เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย
( 4 Votes )
ผมได้พบเด็กจำนวนมาก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่พาลูกมาปรึกษาด้วยเรื่องพูดช้า พัฒนาการทางภาษาช้า ไม่ค่อยทำตามสั่ง บางคนอายุ 2 -3 ขวบ แล้วแต่ยังไม่พูด หรือพูดได้เป็นคำเดี่ยวๆ นานๆ พูดครั้ง ส่วนใหญ่มักพูดเป็นภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อได้วินิจฉัยแยกโรคแล้วว่าไม่ใช่สาเหตุจากการได้ยินผิดปกติ ไม่ใช่เด็กออทิสติก และไม่ได้เกิดจากความบกพร่องทางสติปัญญาแล้ว ประวัติที่สำคัญอีกอันหนึ่งซึ่งมีความสำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ให้ลูกดูทีวีมากเกินไปหรือไม่ โดยทั่วไปปัญหาจะ เกิดกับเด็กที่ดูนาน 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่แค่ 1-2 ชั่วโมง และมักไม่ใช่เด็กที่ดูทีวีแบบช่วงสั้น เช่นดู แต่โฆษณาบางอันที่ชอบ แล้วไป เล่น แต่มักเป็นเด็กที่สนใจดูต่อเนื่อง 30 นาที บางครั้งเป็นชั่วโมง ถ้าเป็นวิดีโอซีดีก็สนใจดูจนจบแผ่น อาจดูซ้ำๆ หลายรอบ และมักมี อารมณ์ร่วมกับเนื้อหาที่ดู มีหัวเราะลุก ขึ้นเต้นตาม เด็กบางคน เริ่มสนใจดูทีวีตั้งแต่อายุยังน้อยมากอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น อายุเพียง 9 เดือนเท่านั้น และมักดูต่อเนื่องมาเรื่อยๆ และนานขึ้น เรื่อยๆเมื่ออายุมากขึ้น เด็กกลุ่มนี้จัดเป็นกลุ่มที่มีพัฒนาการทางภาษาล่าช้า เนื่องจากจากการ ขาดการกระตุ้น ขาดการมี ปฏิสัมพันธ์กับผู้เลี้ยงดู ทางการแพทย์ใช้คำว่า Improper stimulation หรือ Psychosocial deprivation เดิมเด็กกลุ่มนี้ คือ เด็กที่อยู่ตามสถานสงเคราะห์ พ่อแม่ทิ้ง เจ้าหน้าที่เลี้ยงดู เด็กงานมาก ต้องดูแลเด็กหลายคนจึงไม่มีเวลาเล่นหรือพูดคุยกับเด็ก เด็กมักอยู่คนเดียวตามลำพัง ขาดการกระตุ้นจากผู้ใหญ่ มักพัฒนาการด้านภาษาและสังคมช้า ไม่ค่อยพูด ซึม ไม่ค่อยยิ้ม นั่งโยกตัว เล่นคนเดียว
ตัวอย่างที่ผมได้พบ คือ มีเด็กรายหนึ่งอายุ 2 ปี มาด้วยยังไม่พูด คุณแม่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกเอง แม่ชอบเปิดโทรทัศน์ให้ดูเกือบตลอดวันเพราะเห็นว่าลูกชอบและนิ่งดี ไม่ซน แม่จะได้มีเวลาทำงานบ้านได้สะดวก คุณแม่ท่านนี้ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายพัฒนาการลูกทางอ้อม แต่ทำไปเพราะไม่รู้เห็นว่าลูกมีความสุขดี ตัวเองก็จะได้ทำงานบ้านได้สะดวก อีกรายหนึ่ง อายุประมาณ 2 ปี 6 เดือน ดูวิดีโอซีดีรายการของเด็ก เช่น เทเลทับบี้ บาร์นี่ ซึ่งเป็นภาคภาษาอังกฤษ โดยให้ดูตั้งแต่อายุเพียง 1 ขวบเพราะคิดว่าลูกจะได้หัด ฟังและพูดภาษาอังกฤษ แต่ผลกลับตรงกันข้ามคือลูกกลับพูดช้า มีแต่ภาษาแปลกๆ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เรียกไม่ค่อยหัน ไม่ทำตามสั่ง
