เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย
มีข้อความและโทรศัพท์มาถึงภา ให้เขียนบล็อกภาษาจีนว่าถ้าพื้นฐานภาษานั้นเป็น 0 เค้าสอนกันยังไง คนว่างงานอย่างภา ก็เลยขอเขียนเล่าเรื่องราวซะหน่อย (ลองดูเวลาที่ภาเขียนดิ่ อิอิ) จริงๆ ตั้งใจไว้ตั้งแต่เริ่มสอนภาษาที่ 3 ให้เจ้าขาว่า วันไหนที่รู้สึกว่าเจ้าขาพูดได้พอสมควร (ไม่ต้องเก่งมาก แต่เป้าหมายคือพูดได้จากความรู้สึก เริ่มเล่าเรื่องราวและมีความสุขกับการเรียนภาษาจีน ภาจะเขียนบล็อกเพื่อแบ่งปันการเดินทางของบ้านเรา เหมือนที่เคยทำตอนฝึกภาษาที่ 2 ) ซึ่งจริงๆแล้วภาษาจีนที่ฝึกกันก็ใช้พื้นฐานการสอนไม่แตกต่างกับตอนที่ฝึกภาษาอังกฤษ
ถ้าใครยังไม่ได้อ่านเชิญอ่านที่นี่นะคะ ใครไม่เก่งภาษาอังกฤษและสอนลูกตอนโต (ตอนพัฒนาตัวแม่)
http://go2pasa.ning.com/profiles/blogs/2456660:BlogPost:76988
อันนี้ ตอน สอนลูกยังไงดีน้า
http://go2pasa.ning.com/profiles/blogs/2456660:BlogPost:76989
เนื่องจากว่าตอนที่เราฝึกภาษาอังกฤษกัน ยังมีแค่หนังสือเล่ม 1 ออกมา ซึ่งเป็นหนังสือสร้างแรงบันดาลใจให้เรา แต่ยังไม่มีวิธีการเป็นขั้นตอนเหมือนเล่ม 2 ตอนนั้น เราใช้วิธีเดาๆ มั่วๆ วิธีของบ้านเรา จนสร้างเด็ก 2 ภาษามาได้แบบที่หลงทางบ้าง มีปัญหาโน่นนี่บ้าง จึงเห็นว่าถ้าเราได้แบ่งปันเส้นทางบ้านเรา ก็อาจจะมีประโยชน์ให้ทางของเพื่อนๆสั้นลงได้ หากนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบ้านตัวเองนะคะ
แต่การฝึกภาษาที่ 3 ของเจ้าขาครั้งนี้ มีจุดแตกต่างจากภาษาที่ 2 เพราะเราได้ผ่านประสบการณ์มาแล้ว 2 ปี มีหนังสือเล่ม 2 ออกมาให้เราได้ขัดเกลาวิธีการสอนของเราให้แม่นยำมากขึ้นและที่พิเศษสุด !!! ครั้งนี้มีเจ้าของทฤษฎี คือ คุณบิ๊ก มาช่วยควบคุมการผลิตกันเลยทีเดียว เริ่มสนใจขึ้นมาแล้วใช่มั้ยล่ะคะ งั้นมาดูกันซิว่า คนที่ไม่มีพื้นฐานภาษานั้นๆเลย ก็สอนลูกได้ จริงๆนะ
