เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย
ขออนุญาตให้คำแนะนำตามประสบการณ์จากการสอนและพัฒนาเด็กนานาชาติ, เด็กพิเศษด้านภาษา, และเด็กไทยในอเมริกา
เพ็ญเข้าใจคุณแม่ที่ว่า มีความประสงค์ที่จะให้ลูกเรียนรู้ภาษาอังกฤษแต่เยาว์วัยนอกเหนือจากภาษาไทย
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแห่งการสื่อสารทั่วโลก โรงเรียนเอกชนหรือรัฐบาลในเมืองไทยให้ความสำคัญมาก
โดยปัจจุบันนี้ เด็กต้องเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไปเพื่อที่ว่าเวลาเข้าเรียนอนุบาล จะได้เรียนไวและเรียนทันเพื่อน
ยิ่งเรียนรู้ภาษามากเท่าไหร่ ก็จะช่วยสร้างฐานะการงานได้มาก หรือที่ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่
บางคนก็อยากให้เด็กฉลาดทันวัยในภาษาอื่นๆและสอบได้ดีหรือสอบผ่านเมื่อเข้าโรงเรียน
ซึ่งหลักความจริงแล้ว หลักการเรียนรู้ภาษาอื่นๆหรือภาษาอังกฤษนั้น ขึ้นอยู่กับการพัฒนาการของเด็กแต่ละคน
บางคนก็อาจจะมีการพัฒนาการเรียนรู้ช้ากว่า ซึ่งอาจจะเกิดจากเซลล์ในสมองหรืออารมณ์ แต่ก็ยังแก้ได้บ้าง
หากหมั่นฝึกฝนอย่างมีความสุขแต่เยาว์วัยและไม่รังเกียจภาษาอื่นๆ
เพ็ญจึงอยากจะขอร้องให้คุณพ่อคุณแม่และผู้ใหญ่ทุกคนเห็นใจและเข้าใจในตัวเด็กบ้างนะคะ
อย่าลืมนะคะว่า "นี่คือภาษาที่สองของเด็ก" จำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่จะต้องเรียนรู้การหัดพูด เมืองไทยเก่งในการเรียนรู้แกรมม่า
บางคนฝึกพูดตอนอายุใกล้ 40 ปีก็ยังไม่สายเกินไปนะคะ ยังไงๆแกรมม่าก็ยังอยู่ในความทรงจำบ้างค่ะ พี่สาวดิฉันไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษมา 31 ปีเต็มๆ พอกลับไปเรียนภาษาอังกฤษเพียงแค่ 1-3 ปี เธอสามารถพูดได้ 65-85%
ก่อนที่จะสอนภาษาอะไรก็ตาม ผู้ใหญ่หรือผู้สอนต้องคอยสังเกตและคำนึงถึง (อย่าลืมไปว่า "นี่คือภาษาที่สองของเด็ก")
1. พื้นฐานในการพัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละคน ไม่ว่าจะสอนภาษาใดๆก็ตาม เช่น
- เด็กเบบี้จะพัฒนาเรียนรู้และโต้ตอบภาษาด้วยเสียง อู้อี้ แอ้ แอ้ และเลียนแบบด้วยการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์
ได้โดยจาก การฟัง, การมองหน้าและท่าทางปฏิกิริยาบทของผู้ใกล้ชิดหรือผู้ใหญ่...
- เด็กเตาะแตะวัย 12-18 เดือน พัฒนาการออกเสียงแค่ 1-2 คำสั้นๆ เช่น milk, more, go, no, Dada, MaMa
- เด็กเตาะแตะวัย 18-24 เดือน พัฒนาการพูดประโยคสั้นๆ หรือแค่ 2 คำสั้นๆขึ้นไป ที่อาจไม่ตรงตามแกรมม่า
เช่น no more, want more, me want more, go there, carry me, here,
- เด็กวัย 2-3 ปี พัฒนาการพูดประโยคได้อย่างน้อย 3 คำขึ้นไป เช่น I want more, some more milk please,
I don't want that, did you see that, I want it, I don't want it, I love you
2. วัย 0-4 ปี การเรียนรู้แกรมม่าหรือการเขียนและการอ่านยังไม่เน้นมากนัก และไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม
ก็ไม่จำเป็นที่จะไปเน้นการออกเสียงให้ชัดเหมือนเจ้าของภาษานั้นๆ ก็เหมือนกับการร้องเพลง
ควรใช้เสียงอันไพเราะของตัวเองเปล่งเสียงออกมา ให้ความภูมิใจและรักเสียงกับสิทธิของตัวเด็กเองหรือผู้ใหญ่
เองก็ตาม
สิ่งที่สำคัญสำหรับเด็กก็คือ ขอให้เด็กได้พัฒนาการฟัง, เข้าใจความหมายของคำและประโยค,
รู้จักโต้ตอบหรือแสดงออกและสามารถพูดได้, เด็กออกเสียงได้มากน้อยแค่ไหน,
พัฒนาคำศัพท์ตามวัยได้ถึงไหน
3. คำที่เหมาะสมตามวัย เช่น เด็กควรจะเรียนรู้อะไรก่อน..สอนคำอะไรบ้างตั้งแต่เกิด..