ทีวีแทนคนไม่ได้
เมื่อ 100 กว่าปีก่อน... มนุษย์ยังไม่รู้จักโทรทัศน์ ทางเดียวที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันก็คือการพูด ลูกของมนุษย์เรียนรู้การพูดผ่านการมี ปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ แต่ปัจจุบันเด็กเล็กๆ หลายคนเติบโตมาพร้อมกับจอสี่เหลื่ยมที่เหมือนมีคน อยู่ข้างใน พูดคุยได้ หัวเราะได้ ร้องไห้ได้ ยิ่งในปัจจุบันเทคโนโลยก้าวหน้าทำให้มี สื่อหลายรูปแบบมากขึ้น จากรายการโทรทัศน์ธรรมดา ก็มี รายการจากเคเบิลทีวี ซึ่งมีให้ดู ตลอด 24 ชั่วโมง เวลาสี่ทุ่มแล้วก็ยังมีรายการการ์ตูนให้ดู และจากวิดีโอเทปก็พัฒนาเป็นวิดีโอซีดี เปิดปิดได้ง่ายเพียงปลายนิ้วกด เพราะฉะนั้นเด็ก 2-3 ขวบ บางคนอาจกดวิดีโอซีดีดูเองได้ตามต้องการ นอกจากนี้ถ้าใครมีลูกหลานจะเห็นว่าเด็กหลายคน ดูการ์ตูนหรือภาพยนตร์ที่ชอบจากวิดีโอซีดี ซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็น 10 ครั้ง โดยไม่เบื่อหน่าย ดูจนจำตอนได้หมดก็ยังดู
ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดปัญหาก็เพราะทีวีนั้นต่างกับคนตรงที่การดูทีวีนั้นเป็นการสื่อสารทางเดียว (One way communication) คือ ไม่ว่าเด็กจะยิ้ม หัวเราะ หรือพยายามสื่อสารทางกายด้วย ทีวีไม่เคยตอบสนองกลับคืนมาเลย มันจะส่งภาพและเสียงออกมาตามสัญญาณโทรทัศน์ที่ได้เท่านั้น ทีวีหรือวิดีโอซีดีจึงแทนความสัมพันธ์กับคนไม่ได้ เด็กที่ดูทีวีตลอดวันจึงเรียนรู้แต่การรับ อย่างเดียว ไม่เรียนรู้การส่ง หรือการสื่อสารออกไป
ทฤษฏีการตัดแต่งกิ่งไม้
งานวิจัยต่างๆ ในปัจจุบันให้เราเข้าใจเหตุปัจจัยที่มีผลต่อสมอง และพัฒนาการมากขึ้น พอที่จะนำมาอธิบายว่าทำไมเด็กที่ทีวีมากๆ จึงมีปัญหาพูดช้า พัฒนาการทางภาษาช้า นั่นคือเรื่องการตัดแต่งกิ่งไม้ (prunning) หรือการสูญหาย ไปของจุดเชื่อมต่อของใยประสาทในสมองกล่าวคือในสมองของคนเราจะมีเซลล์ประสาทสมอง (neurons) และมีใยประสาท (dendrite) จำนวนมากรับกระแสประสาทขาเข้า ซึ่งส่งมาจากส่วนส่งออก (axon) ของเซลล์ประสาทอื่นด้วย เซลล์ประสาทสมองจะมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยสั่งการเป็นกระแสไฟฟ้าและสารเคมีไปสื่อสารกับเซลล์อื่น เรื่องน่าแปลกก็คือในเด็กเล็กนั้นธรรมชาติจะกำหนดให้สร้างใยประสาทในสมองเป็น 2 เท่าของจำนวนที่ใช้จริง เซลล์ประสาทที่ใช้ บ่อยๆจะรวมกันเป็นกลุ่ม ทุกอย่างที่เด็กถูกกระตุ้นผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่น การเห็น การได้ยิน การสัมผัส