ผศ.ดร. กุลยา ตันติผลาชีวะ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วารสาร
การศึกษาปฐมวัย ปีที่ 2 ฉบับที่ 4 ตุลาคม 2541 หน้า 28 - 34
"อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ ควรเริ่มเรียนเมื่อไรดี"
"ตอนนี้ลูกอยู่อนุบาล 3 จะส่งไป Summer Course สำหรับเด็กดีไหมคะ"
"อยากให้ลูกเรียนโรงเรียนฝรั่ง จะได้เก่งอังกฤษ จริงไหมคะ"
"เด็กเรียน 2 ภาษาจะสับสนไหมครับ"
หลากหลายคำถามของผู้ปกครอง แสดงให้เห็นถึงความห่วงใย และให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่า
เป็นภาษาสำคัญสำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ การใช้คอมพิวเตอร์ และการศึกษาค้นคว้าตำราซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ นับวันภาษาอังกฤษจะมีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การเตรียมเด็ก การช่วยให้เด็กเรียนรู้และเก่งภาษาอังกฤษจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ผู้ปกครอง : ดิฉันอยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ จะส่งลูกเข้าโรงเรียนเซนต์ ต่าง ๆ ก็ไกลมาก เดินทางลำบาก จะ
ให้อยู่หอพักก็สงสารเพราะยังเล็ก เลยให้เรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งคิดว่าดีที่สุด แต่โรงเรียนที่ลูกเรียนนี้ไม่มีสอนภาษาอังกฤษระดับอนุบาล กว่าจะได้เรียนภาษาอังกฤษจริงต้อง ป.5 จะช้าเกินไปไหมคะสำหรับการเรียนภาษา
ตอบ การเรียนภาษาอังกฤษ หรือภาษาใด ๆ ก็ตามของเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องเรียนแบบอ่าน คัด เขียน อย่าง
เป็นระบบวิธีการในโรงเรียน เด็กปฐมวัยสามารถเรียนภาษาได้โดยใช้ประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน ตามหลักการเรียนภาษาโดยใช้ประสบการณ์เป็นฐาน (whole language) เป็นวิธีการเรียนภาษาจากพื้นฐานประสบการณ์เดิมของเด็ก แล้วบูรณาการการอ่าน เขียน ฟัง และพูดด้วยการได้เห็น การเข้าไปมีส่วนร่วม การสอนแบบนี้ ครูจะมีรูปแบบของการฝึกภาษา และการส่งเสริมให้รักการอ่าน จากคำที่เด็กคุ้นเคย ซึ่งผู้ปกครองสามารถสอนเองได้เช่นกันโดยจัดหาอุปกรณ์ สิ่งพิมพ์ หนังสือที่จูงในให้เด็กอยากเปิดอ่านเองได้ ด้วยตัวของผู้ปกครองเอง แล้วนำคำที่เด็กเคยรู้เคยเห็นมาสอน เช่น Bus, Hotel เป็นต้น
ผู้ปกครองสามารถสอนเด็กได้ง่าย ๆ จากกิจกรรมต่อไปนี้
1. ฝึกเด็กให้รู้จักสังเกตคำที่ปรากฏทั่วไป ชี้ให้ดูพยัญชนะ คำภาษาอังกฤษจากโทรทัศน์ สิ่งของเครื่องใช้ คำ
