ครูหยุย-วัลลภ ตั้งคณานุรักษ์" กรรมการเลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ถึงมุมมองความเข้าใจต่อเด็กไทย เพื่อเป็นตัวช่วยให้พ่อแม่นำไปปรับใช้ และรับมือกับเด็กพันธุ์ใหม่ในปี 2010 นี้ ซึ่งทัศนะที่มีต่อเด็กในวันนี้ ครูหยุยมองว่า เด็กไทยมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ปัญหาของเด็กในอดีตที่เคยเป็นเรื่องไกลตัวผู้ใหญ่ ปัจจุบัน กลับกลายเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากขึ้น เช่น เด็กซิ่ง เด็กแว้นซ์ เด็กเที่ยว เด็กติดเกม เด็กไม่อยากเรียนหนังสือ ปัญหาเด็กที่เกิดขึ้น มาจากหลายปัจจัยร่วมกันคือ โลกทุกวันนี้ กลายเป็นโลกใบเดียวกัน เด็กรับรู้ได้ง่าย และรวดเร็ว ไม่ว่าใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เกาหลีคิดอะไร เทรนด์เพลง และการแต่งตัวตอนนี้เป็นอย่างไร สามารถเข้าถึงได้ง่าย รวมไปถึง เวลาอยากได้อะไร กลับไม่ต้องดิ้นรนเหมือนเมื่อก่อน เพราะฉะนั้น เด็กรุ่นใหม่ จึงก้าวล้ำเร็ว โดยเฉพาะการแสดงออก ทัศนคติ รวมไปถึงการใช้ชีวิต นั่นเพราะเด็กเริ่มมีโลกเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะโลกที่อยู่ในบ้าน โลกที่เกิดจากอินเทอร์เน็ต
"สังคมไทยเรา มีความสุขแบบเทียมๆ เกิดขึ้นเยอะมาก จะเล่นเกม เที่ยว ดื่ม ก็หาความสุขได้ ซึ่งมันทะลักมาเร็ว ประจวบกับบ้านไม่อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อน เวลาส่วนใหญ่ของพ่อแม่หมดไปกับการแข่งขันกันทำงานหาเงิน บ้านจึงเป็นความแห้งแล้ง เด็กก็ไม่อยากอยู่ด้วย
สอดรับกับโรงเรียน ก็กลายเป็นสถานที่รับเฉพาะเด็กเก่ง ส่วนเด็กไม่เอาไหน ก็ถูกปล่อย หรือผลักดันไม่ให้อยู่ด้วย เมื่อบ้านกับโรงเรียนไม่สามารถทำให้เด็กมีความสุข ประกอบกับการที่เด็กกลุ่มนี้ได้เจอความสุขเทียมที่เขามองว่ามันน่าอยู่กว่า เด็กจึงถูกดึงดูดเข้าไปอยู่ในโลกดังกล่าวได้ง่าย หรือโดยความเต็มใจของเด็กเอง" ครูหยุยให้ทัศนะ
*** 'ผู้ใหญ่' ปัญหาที่หนักใจมากกว่าเด็ก
เมื่อถามถึงความหนักใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กไทย ครูหยุย เผยว่า กลุ่มผู้ใหญ่เป็นกลุ่มที่สร้างความหนักใจให้มากที่สุด เนื่องจากคนกลุ่มนี้ยังไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าคือปัญหา จะเห็นได้จากการที่พ่อแม่หลายคนใช้วิธีเดิม ๆ ในการลงโทษลูก เช่น ลูกทำผิดก็ขัง ไม่พอใจก็ตบ หรือตี ปัญหาจึงแก้ไม่ได้
กลุ่มต่อมา คือ "เด็กไทย" ที่ไม่เข้าใจว่า สิ่งใดถูก หรือผิด ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งที่ทำลงไป ทำให้บางครั้ง กว่าจะได้สำนึกว่าสิ่งที่กระทำลงไปนั้นไม่เหมาะสมก็สายไปเสียแล้ว และกลุ่มสุดท้ายก็คือ การไหลทะลักเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งเข้าถึงตัวบ้าน และเด็กเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเกมที่สอนให้เด็กสนุกกับความรุนแรง เซ็กซ์ การพนันอย่างไรก็ดี การจะแก้ปัญหาที่เกิดกับเยาวชนของชาตินั้น ผู้เป็นพ่อแม่ต้องยอมรับโลกแห่งความเป็นจริง และปรับตัวให้ทันท่วงที เปรียบได้กับการมองเห็นขบวนรถด่วนวิ่งผ่านหน้าบ้านทุกวัน ซึ่งขบวนแรกอาจจะเป็นแฟชั่น พ่อแม่ก็ต้องเข้าใจว่า รถด่วนขบวนนี้มาแล้ว ตามมาด้วยขบวนความบันเทิง ที่ขนเอา ผับ เธค มาดึงดูดใจให้เด็กกระโดดขึ้นไป ทางที่ดี เพื่อให้เข้าใจเด็กพันธุ์ใหม่ได้ดียิ่งขึ้น พ่อแม่ต้องลองกระโดดขึ้นไปกับลูกด้วย เช่น ฟังเพลงวัยรุ่น เล่น MSN หรืออื่นๆ ที่เด็กพันธุ์ใหม่ทำกัน ซึ่งการปรับตัวข้างต้นนี้ ทำให้พ่อแม่คุยกับลูกเป็นภาษาเดียวกันได้มากขึ้น ทำให้ช่องว่างที่ห่างกัน เขยิบชิดเข้ามามากขึ้น ไม่ใช่คอยห้าม หรือใช้คำบ่นเป็นตัวนำเหมือนแต่ก่อน