การกระตุ้นเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าไปยังจุดเชื่อมต่อของใยประสาท (synapse) เพื่อสื่อสารกับเซลล์ประสาทสมองอื่นๆ จุดเชื่อมต่อที่แข็งแรงจะถูกเลือกเก็บไว้ ถ้าไม่ถูกใช้ จุดเชื่อมต่อใยประสาท ที่ไม่ได้สื่อสารกับเซลล์ประสาทสมองอื่นจะหมดสภาพ คล้ายการเชื่อมต่อกับเซลล์อื่นในที่สุดจะลีบฝ่อตายไป เหมือนการแต่งกิ่งของต้นไม้ (pruning) คือ อันไหนไม่ใช้ก็ตัดทิ้งไป (use it or lose it) ประมาณกันว่าเด็กจะเสียจุดเชื่อมต่อใยประสาทประมาณ 20 พันล้านต่อวัน การกระตุ้นให้จุดเชื่อมต่อใยประสาท ทำงานอย่างเหมาะสมจะทำให้สมองส่วนนั้นทำงานเต็มที่ ถ้าถูกกระตุ้นให้ใช้ ใยประสาทก็จะแข็งแรงไม่ฝ่อไป แต่ไม่ถูกกระตุ้นใยประสาทของสมองส่วนนั้นอาจฝ่อไป ตัวอย่างการเลือกเก็บใยประสาท ได้แก่การเรียนรู้ทางภาษา สมองของเด็กเปิดรับรู้ภาษาตั้งแต่แรกเกิด ถ้าได้รับการกระตุ้น และเรียนในวัยเด็กเล็กก็จะมีสามารทางภาษาดีกว่าไปเรียนภาษาเมื่อโตแล้ว ดังนั้นจึงอธิบายได้ว่าเด็กที่ดูแต่โทรทัศน์ซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียว เกือบตลอดวันนาน 6-8 ชั่วโมงโดยสนใจจดจ่ออยู่แต่จอทีวี ไม่สนใจผู้คนหรือสิ่งรอบข้าง เด็กก็จะขาดเวลาและโอกาสที่จะได้รับการกระตุ้นทางการพูดคุย และไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ เซลล์ประสาทสมองที่เกี่ยวกับพัฒนาการทางภาษาโดยเฉพาะการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นก็จะไม่ได้รับการกระตุ้น เด็กกลุ่มนี้อาจ เรียนรู้ที่จะรับอย่างเดียว ไม่เรียนรู้ที่จะส่งหรือสื่อสารออกไป เพราะทีวีไม่เคยสนใจหรือตอบสนองต่อการส่งหรือสื่อสารของเด็ก เด็กกลุ่มนี้จึงพูดช้า ไม่ค่อยทำตามสั่ง
กฏและคำเตือนที่เราไม่ค่อยรู้
เมื่อโทรทัศน์มีผลกระทบต่อพัฒนาการด้านภาษาและสังคมมากดังได้พูดคุยกันไปแล้ว สมาคมกุมารแพทย์ของประเทศสหรัฐอเมริกาจึงออกกฏและคำเตือนให้ยึดถือและปฏิบัติในเรื่องการให้เด็กดูโทรทัศน์ ดังนี้คือ เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรให้ดูโทรทัศน์เลย (ย้ำนะครับว่าไม่ควรให้ดูโทรทัศน์เลย) และเด็กที่อายุเกิน 2 ปีก็ควรดูไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน มีแต่เลข 2 จำง่ายดีครับ ผมคิดว่าเป็นหลักเกณฑ์ที่ดีมาก แต่ในประเทศไทยมีคนพูดถึง หรือให้ความสำคัญน้อยมาก ฝากคุณพ่อคุณแม่ช่วยบอกและเตือนกันต่อๆ ไปด้วยครับ
มาเล่นกับลูกกันเถอะ