โฆษณา หนังสือพิมพ์ และศัพท์ที่ปรากฏทั่วไป ผู้ปกครองต้องชี้ อ่านให้เด็กฟัง พร้อมแปล แล้วให้เด็กลองออกเสียง อาจร้องเป็นทำนอง เด็กจะสนุกและเกิดการเรียนโดยอัตโนมัติ ขณะนั่งรถไปตามทางจงใช้โอกาสว่างระหว่างนั่งรถในการสอนภาษาอังกฤษกับเด็กทุกครั้ง เพราะเด็กกำลังตื่นตัวกับประสบการณ์ข้างทาง
2.อ่านให้ฟัง นิทานกับเด็กเป็นของคู่กัน เด็กชอบฟังนิทานและเรียนรู้หลายอย่างจากนิทาน ผู้ปกครองควรอ่าน
นิทานเป็นภาษาอังกฤษและแปลเป็นไทยให้เด็กฟัง การฟังเป็นประจำทุกวันจะทำให้เด็กจำได้ สนุกทั้งนิทาน และได้เรียนรู้ทั้งภาษาอังกฤษ เวลาเล่านิทานที่เหมาะมาก คือ ก่อนนอน ควรอ่านเรื่องซ้ำ ๆ เด็กไม่เบื่อที่จะฟังนิทานซ้ำเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่ประทับใจ การอ่านซ้ำ การเล่าซ้ำจะทำให้เด็กจำเรื่อง จำศัพท์ จำประโยคและสำนวนภาษาเก็บไว้ในใจลึก ๆ ได้
ประการสำคัญเมื่อเล่านิทานจบลง ควรทบทวนศัพท์สัก 2 - 3 คำก่อนจะเลิกเล่า แต่ถ้าเล่าแล้วเด็กหลับไปก่อน
ไม่เป็นไร อาจถามทบทวนในวันใหม่ได้ การได้ฟังได้พูดซ้ำ ๆ หลายครั้งเด็กจะจำศัพท์ได้ดี ศัพท์ที่ทวนควรเป็นศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์เด็ก เช่น เล่าเรื่อง หนูกับราชสีห์ ศัพท์ที่ทวน ได้แก่ Rat, Lion, Tree ไม่ใช่ relation, meet ซึ่งไกลประสบการณ์เด็กเว้นแต่คุ้นกับคำง่ายแล้ว จึงเพิ่มเติมคำไกลตัว ข้อสำคัญอย่าสอนสะกดคำหรือคาดคั้นให้เด็กท่องศัพท์ เด็กจะเครียดและเกลียดภาษาอังกฤษในที่สุด เด็กอาจท่องตามท่านเป็นนกแก้ว นกขุนทอง เด็กจะฝังความรู้สึกความไม่ชอบอยู่ภายใน จงให้เด็กได้เรียนแบบสนุก เรียนปนเล่นเหมือน คำว่า Plearn (เพลิน) Play + learn ของศาสตราจารย์ ดร.อนันต์ สมุทรวานิช เด็กจะเรียนรู้และจำได้อย่างมีความสุข
3.สร้างความคุ้นเคยด้วยการใช้บทสนทนา ทักทายอย่างง่ายเป็นประจำ เมื่อพบเด็ก เช่น
Good morning, How are you?
What is your name?
Where are you going?
ควรถามซ้ำ ๆ การถามซ้ำทำให้จำได้แล้วจึงขยายประโยคต่อไป จากคำตอบนี้ต้องการบอกให้ผู้ปกครองทราบ
ว่าไม่ต้องหาโรงเรียนให้ยุ่งยากใจ ผู้ปกครองสามารถสอนเองได้ สอนที่บ้าน สอนขณะเดินทาง สอนด้วยตนเอง ไม่ช้าเกินไปในการเรียนภาษาอังกฤษ ถ้าผู้ปกครองใส่ใจ แม้เด็กจะเรียนในโรงเรียนที่ไม่มีการสอนภาษาอังกฤษเลยก็ตาม
ผู้ปกครอง : การเรียนรู้ภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทย ควรปลูกฝังตอนอายุเท่าไรและควรเริ่มสอนอย่างไรลูกจึงไม่
สับสน