4. ความถนัดในการเรียนรู้ภาษาของเด็ก เช่น เด็กบางคนถนัดหรือรับรู้ได้จากการอ่าน, บางคนรับรู้ได้จากการมองภาพและให้อ่าน, บางคนก็ถนัดและรับรู้ได้จากการสัมผัส
5. การพัฒนาของตัวเซลล์ในสมองมีมากพอที่จะให้เด็กรับรู้ที่จะเรียนภาษาหรือเข้าใจภาษาได้มากน้อยแค่ไหน
6. เด็กมีอารมณ์ที่จะเรียนรู้หรือพร้อมหรือเปล่าในเวลานั้น
7. ผู้ใหญ่มีเทคนิคในการสร้างความสนใจในการเรียนรู้ภาษาในตัวเด็กได้อย่างไร
เด็กมีความสนใจหรือไม่อยากที่จะเรียนรู้แต่ถูกบังคับจนรังเกียจที่จะเรียนรู้ภาษา
หวังว่าบทความดังกล่าวข้างต้น อาจจะช่วยให้ข้อคิดในการเริ่มสอนภาษาที่สองได้บ้างนะคะ
Tags:
หลักการสอนเด็กสองภาษาในที่นี้ เน้นความเป็นธรรมชาติ โดยไม่กดดันให้เด็กต้องเรียนเหมือนการนั่งเรียนในห้องเรียน แต่ใช้หลักการแทรกภาษาที่สองเข้าไปในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กได้ซึมซับภาษาที่สองเองโดยไม่ผ่านการท่องจำเหมือนการเรียนทั่วไป วิธีการสอนแบบนี้จะไม่เน้นเรื่องถูกผิดด้านแกรมม่าเหมือนในห้องเรียน เน้นความเข้าใจในคำที่พูดและประโยคที่ใช้มากกว่า การเรียนรู้ของเด็กก็จะไม่ถูกกดดันเหมื่อนว่ามีระยะจำกัดเวลาว่าต้องเรียนรู้เท่าไหร่ ประเมินผลได้เท่าไำหร่ ยิ่งถ้าได้สอดแทรกความสนุกของการเล่นด้วยแล้ว ภาษาที่สองก็ไม่ยากเกินไปที่จะสอนลูกเราเองค่ะ
ขอบคุณมากสำหรับที่มาแบ่งปันประสบการณ์ ขอสมัครเป็นแฟนคลับครูเพ็ญด้วยค่ะ
อ่านแล้ว เตือนสติได้อย่างดีเลยค่ะ เพราะบางครั้ง ก็กดดันลุกดันมากไป ยิ่งเวลาไปเห็นลูกคนอื่นทำได้ดีกว่า ก็ยิ่งเครียด
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ขออณุญาตปลอบใจนะคะ กฏข้อ1.ห้ามเครียดโดยเด็ดขาดค่ะ เพราะน้องทำได้ซึ่งก็ดีกว่าคนที่ใม่ได้ทำที่มีอยู่มากกว่าคนที่ทำได้ดีกว่า(มาให้งง55)อย่าเครียดอีกนะคะ
ต้องขอบพระคุณน้องๆคุณแม่ที่มาสนับสนุนข้อคิดที่ด้านบน คุณแม่ Pat ความคิดเห็นดีมากเลยค่ะ
คุณแม่น้องกาหนาฉ่ายคะ เพ็ญขออนุญาตตั้งกระทู้ใหม่เกี่ยวกับ
"ความกดดันมากจนกระทั่งเครียด โดยเฉพาะเวลาเห็นลูกคนอื่นทำได้ดีกว่า"
ขอบคุณสำหรับหัวข้อนี้ค่ะ
ให้ข้อคิดดีทีเดียวค่ะ เพราะบางทีก็รู้สึกว่าตัวเองมองข้ามอะไรบางอย่างไปเหมือนกัน
ขอบคุณมากค่ะคุณครูเพ็ญ
บ่อยครั้งเราเองก็ลืมนึกถึงใจลูกนะคะว่าเค้าอยากเรียนรึเปล่า เค้าพร้อมมั้ย
ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อที่ 2 ในข้อ 1 ที่ว่า ไม่จำเป็นต้องไปเน้นการออกเสียงให้เหมือนเจ้าของภาษานั้นๆๆ...
อันนี้ ไม่ค่อยเข้าใจค่ะ
ขอตอบแม่น้องคีนนะคะ
ที่บอกว่า "ไม่จำเป็นต้องเน้นการออกเสียงให้เหมือนเจ้าของภาษา" อย่างเช่น ภาษาอังกฤษนั้น
แต่ละประเทศหรือรัฐหรือเมืองมีสำเนียงเป็นของตัวเอง ขอเพียงแค่เด็กออกเสียงที่คนฟังแล้วพอเดาหรือเข้าใจได้บ้าง
ฝรั่งส่วนใหญ่พูดสำเนียงภาษาไทยไม่ชัด แต่คนส่วนใหญ่จะเข้าใจ ก็เหมือนการอ่านลายมือคนเขียนน่ะค่ะ
เด็กเล็กเพิ่งจะหัดฟังหัดพูดและออกเสียงบ้าง ผู้ใหญ่ควรจะเข้าใจข้อนี้ พยายามไม่ย้ำให้เด็กพูดหรือออกเสียงหลายครั้งเพื่อให้ฟังชัด
แต่คนสอนน่ะรู้หรอกว่า เด็กพูดคำอะไรออกมา เพียงแค่สนับสนุนแต่ก็ไม่บังคับให้พูดชัด
หวังว่าคงพอเข้าใจแล้วนะคะ
© 2024 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก. Powered by