หลังจากได้ปรึกษาแพทย์แล้ว การช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ ก็คือ การแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ปิดทีวีเสีย (บางบ้านต้องเอาทีวีไปเก็บซ่อนไว้เลย เพื่อไม่ให้เด็กเห็น) แล้วลงมาเล่นกับลูกแบบมีปฏิสัมพันธ์ เช่น เล่นจ๊ะเอ๋ ไล่จับ ซ่อนหา หรือนั่งต่อเลโก้ด้วยกัน เล่นอะไรก็ได้ที่มี รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ มีการพูดคุยโต้ตอบกันกับลูก (ซึ่งทีวีทำแบบนี้ไม่ได้แน่) การเล่นมีความหมายสำหรับพัฒนาการของเด็กมากครับ ดังนั้นขอเพียงมีเวลาให้ลูกและร่วมกับความรู้ความเข้าใจ เห็นความสำคัญของการกระตุ้นพัฒนาการและสมอง เล่นกับลูกน้อยแทนที่จะให้เขาจม อยู่กับทีวีทั้งวันช่วยเหลือลูกได้แน่นอนครับ หลังจากปิดทีวีและเล่นกับลูกอย่างมีปฏิสัมพันธ์แล้ว เด็กกลุ่มนี้จะเริ่มดีขึ้นเร็ว ภายในเวลา 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน ซึ่งต่างจากเด็กออทิสติกซึ่งมักต้องใช้เวลานานจึงจะเริ่มดีขึ้น คุณพ่อคุณแม่บางท่านอาจบอกว่าเล่นกับลูกไม่ค่อยเป็น เล่นไม่เก่ง แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่เห็นความสำคัญของการเล่นและอาศัยความรักลูกซึ่งพ่อแม่ทุกคนมีอยู่แล้ว เราฝึกได้ครับ การเล่นกับลูกเป็นทักษะ (Skill) อย่างหนึ่ง พยายามเล่นกับลูกบ่อยๆ ก็จะเก่งขึ้นเองครับ การเล่นกับลูกนั้นนอกจากจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการลูกแล้วยังทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จักและเข้าใจในตัวลูกมากขึ้น ลูกก็จะรู้จักและเข้าใจในตัวเรา มากขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการเลี้ยงดูลูกต่อไป
ที่มา : นพ.กมล แสงทองศรีกมล
กุมารแพทย์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
Comment
ช่ายคะ หลานที่ดูทีวีนานๆ ตอนนี้ป 1 ก็ใส่แว่นแล้วคะ อย่างที่คุณแม่บอกจริงๆค่ะ
ข้อสำคัญคือ ดูทีวีให้น้อยลง หรืองด
และ เวลาดูทีวี ให้นั่งห่างๆจอทีวีให้เหมาะสมค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ มีประโยชน์มาก เออสังเกตดูเด็กเล็กแถวบ้านรวมทั้งลูกเพื่อนอยู่แค่อนุบาล-ป.1 ก็ใส่แว่นกันเยอะทีเดียว ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับดูทีวีด้วยรึเปล่าค่ะ แต่เพื่อนก็บอกว่าลูกก็ดูเยอะอยู่ จ้องนานๆก็มีผล สงสารเด็กต้องใส่แว่นตลอดเลย เคยอ่านเจอว่ายังไงถ้าดูก็ให้ไปมองอะไรไกลๆบ้างนะค่ะ เช่น ท้องฟ้า ต้นไม้ไกลๆ สายตาจะได้พักและโอกาสสั้นจะได้น้อยลง
เยี่ยมเลยคะ คุณ paryakorn
พุดช้าๆ ชัดๆนะคะ ซ้ำๆ น้องกำลังจำคะ
อย่าพูดยาว อย่าพูดเยอะ ใช้เพลง หรือคำกลอนให้เยอะ จะจำได้ง่ายคะ
ยินดีที่ได้คุยกันคะ
มีกำลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ แล้วคุณแม่จะมา Updated ให้ฟังนะค้ะ
คุณแม่ทำถูกแล้วคะ เวลาน้องต้องการนม อาจจะยังไม่ให้ทันทีคะ เพื่อฝึกการรอ