ตอบ การเรียนรู้ที่มากกว่า 1 ภาษา เป็นส่งจำเป็นหรือเป็นประโยชน์สำหรับคนในโลกปัจจุบัน นอกจากภาษา
ปากของพ่อแม่แล้ว การได้เรียนภาษาอื่นยิ่งเป็นการดีสำหรับเด็ก โดยเฉพาะการเรียนโดยธรรมชาติจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเช่น ลูกไทยในครอบครัวจีน ถ้าอาหม่า อากงจะใช้ภาษาจีนกับลูกก็ควรให้ถือเป็นปกติ และสนับสนุนให้พูด เด็กก็ได้เรียนรู้อีก 1 ภาษา หากปู่ย่า ตายาย เป็นฝรั่งก็ควรให้ลูกได้ฝึกได้เรียนภาษาฝรั่งไปด้วย แต่หลักการที่สำคัญเมื่อกลับมาใช้ภาษาพ่อแม่ พ่อแม่ก็ต้องสอนและใช้ภาษาของตนให้ถูกต้อง ถ้าจะกล่าวถึงภาษาอื่นก็ให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน การเรียนภาษาโดยธรรมชาติจากครอบครัวนี้เรียนเมื่ออายุเท่าไรก็ได้ แต่ถ้าเรียนในโรงเรียนควรเริ่มได้ตั้งแต่อนุบาลเด็กเล็ก 3 ขวบขึ้นไป เพราะเป็นวัยของการเรียนรู้ที่งอกงามและรวดเร็ว เด็กจะเริ่มเรียนรู้ภาษาจากศัพท์ ประโยคแล้วตามด้วยเรื่องราวยาว ๆ การได้ฟังการพูดที่ดีถูกต้อง จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้กฎไวยากรณ์ การออกเสียงของเด็กและคำต่าง ๆ มาจากการเลียนแบบการพูดของคนรอบข้าง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ถ้าจะพูดกับเด็กจะต้องตระหนักต่อการใช้ประโยคที่ถูกต้อง มีไวยากรณ์ที่เหมาะสมกับวัยเด็กไม่ควรใช้ภาษาไม่สวยกับเด็ก
ผู้ปกครอง : เด็ก 3 ขวบเรียนในโรงเรียนนานาชาติ แต่พอกลับบ้านพ่อแม่สื่อสารด้วยภาษาไทย เด็กจะเกิดความ
สับสนหรือไม่ วัยนี้เหมาะหรือไม่ถ้าจะเรียนในโรงเรียนนานาชาติ
ตอบ ไม่เป็นปัญหาสำหรับเด็ก เพราะเด็ก 3 ขวบมีวุฒิภาวะที่จะเรียนภาษาได้แล้วเริ่มใช้ประโยคได้ เด็กอาจเก่ง
ภาษาหนึ่งมากกว่าอีกภาษาหนึ่ง หรือเก่งเท่ากันทั้งสองภาษา คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห่วงเพียงแต่ว่า คุณพ่อคุณแม่ใช้ภาษาของตนให้ถูกต้องก็แล้วกัน กับข้อคำถามว่าวัยนี้เหมาะจะเรียนโรงเรียนนานาชาติหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ว่าจะให้เรียนเพื่ออะไร ถ้าเป็นเพราะว่าครอบครัวต้องไปต่างประเทศบ่อย หรือมีเจตจำนงค์โดยแท้ว่าต้องการให้ลูกเก่งภาษาที่สองโดยใช้สิ่งแวดล้อมทางภาษาก็อาจให้เข้าเรียนได้ แต่ถ้าให้ลูกเรียนเพื่อสนองความต้องการคุณพ่อคุณแม่เพราะรู้สึกเท่ห์ดี ทัดเทียมเพื่อนบ้าน ไม่ควรให้เรียน เหตุผลเพราะคุณพ่อคุณแม่จะไม่ตระหนักต่อการใช้ภาษาของเด็ก ทำให้เด็กสับสนทางภาษา ไม่มั่นใจตนเอง มีภาพลักษณ์กับตนเองไม่ดี เช่นไปลุ้นให้เด็กใช้ภาษาต่างประเทศมากเกินไป หรือปล่อยปละละเลยภาษาตนเองทำให้ใช้ภาษาสับสนได้
