1. "โรงเรียนอนุบาลไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็ก"
คุณพ่อคุณแม่หลายคน มักคิดว่าส่งลูกเรียนอนุบาลที่ไหนก็เหมือนกัน ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นครับ เพราะแต่ละที่ต่างก็มีรูปแบบแตกต่างกัน โรงเรียนอนุบาลนั้น โรงเรียนที่ดีต้องมีหลักสูตรการเรียนการสอนที่ชัดเจน และมีระบบการพัฒนาสติปัญญาและสุขพลานามัยของผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้เรียนมีพัฒนาการที่ดีเป็นไปตามลำดับขั้นอย่างเหมาะสม ส่วนสถานรับเลี้ยงเด็กนั้น จะเน้นในส่วนของการดูแลและเลี้ยงดูเด็กเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการให้การศึกษาก็จะเป็นไปตามความเหมาะสมของแต่ละวัน ซึ่งไม่มีแผนการแน่นอน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตโรงเรียนที่ไปดูว่ามีแนวการสอนเช่นไร และมีรูปแบบชัดเจนหรือเปล่า เพราะไม่เช่นนั้นก็จะไม่ต่างอะไรกับสถานรับเลี้ยงเด็กธรรมดา ซึ่งอาจจะไม่ได้ให้การพัฒนาเด็กอย่างเต็มที่ก็เป็นได้
2. "อย่าหลงเชื่อกิจกรรมพิเศษ"
กิจกรรมพิเศษนั้น หมายถึง พวกว่ายน้ำ เทควันโด้ คอมพิวเตอร์ และกิจกรรมเสริมทักษะด้านต่างๆ ซึ่งปัจจุบันโรงเรียนต่างๆ ก็ได้นำกิจกรรมพวกนี้ขึ้นมาโชว์ เพื่อเรียกให้ผู้ปกครองมาสมัคร ซึ่งก็มีคุณพ่อคุณแม่หลายครอบครัวที่เสียรู้ในเรื่องของกิจกรรมพวกนี้ หลายโรงเรียนมีไว้เพียงเพื่อการโฆษณาอย่างเดียวซึ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ต้องมีเวลาสักวันหนึ่ง ไปดูโรงเรียนด้วยตัวเองตั้งแต่เช้า ซึ่งจะดีกว่าเชื่อจากโฆษณาหรือจากคำบอกเล่าของคนอื่น
3. "แนวการสอนถือเป็นสิ่งสำคัญ"
ปัจจุบันแนวการสอนในระดับอนุบาลมีหลากหลายแนวทางซึ่งออกมาตอบสนองกับความ ต้องการของเด็กและผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็น เรกจิโอ เอมิเลีย ,มอนเตสซอรี่ ,ไฮ-สโคป ,นีโอ-ฮิวแมนนิส ,วอร์ดอร์ฟ ,ฯลฯ
(ไว้คราวหน้าจะมาบอกว่าแต่ละรูปแบบเป็นอย่างไร) ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็ควรเลือกให้ตรงกับลักษณะชีวิตของตัวเด็กเอง ก็จะช่วยให้เขาพัฒนาได้เร็ว และควรระวังกับแนวการสอนแบบบูรณาการเพราะมีหลายโรงเรียนที่เป็นการสอนแบบ เก่าก็มักจะใช้คำว่าบูรณาการเช่นเดียวกัน จึงควรสอบถามให้แน่ชัดว่าบูรณาการนั้นเป็นไปในลักษณะใด และมีรูปแบบเป็นเช่นไร
4. "ความสะอาดและปลอดภัยมาก่อนบรรยากาศ"
อันนี้ต้องเข้าใจก่อนว่าทั้ง 3 ส่วนมีความสำคัญหมด แต่ควรที่จะดูในเรื่องของความสะอาดและปลอดภัยก็เป็นหลัก เพราะคุณคงเสียใจแน่ถ้าเด็กเกิดเป็นโรคหรือเกิดอุบัติเหตุจากที่โรงเรียน ดังนั้นควรตรวจสอบให้ดี
5. "โรงเรียนที่ดีต้องอยู่ใกล้พ่อแม่"
โรงเรียนที่อยู่ใกล้พ่อแม่ จะทำให้คุณพ่อคุณแม่มีเวลาที่จะมาพบกับคุณครูประจำชั้น เพื่อที่จะไต่ถามเรื่องเกี่ยวกับลูก บางครั้งถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น ก็สามารถที่จะมาหาได้ทันที อีกทั้งจะได้มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น ซึ่งความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นมีผลอย่างมากต่อเด็ก
6. "หนึ่งห้อง 25-30 คน น้อยกว่าได้ มากไปไม่ค่อยดี"
เพราะจะทำให้ครูสามารถดูแลเด็กได้ทั่วถึง และมีเวลาเพียงพอในการจัดกิจกรรมแต่ละวันให้ได้ร่วมกิจกรรมกันทุกคน
7. "ห้องนึงควรมีครู 2 คน และครูอย่างน้อย 1 คนต้องจบสาขาตรง"
สาขาที่สามารถสอนเด็กอนุบาลได้นั้น จะต้องมีวุฒิครู และควรจะต้องจบสาขาอนุบาลหรือที่เรียกว่า การศึกษาปฐมวัย เพราะครูสาขานี้จะได้รับการฝึกฝนให้สื่อสารกับเด็กได้อย่างเหมาะสม และมีสภาพจิตใจที่พร้อมที่จะดูแลและควบคุมเด็กด้วยแทคนิคสร้างสรรค์ต่างๆ ซึ่งจะไม่เหมือนกับผู้จบครูสาขาอื่นที่จะเน้นฝึกฝนด้านวิชาการมาก
