มีความสุข ที่จะไป มันอาจจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นสั้น ถ้าเขาอยู่ต่อไปนานกว่านี้เขาอาจจะปรับตัวได้ก็ได้คะ คุณครูบอกเช่นนั้น เด็กที่อยู่เนอเซอรี่ตั้งแต่เด็กก็จะปรับตัวได้เร็ว ถ้าโตแล้วอย่างเช่นไทคิสองขวบกว่าแล้วมาเข้าก็อาจปรับตัวได้ช้า แล้วอีกอย่างไทคิติดแม่มากเลยยิ่งช้าไปกันใหญ่ วันแรกที่ไปโรงเรียน ช่วงที่ไทคิไปเนอสเซอรี่ อ้อมได้ไปคอยสังเกตการอยู่กับลูกด้วย โดยสามวันแรกอยู่กับเขาทั้งวัน อีกสามวันหลังอยู่แค่แป๊บเดียวแล้วก็ทิ้งไว้กับครู เท่าที่สังเกตเห็น
ข้อดีของการไปเนอสเซอรี่ก็คือ
1 เด็กได้มีสังคมที่ใหญ่ออกไปนอกเหนือจากสังคมที่บ้าน
2 รุ้จักช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น กินข้าวได้เอง เข้าห้องนำได้เอง เพราะเห็นเพื่อนทำเลยทำตาม สอนได้ง่ายเพราะมีตัวอย่าง
3 พูดเก่งขึ้น เพราะได้ยินครูพูดเพื่อนพูด
ข้อเสีย
1 แพง
เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับครอบครัวปานกลางอย่างเรา จุดประสงค์ที่ให้ลูกไปเนอสเซอรี่ ของอ้อมจุดหลักคืออยากให้เขาได้เรียนภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ แต่เท่าที่สังเกตลูกเราแล้วตั้งแต่เขายังเด็กพาไปเล่นที่ศูนย์เด็กเล่นต่างต่าง จนพามาเนอสเซอรี่ที่นี้ ก็สังเกตุได้ว่าเด็กในวัยนี้เขาชอบที่จะเล่นคนเดียว อันนี้สังเกตเด็กคนอื่นด้วยนะคะ ก็เห็นเขาเล่นใครเล่นมัน ไม่รู้ลูกท่านอื่นเป็นแบบลูกเราหรือเด็กที่เราเคยเห็นหรือเปล่า ถึงแม้ว่าจะมีเด็กมากมายอยู่ด้วย เขาก็จะยังไม่เล่นกันไม่ค่อยคุยกัน เล่นอยู่คนเดียว เลยรู้สึกไม่คุ้มเลยอะ กับเงินที่เสียไป คิดมากไปเปล่าไม่รู้อิอิ แต่ว่าพาไปเรียนที่จิมโบรี หรือ เบบี้จีเนียสนั้นน่าจะดีกว่า เพราะอันนั้นเขาสอนพัฒนาการโดยตรงแล้วก็ได้เรียนไปกับพ่อแม่ด้วย เด็กก็มีความสุข สรุปแล้วที่เนอเซอรี่ก็ได้ภาษาบ้าง แต่ไม่ได้มากอย่างที่หวังไว้ ถ้าเรามีเวลา สะดวก และสามารถสอนลูกเองได้ ก็น่าจะสอนเองดีกว่าในช่วงนี้ แต่ถ้าไม่ห่วงว่าแพงก็ตามสบายได้เลยคะ
2 การถูกรังแก
สังคมที่ใหญ่ออกไปนี้ไม่แน่ใจว่าจะดีสำหรับเด็กวัยก่อนสามขวบหรื่อไม่ เพราะบางครั้งเด็กที่ตัวเล็กกว่าก็จะถูกเด็กที่ตัวใหญ่กว่ารังแก หรือเด็กที่อายุน้อยกว่าก็จะโดนรังแก หรือบางที่ลุกเราตัวใหญ่ก็จริงแต่บางทีเขาก็จะถูกรังแกโดยเด็กที่ชอบแกล้งคนอื่น ที่โรงเรียนนี้เขาจะเอาเด็กอายุประมาณสองขวบถึงสามขวบอยู่ในชั้นเดียวกัน แต่เด็กเล็กช่วงนี้อายุที่ต่างกันแค่เดือนเดียว ความสามารถต่างต่างก็ต่างกันด้วย ดิฉันเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งซึ่งตัวโตกว่าเด็กผู้หญิงอีกคน เอาแขนรัดคอเด็กผู้หญิงคนนั้น แทบหายใจไม่ออก แค่นึกว่าถ้าเด็กคนนั้นเป็นไทคิ แล้วจะน่าสงสารแค่ไหน ถ้าเราปล่อยลูกให้อยู่เนอเซอรี่ในขณะที่เราไม่ได้อยู่กับเขา ซึงปรกติแล้วพ่อแม่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยอยู่แล้ว แล้วก็เห็นเด็กอีกคนหนึ่งเอาเครืองดนตรีที่ใช้เคาะจังเหวาะ เอาไปตีหัวเด็กอีกคนหนึ่งอย่างแรง บางคนก็เอามือไปหยิกหน้าอีกคน ซึ่งครูเองก็ดูแลไม่ทั่วถึง ตลอดเวลา ต่อให้ครูจะดีแค่ไหนก๊ตาม แม่แต่พ่อแม่เองมีลูกสองสามคนยังดูแลไม่ได้ตลอดเวลาเลย ช่วงเวลาที่ปล่อยให้เด็กเล่นกันบางคนก๊ปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้เด็กคนนั้นน่าจะประมาณขวบกับอีกสิบเอ็ดเดือนเห็นจะได้ นึกภาพไม่ออกเลยถ้าตกลงมาจะเป็นอย่างไร
เรื่องการแกล้งกันของเด็กเล็กครูก็มักจะบอกว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นเรื่องของการเรียนรู้ แต่โดยส่วนตัวคิดว่ามันคุ้มแล้วหรือที่จะปล่อยให้ลูกวัยก่อนสามขวบต้องไปเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าเราจะเลี้ยงเขาเหมือนไข่ในหินปกป้องไม่ให้เจอกับอันตราย แต่ในวัยก่อนสามขวบควรจะเป็นวัยที่เขาได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ จากคนที่รักเขาและคนที่เขารัก เพราะหลังจากสามขวบไปเขาก็เหมือนต้องเริ่มก้าวออกจากอกเราเพื่อไปเรียนรู้ ดังนั้นเราควรปล่อยให้เขาไปโรงเรียนในวัยที่เขาพร้อมจะไปไม่ดีกว่าหรือ ให้เขาไปเรียนเมือเขาสามขวบเเล้วอย่างน้อยเขาก็รุ้จักที่จะป้องกันตนเอง รู้จักบอกครูถึงความต้องการของตนเอง รู้จักบอกพ่อแม่เมื่อเราถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียน
แปลกไหมคะทีคนเขียนหนังสือกว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้วเป็นคนญี่ปุ่น แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นเนอเซอรี่ส่วนใหญ่แล้วที่รับเด็กวันก่อนสามขวบนั้น มีไว้สำหรับผู้ปกครองที่มีความจำเป็นต้องไปทำงานไม่สามารถเลียงลูกอยู่ที่บ้านได้ ดังนั้นใครก็ตามที่มีความจำเป็นก็จะได้รับสิทธิ์ก่อน ไม่ใช่ว่าอยู่บ้านเลี้ยงลูกเฉยเฉย แล้วก็จะเอาไปไว้เนอเซอรี่ได้ เพราะจุดประสงค์ของเนอเซอรี่ที่ประเทศนี้ไม่ได้มีไว้เพือให้เด็กไปพัฒนาศักยภาพที่โรงเรียนก่อนวัยสามขวบ ที่โรงเรียนก็มิได้สอนอะไรเป็นพิเศษเลย สำหรับตัวดิฉันเองก็คิดว่าผู้ที่เขียนหนังสือเขาคงอยากให้พ่อแม่เอาใจใส่ดูแลลูกเป็นพิเศษในช่วงวัยก่อนสามขวบ อันนี้คิดเอาเองอีกแล้ว เพราะเด็กมีศักยภาพ และผู้ที่จะทำให้ศักยภาพเหล่านี้งอกงามได้ก็น่าจะเป็นพ่อแม่ไม่ใช่โรงเรียนที่ต้องดูแลเด็กหลายหลายคน
You need to be a member of หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ to add comments!
Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้