สิ่งที่ภาได้เห็น หลังจากที่เจ้าขาเป็นเด็ก 2 ภาษา ซึ่งมันทำให้มีแรงขับดันให้เราก้าวเดินต่อไปที่ภาษาที่ 3 คือ เห็นเจ้าขามีความสุขมากกกกก กับการพูดทั้ง 2 ภาษา มีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น สามารถดูการ์ตูน ดูหนัง ฟังนิทาน อ่านหนังสือ เล่าเรื่องได้ทั้ง 2 ภาษา พูดคุย เล่น เรียนกับชาวต่างชาติรู้เรื่องและสนุกสนาน ช่วยครูสอนเพื่อน โดยการเป็นตัวอย่างในการออกเสียง การพูดประโยคต่างๆ สามารถเอาความรู้ที่เรียนจากภาษาหนึ่งมาเชื่อมโยงและนำไปใช้กับอีกภาษาหนึ่งได้ เมื่อโตขึ้นเริ่มรู้ว่าการพูดได้หลายภาษามีข้อดีที่ตัวเองสามารถสื่อสารกับคนได้หลากหลาย มีทางเลือกในการรับสารต่างๆได้มากขึ้น ซึ่งนั่น เป็นข้อดีของเด็ก 2 ภาษาที่จะไปต่อกับภาษาที่ 3 ได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับตอนที่เริ่มฝึกภาษาที่ 2 แม้ว่าจะฝึกตอนโตแล้วเหมือนกัน (เราเริ่มฝึกภาษาอังกฤษตอนเจ้าขา 2.5 ขวบ พูดไทยเก่งแล้ว/ เริ่มฝึกภาษาจีนตอน 3.10 ขวบ พูดไทย อังกฤษคล่องแล้ว)
และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ เมื่อถึงเวลาที่ต้องช่วยแม่ในการกระตุ้นให้เด็กอื่นพูดภาษาอังกฤษกัน ก็พร้อมและอยากทำหน้าที่นั้นด้วยความเต็มใจ เป็นอีกหนึ่งเมล็ดพันธุ์การมีจิตอาสาที่แม่อยากให้เกิด
โชคดีมากที่มีโอกาสได้เจอกับคุณบิ๊กที่ขอนแก่นและโชคดีมากเช่นกัน ที่ก่อนหน้านี้ ภาสอนภาษาจีนเจ้าขาไปเยอะพอสมควรแล้วโดยที่ก็ตั้งใจมากกกก เรื่องการออกเสียงเพราะเคยผ่านประสบการณ์สอนลูกออกเสียงภาษาอังกฤษไม่ถูก ทำให้ลูกออกเสียงไม่ชัด ฟังกันไม่รู้เรื่อง กว่าจะแก้ไขกันมาได้ก็ใช้เวลานานมากกกกกกกกก ทุกวันนี้ก็ยังต้องแก้ไขกันไปเรื่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดการออกเสียงภาษาจีนของภา ก็ยังผิดอยู่ดี หุหุ ออกเสียงคำไหน คุณบิ๊กก็บอกว่าผิดไปหมด เล่นเอาเสีย self กันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น การออกเสียงให้ถูก ชัดและเคลียร์ เป็นเรื่องสำคัญที่ละเลยไม่ได้เลยนะคะ เนื่องจากไม่ได้อยู่กรุงเทพ ภาจึงเป็นนักเรียนออนไลน์ของครูบิ๊กนะคะ เอาล่ะ เข้าเรื่องกันดีกว่า......
มาเริ่มถอดบทเรียนกันเลย
ก่อนที่แม่หรือพ่อจะสอนภาษาให้ลูกอย่างแรกต้องเตรียมตัวแม่หรือพ่อก่อนเหมือนภาษาที่ 2 เป๊ะ !!!
ภาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อันดับหนึ่ง ฝึกลูกเป็นอันดับสอง ภามุ่งมั่นกับการพัฒนาตัวเอง โดยอาศัยลูกในการฝึกซ้อมให้ตัวเองได้มีโอกาสพูด โดยในช่วงแรก ไม่ได้ใส่ใจมากนักว่าลูกจะตอบรับเมื่อไหร่ เพราะตัวเองยังไม่คล่องจะให้ลูกคล่องได้ยังไง และจากประสบการณ์คือ ถ้าเราคล่องแล้วไปสอนลูกแบบสนุก ไม่นานเลย ลูกก็ตามมาทันเราและจะแซงหน้าเราไปจนเราแทบจะพัฒนาตัวเองไม่ทัน (เด็กเค้าเรียนรู้ได้เร็วอยู่แล้ว ภาเลยต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน 555)
เนื่องจากความรู้ภาษาจีนภาเป็นศูนย์ หรือเรียกว่าติดลบก็ว่าได้ จึงคิดว่าต้องใช้เวลานานมากกกก แต่ภายใต้พื้นฐานความเชื่อ ทุกอย่างต้องพัฒนา แม้ลูกจะพูดไม่ได้เลย การสอนศัพท์ที่ได้เรียนรู้ตามธรรมชาติตามแนวคิดนี้ ลูกไม่ต้องมานั่งท่องศัพท์ แค่ฟังออกบ้าง แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้วสำหรับเรา เริ่มต้นภาปรับทัศนคติตัวเองก่อน เหมือนสอนเด็กโตเลย อิอิ ต้องขอบอกว่า ความรู้สึกว่ามันต้องยากแน่เลยภาษาจีน แค่ 2 ภาษาก็แย่อยู่แล้ว แล้วจะเพิ่มภาษาอื่นอีก จะเอาเวลาที่ไหนเนี่ย เวลานอนก็ยังไม่ค่อยจะมี สารพัดข้ออ้าง ออกมาปลอบใจตัวเองให้เลิกล้ม ภาเอาลูกเป็นแรงบันดาลใจว่าตอนสอนภาษาอังกฤษก็ยังไม่คิดว่าลูกจะพูดได้ขนาดนี้ ก็ตั้งเป้าหมายต่ำๆไว้ก่อนละกัน เอาแค่ได้เรียนรู้ง่ายๆก่อน ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นก็ถือว่ากำไรแล้ว ไม่หวังอะไรมาก (แอบคิดว่าถ้าได้อะไรเพิ่มขึ้นแล้วค่อยขยับเป้าหมายเราต่อ หุหุ)
จากที่เกริ่นมาคือ ภาออกเสียงเพี้ยนไปหมดเลย คุณบิ๊กแนะนำให้ไปเรียนเนื่องจากว่า ภาษาอังกฤษอาจมีสื่อมากมายและเราเรียนมาเป็นเวลานาน แต่ภาษาจีน ภาไม่มีพื้นฐานเลย การจัดระเบียบร่างกายค่อนข้างยากในการฝึกได้ด้วยตัวเองให้ชัด ถูกต้องและเคลียร์ แต่ !!! ให้เรียนแบบเด็ก 2 ภาษา ให้ยึดแนวคิดเป็นครูเรา เพราะแนวคิดจะอยู่กับเราตลอด ไม่ว่าคนสอนจะไม่อยู่ จะไม่สอนต่อ จะลาออกกลับประเทศไป แต่แนวคิดยังคงจะอยู่กับเรา และให้เราเป็นคนกำหลักสูตรเอาไว้ ให้เหล่าชือเป็นแค่คนช่วยพยุงการพูด ไม่ใช่เป็นคนสอน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ภารู้ว่า เจ้าของภาษาไม่ได้รู้และเข้าใจหลักการที่ทำให้พูดได้ เจ้าของภาษารู้ว่าถ้าต้องพูดประโยคนั้นควรพูดว่าอย่างไรในภาษานั้นๆและถ้าให้เจ้าของภาษาสอน มักจะสอนด้วยวิธีที่ปฏิบัติต่อๆกันมา คือสอนแบบ แบบเรียน ไม่ใช่การเลียนแบบตามวิถีธรรมชาติ ดังนั้นอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติก็น่าจะเหนื่อยหน่อยล่ะ