และคุณแม่ก็พูดว่า นม นม หรือหากน้องพูดคำว่าหม่ำ หม่ำได้บ้าง ก็ให้น้องพูดว่า หม่ำ หม่ำก่อนก็ได้คะ
แบบว่า เวลาจะเอานม ให้พูดหม้ำ หม่ำ ก่อนจึงให้คะ
ในการให้นมน้อง ก็พูดกับน้องว่า หม่ำ หม่ำ นม , หม้ำ หม่ำ นม ไหนพุดสิคะ
ถ้าเขาพูดว่า หม่ำ หม่ำได้ - ก็ชมว่า เก่งคะ หม่ำ หม่ำ นม , หม่ำ หม่ำ นม แล้วค่อยให้น้องคะ
คือตอนแรก เราพยายามดีงน้องพูดให้ได้ก่อน พูดหม่ำหม่ำได้ และ คุณแม่เข้าใจ
น้องก็จะรู้สึกสนุก และ เริ่มอยากพูดตามที่คุณแม่บอกแล้วคะ
ค่อยๆเริ่ม ไปทีละนิดคะ และเราก็ใส่ประโยคที่ยาวขึ้นให้อีกทีละนิด
ให้เขาได้ยินเรื่อยๆคะ 1 วัน กินนมกี่หน ก็ได้ยินทุกวันคะ * โดยประมาณ 4 หน ต่อวัน
1 เดือนเท่ากับ 120 ครั้ง รับรองต้องพูดได้แน่นอนคะ
และสัก 2 อาทิตย์ ลองให้น้องพูดเหมือนเดิม แต่คุณแม่ยังไม่ให้นม ให้เขาลองพูดยาวขึ้นว่า นม อีกคำ แบบนี้ค่ะ จีงให้นม
แต่ถ้ายังทำไม่ได้ ก็ทำแบบเดิมไปก่อน แต่ให้พยายามหลอกล่อ ดึงเวลาให้ยาวขึ้น ให้น้องพูดคำว่า นม ออกมาให้ได้แบบนี้ไปเรื่อยๆอ่ะคะ่
เด็กเล็ก เน้นการใช้คำซ้ำ สั้น และ กระชับ ไม่ต้องอธิบายเยอะ พูดเหมือนเดิมทุกครั้ง ซ้ำๆ จำได้ และ พุดได้แน่ะค่
ใช่ค่ะ เพราะทุกวันนี้ ลูกจะเอานม ก็จะลงไปนอนกับหมอน แต่จะไม่พูดว่าขอนม หรือ จะเอาอะไร จะลงไปนอนร้องไห้ คุณแม่เคยลองใจแข็ง พยายามให้ลูกพูด แต่เค้าก็ไม่พูดค่ะ ลงไปนอนร้องไห้แงๆ ผ่านาไป 3-5 นาทีแล้วก็ไม่เปล่งเสียงว่านมออกมาเลยค่ะ คุณแม่ก็เลยต้องส่งนมให้
ตอนนี้คุณแม่เปลี่ยนวิธีเป็น ว่าเวลาส่งจะบอกว่า นม นม พูดช้าๆ แล้วก็ส่งให้ ยังงี้ได้มั้ยค้ะ หรือยังต้องพยายามให้พูดให้ได้จึงค่อยส่งนมค้ะ
ตอบคุณแม่ pariyakorn
ไม่สามารถตอบได้ว่า 1-2 เดือนจะเห็นผลคะ ทำไปเรื่อยๆคะ คุณแม่ แล้วคุณแม่จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเองอย่างแน่นอนคะ และหากน้องพูดภาษาไทยได้นะคะ เรื่องภาษาอังกฤษที่จะฝึกน้องไม่ยากอย่างแน่นอนคะ
ภาษาไทยมีรูปการใช้วรรณยุกต์มาก มีเสียงมากกว่าของอังกฤษเยอะ เพราะมีเสียงถึง 5 เสียง อา อ่า อ้า อ๊า อ๋า จะช่วยน้องในเรื่องการห่อปาก การฝึกพุดคำยากๆ ซึ่งเมื่อน้องพูดไทยเก่ง ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องภาษาอังกฤษกันเลยค่ะ พูดได้แน่นอน
อีกเรื่องคือ อย่ารู้ใจน้องค่ะ น้องคนไหนที่ยังพูดไม่เก่ง ให้ใช้วิธีนี้ได้เลยค่ะ
เวลาน้องอยากได้อะไร ไม่ใช้ชี้นิ้วและ รู้ใจ หยิบให้เลยคะ ต้องให้น้องพูดว่า ขอก่อนคะ - จะเอาอะไรคะลูก - จะเอาน้ำเหรอ - ไหนพูดซิว่า น้ำ น้ำ น้ำ -หากน้องพูดได้บ้าง ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง ก็ถือว่าใช้ได้คะ และ ก่อนให้ต้องให้พูดคำว่า ขอบคุณก่อนคะ่ จึงจะให้ของ ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่น้องต้องการของ รับรองน้องพูดเก่งขึ้นค่ะ หลังจากนั้นก็ต่อยๆพัฒนาให้น้องพูดชัดขึ้นค่ะ เอาแบบง่ายๆ ทีละคำนะคะ ค่อยเป็นค่อยไป เห็นผลแน่นอนคะ