"ผมสังเกตหลายครอบครัวที่มีการปรับตัวแบบนี้ ปัญหาความไม่เข้าใจกันจะไม่ค่อยมี ส่วนเคล็ดลับสำคัญที่สุดในการเอาชนะทุกปัญหา ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยความใกล้ชิด ผูกพันตั้งเล็ก ต่อให้โลกเปลี่ยนไปเร็วแค่ไหนก็รับมือกับลูกได้เสมอ นั่นเพราะความใกล้ชิด ผูกใจระหว่างพ่อแม่ลูก มันจะเป็นแม่เหล็กดูดให้ติดกันตลอด เวลาเกิดปัญหาเด็กก็จะเชื่อฟัง"
*** ลูกยืนไม่ล้ม เพราะถูกเลี้ยงให้สมดุล
ครูหยุย ให้คำแนะนำถึงการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ยุคใหม่ว่า เลี้ยงลูกต้องเลี้ยงให้สมดุล ไม่ใช่เน้นด้านใดด้านหนึ่ง ไม่เช่นนั้นเด็กจะล้ม กล่าวคือ เรียนเก่ง อารมณ์ต้องดี มีความสุขไปพร้อมๆ กัน แต่ทุกวันนี้พ่อแม่ มักจะชอบตามกระแส หรือแกว่งเร็วเกินไป เช่น ยุคนี้ต้องเน้นให้ลูกเป็นอัจฉริยะ พอถึงอีกยุค สังคมเน้นเรื่องอีคิว ก็ทิ้งเรื่องความรู้ ไปสร้างความสุขทางอารมณ์ให้กับลูก ดังนั้นการเลี้ยงลูกที่ดี ต้องไม่คาดคั้นระดับสติปัญญาของลูก หรือไปเซ่นไหว้อนาคตของพ่อแม่ไว้กับลูก นั่นจะทำให้ลูกไม่กดดัน สติปัญญาก็จะรองรับ และความสุขที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้นตามมา "พ่อแม่ต้องเข้าใจว่า โลกเปลี่ยน ทำให้เด็กโต และเรียนรู้เร็วขึ้น โดยเฉพาะลูกวัยรุ่น ที่จะต้องเข้าใจว่า เขาชอบความท้าทาย และอยากโชว์พลังของตัวเอง ดังนั้น เมื่อลูกอยากเล่นอะไร ขอให้สนับสนุนเรื่องนั้นอย่างเต็มที่ เช่น อยากเตะฟุตบอล เอาเลยลูก เต็มที่ พ่อสนับสนุน หรืออยากเล่นดนตรีใช่ไหม โอเค งั้นอยากเล่นอะไร เดี๋ยวพ่อซื้อให้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องตกลงกับเด็กให้เข้าใจก่อนว่า ลูกต้องเรียนหนังสือควบคู่ไปด้วย"ดังนั้น การที่พ่อแม่ตามใจลูกในขอบเขตที่เหมาะสม เด็กก็จะตามใจพ่อแม่ตอบด้วยการเรียนหนังสือ ไม่ทำตัวเกเร เหลวไหล วิธีนี้ เรียกภาษาวัยรุ่นว่า ชักกะเย่อซึ่งกันและกัน ทำให้พ่อแม่ และลูก รู้ว่าแต่ละฝ่ายยอมรับกันได้มากน้อยแค่ไหน
สำหรับวันเด็กที่จะถึงนี้ ครูหยุยให้ข้อคิดถึงผู้ใหญ่ทุกคนว่า การที่มีวันเด็ก คือวันที่เตือนใจให้ผู้ใหญ่ได้ทราบว่า เด็กสำคัญมาก อีกทั้งผู้ใหญ่เอง ต้องไม่ลืมว่า ตัวเองเคยเป็นเด็กมาก่อน ดังนั้นวันนี้ไม่ใช่วันที่จะมาสอนเด็ก แต่เป็นวันที่ผู้ใหญ่ต้องมาทบทวนว่า จะให้ของขวัญอะไรกับคนสำคัญกลุ่มนี้ได้บ้าง และรัฐบาลซึ่งถือเป็นพ่อแม่รายใหญ่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องเป็นผู้นำในการแสดงความจริงใจและจริงจังกับปัญหาเด็กเป็นลำดับต้น ๆ ของประเทศเช่นกัน
ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์
You need to be a member of หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ to add comments!
Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้