(ขอบคุณคุณบิ๊กเป็น 100 ครั้งที่ทำให้ภาค้นพบการเรียนภาษาที่สนุกที่สุด ตั้งแต่เคยเรียนมาในชีวิต แม้จะเป็นนักเรียนออนไลน์ก็ภูมิใจ อิอิ)
ภาเรียนภาษาจีน แบบเด็ก 2 ภาษาเดินตามแนวคิดเด็ก 2 ภาษาทุกอย่าง ไม่แปล ตีความด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เริ่มจาก ศัพท์ วลี ผูกประโยค เล่าขั้นตอน เน้นการจัดระเบียบร่างกายในภาษานั้นๆก่อน ออกเสียงให้ชัด ให้เคลียร์ ไม่ต้องรีบร้อนวางรากฐานให้มั่นคง
เลือกระบบ OTOL เหมือนเดิมเพราะคิดว่าถ้าเป็น OPOL จะได้เริ่มสอนรึเปล่าเนี่ย 555 แต่คราวนี้เป็น OTOL 3 ภาษา
ภาษาอังกฤษ พูดยืนพื้น เพราะปกติ พูดอังกฤษกัน
ภาษาไทย ตอนทำการบ้านอ่านโจทย์ไทย อ่านนิทานไทย และศัพท์บางคำที่ลูกไม่รู้ พูดไม่ถูก หรือพูดประโยคภาษาไทยผิดแล้วแก้ให้ หรืออยากจะทดสอบว่าลูกรู้และเข้าใจเรื่องนี้เป็นภาษาไทยมั้ย เป็นที่รู้กันว่า ถามภาษาไหนตอบภาษานั้น
ภาษาจีน พูดเฉพาะที่เราพูดได้ เริ่มจากพื้นที่ปลอดภัย ครั้งแรกเลยเอาของไป 12 อย่างและพูดศัพท์ของที่เตรียมไป พูดอยู่นั่นแหละจนกว่าจะสร้างความรู้สึกกับของนั้นได้ กลับมาบ้าน ก็ทำอยู่อย่างนั้นจนเห็นของแล้วชื่อมันกระเด้งออกมาเองโดยไม่ต้องคิดมาก กว่าจะผ่านขั้นตอนช่วงแรกๆ ก็ใช้เวลาเหมือนกันกว่าจะจัดระเบียบร่างกายให้ออกเสียงแล้วไม่ฝืน ก็ต้องใช้เวลา และระหว่างทาง ก็มีแอบหลงทางไปบ้างเหมือนกัน บางทีก็ใจร้อนเกิน ก้าวเลยพื้นที่ปลอดภัยไปบ้าง พอสนุกแล้วก็ชักจะเริ่มรีบ ครูบิ๊กต้องคอยเตือนสติระหว่างทางตลอด หุหุ (หลายคนคงแอบคิดว่า ต้องใช้เวลามากแน่ๆ เราไม่มีเวลาขนาดนั้น คงทำไม่ได้หรอก ภาก็ไม่ได้มีเวลามาก เคยมีบางช่วงที่ทำงานหนักต้องนอนตี 5 ตื่น 7 โมงครึ่งอยู่นานเลยค่ะ แต่ก็มีบางช่วงที่ว่างบ้างสลับกันไป ช่วงยุ่งก็ฝึกน้อยหน่อย ช่วงว่างก็มากหน่อยสลับกันไป แต่ภาเรียนรู้ตามธรรมชาติวันละนิดวันละหน่อยพอเวลาผ่านไป มันก็ค่อยๆมาตามธรรมชาติแบบไม่ต้องฝืนมาก ไม่ต่างจากที่เราฝึกลูกเรา ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกตึงไม่สนุก ไม่สบาย แปลว่า เกินธรรมชาติของเราแล้ว ให้ถอยกลับมาในจุดที่เราสบายแต่ปล่อยให้เวลาผ่านไปแค่เชื่อว่า “เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ทุกอย่างจะมาเอง” เราจะไม่เหนื่อยเลย ถามคนใน web นี้ที่เคยผ่านประสบการณ์เวลาที่เหมาะสมได้เลยค่ะ