8. "ต้องติดต่อได้ง่าย และเปิดเผยข้อมูลเสมอ"
โรงเรียนที่ดีต้องไม่ปกปิดครับ มีอะไรก็ต้องแจ้งอย่างเป็นความจริง และสามารถที่จะติดต่อได้สะดวก จึงถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพครับ
9. "โรงเรียนใหญ่ใช่ว่าดี"
หลายคนคิดว่าโรงเรียนใหญ่ๆ ต้องดีกว่าโรงเรียนเล็กๆ ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะก็มีหลายโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก และมีคุณภาพ โรงเรียนขนาดใหญ่บางครั้งก็อาจดูแลเด็กได้ไม่ทั่วถึง
10. "ไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป"
อันนี้ควรดูตามความเหมาะสมครับ เพราะหลายโรงเรียนมักจะเรียกค่าใช้จ่ายชนิดที่ผมเรียนจบเอกได้สบายๆเลย ดูเอาตามความเหมาะสมก็จะดีที่สุดครับ
เลือกอนุบาลให้ลูกอย่างไรดี
10 คุณลักษณะที่โรงเรียนอนุบาลคุณภาพควรมี ได้แก่
1. มีสัดส่วนครู : นักเรียนที่เหมาะสม คือไม่ควรเกินห้องละ 1 : 20-25 (ไม่รวมครูผู้ช่วย) เพื่อให้ลูกได้รับความสนใจจากคุณครูในระดับที่เหมาะสม และคุณครูก็จะ " รู้จัก+รู้ใจ " ลูกดีพอด้วย
2. มีกิจกรรมล้อมวงทุกวัน เพื่อให้ลูกได้ฝึกทักษะทางสังคมที่จำเป็น เช่น การผลัดกัน การรู้จักฟังผู้อื่น และการนั่งนิ่งๆ ไม่ลุกเดินไปมาระหว่างที่เพื่อนๆและคุณครูกำลังทำกิจกรรมอยู่ แถมยังได้ฝึกทักาะทางภาษาจากการฟังครูเล่านิทานหรือร้องเพลงด้วย
3. สภาพแวดล้อมเอื้อต่อการเรียนรู้ด้านภาษา คุณครูควรอ่านนิทานให้เด็กๆฟังทุกวัน ห้องเรียนควรมีนิทานมากพอให้เลือกหยิบได้ตามต้องการ มีสื่อการสอนที่จะทำให้เด็กๆได้เรียนรู้คำศัพท์ต่างๆแปะเต็มผนังห้องเรียน และเวลาที่เด็กทำงานศิลปะหรือวาดรูปเสร็จแล้ว คุณครูก็ช่วยเขียนคำบรรยาย (ตามที่เด็กบอก) ประกอบด้วย
4. ส่งเสริมงานศิลปะ มีอุปกรณ์เตรียมไว้อย่างพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเป็นขาตั้งภาพ พู่กัน สี สีเทียน ดินน้ำมัน ฯลฯ เพราะนอกจากจะสนุกแล้ว ศิลปะยังเป็นช่องทางแสดงความคิดสำหรับเด็กๆที่ยังไม่ถนัดเขียนบรรยายด้วย
5. มีมุมบล็อก ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆได้พัฒนาทักษะด้านมิติสัมพันธ์และการแก้ปัญหา
6. มีการผลัดเวรกันช่วยคุณครูทำงานง่ายๆ ซึ่งช่วยสร้างความรับผิดชอบ ความภูมิใจ และยังปูพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ให้เด็กๆด้วย เช่น ช่วยแจกนมให้เพื่อนๆคนละ 1 ถ้วย และขนมคนละ 3 ชิ้น
7. มีเกมประเภทจัดวางตามเงื่อนไข เกมประเภทนี้ช่วยเสริมทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ซึ่งจำเป็นต่อการเขียน นอกจากนี้จิ๊กซอว์ยังช่วยเสริมทักาะด้านมิติสัมพันธ์ เกมจัดเรียงตามขนาดและจำนวนช่วยพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ และเกมร้อยลูกปัดช่วยฝึกการใช้มือกับสายตาให้ประสานสัมพันธ์กัน
8. มีโต๊ะใส่น้ำ / ทรายไว้ให้สำรวจและทดลอง โดยเฉพาะในเรื่องของพื้นที่ ขนาด น้ำหนัก แรงกด และปริมาตร
9. ได้เล่นออกกำลังกายทุกวัน ทั้งในอาคารเรียนและกลางแจ้ง อุปกรณ์ เครื่องเล่นและบริเวณที่เล่นต้องได้มาตรฐานความปลอดภัย ลูกจะได้มีโอกาสฝึกฝนทักษะ การใช้อวัยวะต่างๆให้คล่องแคล่ว
10. มีของแปลกใหม่มาให้เด็กได้เรียนรู้เป็นประจำ ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กๆได้สำรวจ แสดงความเห็น และอาจขยายเป็นโครงการต่อเนื่องระยะยาว เช่น คุณครูหาใบไม้หลากหลายชนิดมาให้เด็กๆดู แล้วเด็กๆก็ซักถามเกี่ยวกับต้นไม้และพืชชนิดต่างๆ อยากลองเพาะเมล็ดพืช เพื่อสังเกตการเจริญเติบโตทุกระยะ ฯลฯ
You need to be a member of หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ to add comments!
Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้