อีกประการหนึ่ง โรงเรียนนานาชาติไม่ใช้โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ แต่โรงเรียนนานาชาติเป็นโรงเรียนที่จัด
ขึ้นเพื่อให้เด็กต่างชาติ ต่างวัฒนธรรม ที่ต้องมาอาศัยอยู่ ณ ประเทศหนึ่งได้ศึกษา ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่ต่างไปจากตนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางการเรียน ไม่ได้มุ่งให้เรียนภาษาอังกฤษ ดังนี้การเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ จึงไม่ได้ยืนยันถึงการเรียนรู้ทางภาษาอย่างแท้จริง
ความคุ้นเคย ความเคยชินและความสม่ำเสมอในการใช้ภาษาจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ภาษาได้เท่า ๆ กับการเรียนใน
โรงเรียนจริง ถ้าผู้ปกครองต้องการให้เด็กรักภาษา ไม่จำเป็นต้องให้ลูกไปเข้าโรงเรียนนานาชาติที่ต้องเครียดกับการปรับตัวอีกอย่างหนึ่งด้วย เพราะจะมีเด็กหลากหลายชาติ หลายภาษามาเรียนร่วมกัน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของพ่อแม่และพร้อมที่จะปรับให้เป็นความเพลิดเพลินสำหรับเด็ก ๆ
ผู้ปกครอง : สมัยนี้ภาษาอังกฤษมีความจำเป็น ต้องรู้อ่าน เขียน พูด ดิฉัน คิดว่า คนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง
ไม่กล้าพูด เพราะเราไม่คุ้นปากคุ้นหู หรืออาจเป็น เพราะเราเรียนกับครูไทยใช่หรือไม่ สมควรไหมว่า เราควรจ้างฝรั่งมาสอนลูกเสียแต่เล็กเลยจะได้คุ้นกับสำเนียงภาษา
ตอบ : จุดประสงค์ของการเรียนภาษาทุกภาษา มุ่งที่เขียน อ่าน พูด และสื่อสารได้อย่างเข้าใจถูกต้องเหมือนกัน
แต่การที่เด็กไทยเรียนภาษาที่สองแล้วยังไม่คล่องนั้นเป็นเพราะการจูงใจในการเรียนมากกว่า มีทฤษฎีการเรียนรู้หลายทฤษฎีที่บอกว่าคนเรียนรู้ได้ เช่น บางทฤษฎีบอกว่า ถ้าถูกวางเงื่อนไข เช่น ขู่บังคับลงโทษต้องท่องให้ได้ จำให้ได้ถ้าไม่ได้ถูกตี แต่บางทฤษฎีบอกว่าการให้รางวัลจะทำให้คนเรียนรู้ดี บางทฤษฎีเน้นการให้กำลังใจ ซึ่งหลากทฤษฎีหลากวิธีการ แต่การเรียนภาษาขึ้นอยู่กับบรรยากาศของการเรียนและความคุ้นเคยมากกว่า เพราะการเรียนภาษาเป็นการเรียนที่เกิดโดยธรรมชาติ หากผู้นั้นสนใจ
การที่เด็กไทยไม่ชอบภาษาอังกฤษ บางคนเขียนได้ อ่านได้ไม่กล้าพูด ขาดความมั่นใจ เป็นเพราะกลวิธีการสอน