จากประสบการณ์นะคะ เคยทำเช่นเดียวกัยคุณแม่อินอามเช่นกันคะ ซึ่งเมื่อเปิดให้ดู น้องก็จะอยากดูเพิ่มและ เพิ่มขึ้น บางทีเราเห็นว่า ให้ลูกดูแป็ปเดียว งั้นขอไปล้างชามหน่อย พอหมดตอน ชามยังล้างไม่เสร็จ ก็ให้ลูกดูต่ออีกสักตอนน่ะ แบบนี้คะ สรุปแล้ว ต่อไป เราก็จะปล่อยเด็กดูยาวขึ้น และ ยาวขึ้น และเราก็แอบไปทำงานบ้าง
เมื่อรู้ตัวอีกที พอปิดทีวี หลังจากที่น้องดูมาได้นานพอควร น้องก็ร้องไห้ 2-3 ชม.ไม่ยอมเลิก จะดูทีวีอย่างเดียว
ถึงขั้นนี้ ก็ปล่อยร้องจนพอ และ เลิกให้ดูทีวีอีกนับแต่นั้นเลยคะ
หลังจากนั้น ก็ให้อยู่กับหนังสือตลอดเลยคะ ถึงตอนนี้น้องไปรร.แล้ว ไปเล่นบ้านเพื่อน
บ้านเพื่อนเปิดทีวีให้ลูกและเพื่อนๆดู น้องไม่ดูเลยคะ เล่นแต่ของเล่นอย่างเดียว ไม่สนใจทีวี
ในขณะที่เด็กๆทุกคน หยุดเล่นของเล่น อ้าปากค้าง ดูทีวีกันเป็นแถวคะ
จริงๆ การดูคายุก็เป็นประโยชน์นะคะ เพราะเสียงชัดดีมากคะ เป็นภาษาง่ายๆ
ถ้าเป็นแอนทำ ก็คงจะปิดหน้าจอหรือหาผ้าคลุมหน้าจอ ให้เด็กฟังแต่เสียงอย่างเดียวคะ
และอ่านหนังสืออังกฤษให้น้องฟังเป็นหลักคะ เป็นการปลูกฝังการรักการอ่านให้กับน้อง
และให้น้องมีหนังสือเป็นเพื่อน ไม่เหงา เวลาอยู่คนเดียวไม่รู้จะทำอะไร ก็หาหนังสือเปิดอ่านเล่นได้เอง
จะแก้ปัญหาเรื่องการติดเกม การติดเพื่อนและ ปัญหาด้านสายตา สมาธิต่างๆอีกมากเลยคะ
ขอบคุณที่มาแบ่งประสบการณ์กันคะ
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ สำหรับคำแนะนำที่มีประโยชน์มากๆ ถ้าอย่างนั้นคุณแม่คิดว่าคงจะหยุด พูดภาษาอังกฤษไปก่อนค่ะ
และ ก็จะลองทำตามคำแนะนำ ทั้งสองข้อ นะค้ะ สัก 1-2 เดือน น่าจะเห็นความคืบหน้าใช้มั้ยค้ะ
แล้วพวก baby signing time จะดูได้ตอนไหนค่ะเนี๊ยะ เปิดให้ลูกดูตั้งแต่ 6 -7 เดือน แต่อยู่ด้วยตลอด ตอนนี้ลูก 2 ขวบ ก็อพูดเยอะ ทั้งไทยและอังกฤษ แต่หลังๆ มานี่ ไม่ค่อยได้ให้เค้าดู เพราะไม่ค่อยสนใจเหมือนตอนเล็กๆ ช่วงก่อนสองขวบ ชอบดูคายุ ดูครั้งละหลายๆ ตอนแต่แม่อยู่ด้วย แต่ถ้าเป็นการ์ตูน ตามช่องทีวีปกติ เค้าไม่ดูเลย ตอนลูกดูก็คุยกับลูกถึงเรื่องราวในการ์ตูนด้วย แบบนี้โอ เค ไหมค่ะ
© 2024 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก. Powered by
You need to be a member of หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ to add comments!
Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้