ภาษาอังกฤษของเราส่วนใหญ่เน้นการท่องจำแบบบังคับไม่ใช่จากอยากทำเอง และครูพร่ำว่ายาก ไม่พยายามทำยากให้เป็นง่าย และสุนทรีย์ ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว เด็กเกิดมาพร้อมกับความสามารถที่จะเรียนรู้ภาษา การสร้างประโยค การบอกความหมายคำที่ถูกต้อง เด็กเรียนรู้ภาษาจากครอบครัวอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถฝึกหัดเขียนได้ตามแบบของตน โดยไม่ต้องเข้าเรียน การเรียนภาษาที่ดีต้องให้เด็กเกิดความรู้สึกที่ดีต่อภาษาใหม่ที่เรียน การหัด อ่าน เขียน ต้องให้เป็นไป ตามความพร้อมของเด็กซึ่งเด็ก 3 ขวบก็เรียนภาษาได้แล้ว การให้ความรัก ความอบอุ่น สร้างความสนใจ ในการอ่านการเขียน เป็นสิ่งสำคัญเรียนภาษาจะสนุกถ้าไม่ทุกข์กับภาษา การเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยจะดีมาก ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าของภาษาสอน สำเนียงภาษาเด็กอาจเรียนรู้และปรับได้เมื่อโตขึ้น เราควรเน้นการสื่อภาษาที่ดีที่สุดมากกว่า พูดภาษาได้สำเนียง เหมือนที่สุด เพราะภาษาที่ 2 ไม่ใช่ภาษาปากของพ่อแม่จึงยากที่จะทำให้เหมือนจริง เว้นแต่อยู่ในบรรยากาศเจ้าของภาษาตั้งแต่แรกเกิด เด็กอาจฝึกได้เมื่อเขาโตขึ้น การสร้างการเรียนรู้ทางภาษา ต้องเริ่มจากการให้เด็กเรียนรู้จากคำที่ใช้พูดในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเป็นคำที่เด็กนึกเป็นภาพได้ และเป็นคำคุ้นตา เด็กจะเข้าใจและสร้างกรอบแนวคิดจากคำได้ เช่น dog cat เป็นต้น ถ้าเด็กสามารถเริ่มเรียนภาษาจากสิ่งที่เด็กพูดออกมาได้อย่างเข้าใจ และเห็นภาพในใจเด็กเป็นรูปธรรม เด็กจะพอใจมาก อยากออกเสียง อยากพูด ข้อสำคัญถ้าเด็กพูดไม่ชัด ไม่ถูกต้อง อย่าล้อเลียน แต่ผู้ปกครองต้องออกเสียงทวนใหม่ให้ถูกต้องชัดเจน เด็กจะฟังและรับรู้ได้
สรุป ข้อความรู้เกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษ
ปัญหาการเรียนภาษาที่ 2
ภาษาที่ 2 หมายถึงภาษาอื่นที่มิใช่ภาษาแม่ของบุคคลคนนั้น สำหรับเด็กไทยการเรียนภาษาอังกฤษของเด็กไทย
นับเป็นการเรียนภาษาที่ 2 เมื่อเด็กเข้าชั้นเรียนเด็กจะรู้สึกเครียดด้วยไม่คุ้นเคย อึดอัดกับการเรียน เพราะมีทั้งศัพท์ใหม่ไวยากรณ์ใหม่ ที่ต้องสร้างความเข้าใจและสื่อสารให้ได้เป็นความกังวลสำหรับเด็กทุกคน การถ่ายทอดความรู้สึกว่ายากความน่ากลัวทำให้เป็นปัญหาการเรียนภาษาที่ 2 ของเด็ก ซึ่งไม่แต่ภาษาอังกฤษ อาจเป็นภาษาจีน หรือภาษาอื่น ๆ ด้วย
การปฏิบัติของผู้ปกครอง
เด็กมีโอกาสเรียนรู้ภาษาที่ 2 ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น หรือภาษาอื่น ๆ ที่ผู้ปกครอง
ต้องการ และการเรียนจะง่ายขึ้นถ้าสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวย เช่น เป็นลูกหลานคนจีนอยู่ในบ้านคนจีนก็จะเรียนภาษาจีนได้ง่ายขึ้น อยู่ในบ้านที่ใช้ภาษาต่างประเทศย่อมเรียนภาษาต่างประเทศได้ง่ายขึ้น อยู่ในบ้านที่ใช้ภาษาต่างประเทศย่อมเรียนภาษาต่างประเทศได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
การปฏิบัติของผู้ปกครองเพื่อการเรียนภาษาที่ 2 ของเด็ก กระทำได้ดังนี้
1. ใช้ภาษาที่ 2 ผสมผสานไปกับการสนทนาตามปกติอย่างเป็นธรรมชาติโดยให้เด็กเข้าใจ เช่น พาเด็กไปเที่ยว
สอวนสัตว์ แล้วพูดกับเด็กว่า "หนูชอบดูเสือไหม Do you like to see tiger? " แล้วกระตุ้นให้ตอบกลับ ถ้าเด็กไม่ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษแต่ตอบเป็นภาษาไทยว่าชอบ ให้ผู้ปกครองทวนคำศัพท์ที่ต้องการ เช่น tiger แล้วพูดภาษาไทยตามว่า "เสือใช่ไหม" พร้อมให้กำลังใจด้วยการยิ้ม และแสดงความรักเด็กจะซึมซับและเรียนรู้ศัพท์จากท่านไปแล้ว
2. ใช้ภาษาที่ 2 อย่างสม่ำเสมอโดยผู้ปกครองกำหนดแผนในใจว่าจะให้เด็กรู้อะไรอย่างไร และก้าวหน้าไปอย่าง
ไรโดยไม่รีบร้อนเพราะท่านสามารถสอนลูกได้ทุกวันและนานกว่าครูในโรงเรียน
3. อ่านภาษาอังกฤษจากหนังสือให้เด็กฟังอยู่เสมอ อาจเป็นหนังสือนิทาน เปิดอ่านพร้อมเด็กแล้วชี้ให้เด็กดู ควร
มีภาพประกอบ หากเป็นหนังสือพิมพ์เลือกอ่านเฉพาะหนังสือตัวโตมีภาพประกอบ อย่าอ่านยาวเพราะเด็กจะเบื่อ อ่านสั้น ๆเป็นภาษาอังกฤษวันละคำ
4. อย่ากดดันเด็ก ให้ท่อง ให้จำ เด็กแต่ละคนมีความเฉพาะของตน มีความสนใจสั้น อย่าทำให้ภาษาที่ 2 สำคัญ
กว่าภาษาแม่ จะต้องทำให้ภาษาทั้งสองมีความสำคัญเท่ากัน หรือกำหนดให้ภาษาแม่เป็นอันดับ 1 ภาษาที่ 2 เป็นอันดับ รองข้อสำคัญการสอนภาษาต้องเน้นการกระตุ้นให้เด็กอยากเรียน อยากรู้ ด้วยตัวของเด็กเอง
5. ให้ใช้โอกาสที่ว่างที่สุดในการสอนภาษาเด็ก เช่น ในขณะเดินทางไปโรงเรียนก่อนนอน หรือบนโต๊ะอาหาร
ซึ่งเป็นเวลาผ่อนสบาย การเรียนรู้สิ่งใหม่จะง่ายขึ้น ในกรณีที่พ่อแม่ไม่สะดวกใจจะสอนภาษาอังกฤษเด็กด้วยตนเอง เนื่องจากไม่ว่าง ไม่ถนัด ไม่คล่อง อาจจำเป็นต้องใช้ครูหรือโรงเรียนช่วย แต่ก็ไม่จำเป็น เพราะเด็กสามารถพัฒนาและเรียนรู้ได้ตามระบบโรงเรียนปกติที่ทางการกำหนด
สอนภาษาเด็ก ให้จำนั้นง่าย (ลืมเร็ว)
สอนภาษาเด็ก ให้เข้าใจนั้นยาก (แต่จำนาน)
จงสอนภาษาเด็ก ให้เข้าใจติดปาก (เข้าใจ และจำ)
แม้สอนยาก แต่จำได้นาน (ต้องใช้เวลา แต่จำได้นานและเข้าใจ)
From ::
http://www.childthai.org/cic/c227.htm