ตอนเริ่มเรียนใหม่ๆ ภาต้องฝ่าด่านอรหันต์ของเจ้าของภาษาที่คุ้นชินกับการสอนแบบแบบเรียน คือต้องเริ่มจากอ่าน pinyin ก่อน ซึ่งถ้าใครส่งลูกไปเรียนกับเจ้าของภาษาหรือฝากความหวังในการสอนภาษาไว้กับเจ้าของภาษามาก ส่วนใหญ่ก็มักจะเรียนแบบแบบเรียน และที่สำคัญเวลาในการเรียนมันก็ช่างน้อยนิด ของภาสัปดาห์ละ 1 ชม. ทำไมมันผ่านไปรวดเร็วอย่างนี้ แป๊บเดียว อ๊ะ หมดเวลาละ นึกถึงลูกเราเวลาไปรร.จะได้อะไรมั้ยเนี่ย คุณบิ๊กถึงบอกว่า ครูสอนภาษาที่ดีที่สุดก็คือ พ่อแม่ ช่วงแรกๆที่เรียนกับเหล่าชือ ต้องบอกว่า กดดันเล็กน้อย เพราะเราไม่คุ้นกับการออกเสียง พอออกเสียงผิดปุ๊บเหล่าชือก็จะบอกว่านี่แหละ ไม่เรียน pinyin ก่อนถึงออกเสียงไม่ได้ เราก็พยายามฝึก จนออกเสียงถูกและเวลาผ่านไป พอเราเริ่มพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ (คำว่าธรรมชาติของภาวัดตัวเองจาก พูดแล้วสบายไม่ฝืนในการพยายามออกเสียง ไม่ต้องคิดมากตอนพูด นั่นภาตีความว่าคือการจัดระเบียบร่างกายในภาษานั้น นักเรียนเข้าใจถูกมั้ยคะ ครูบิ๊กขา จะถูกครูตีมั้ยเนี่ย อิอิ) ภาเริ่มแต่งประโยคเองได้ เริ่มมีประโยคใหม่ๆมานำเสนอให้เหล่าชือฟังในแต่ละวันว่า ถ้าเราจะพูดแบบนี้ พูดยังงี้ได้มั้ย และมันถูกบ่อยๆเข้า เหล่าชือก็เริ่มยอมรับการเรียนแบบนี้ของเรา และไม่บอกให้เราเรียน pinyin อีกต่อไป อิอิ
นี่ภากำลังเรียนไวยากรณ์แบบธรรมชาติ สามารถพูดได้ถูกต้อง โดยไม่ต้องเรียนไวยากรณ์เหมือนเด็ก 2 ภาษา และสิ่งนึงที่ตามมาคือ ตอนพูดช่างมีความสุข ไม่ต้องกังวลกับอะไรทั้งสิ้น ไม่เหมือนทุกวันนี้ที่พูดภาษาอังกฤษกับลูกมา 2 ปี พูดไปก็นั่งคิดไปว่า tense มันถูกป่าวเนี่ย ก่อนพูดก็คิด ระหว่างพูดก็คิด พอคิดแล้วก็แก้ แก้แล้วบางทียังมีแก้ต่ออีกหลายรอบ แต่เรียนแบบเด็ก 2 ภาษา ไม่ต้องคิดว่า ต้องวางกริยา ประธานไว้ไหน ต้องผันกริยาเป็นกี่ช่อง จริงๆไม่รู้เลยว่าไวยากรณ์จีนมันต้องมีหลักอะไรบ้าง แค่เลียนแบบจากที่เคยๆพูดมาว่าถ้าพูดคล้ายๆกัน น่าจะพูดแบบนี้นะ และลองพูดดู ไม่ถูกก็ไม่เห็นเป็นไร เหล่าชือก็แก้ให้ ไม่ต้องนั่งคิดมากมาย สบายใจจริงๆ.......
ต่อ ต่อ......จากของบนโต๊ะ ชักจะเริ่มขอขยับพื้นที่ปลอดภัยไปที่กิจวัตรประจำวัน แต่ยังยึดหลักการไม่แปลอยู่ คือเอาเจ้าขาไปเรียนด้วยเล่นบทบาทสมมติกัน ตอนอาบน้ำ ก็เอาอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการอาบน้ำมาออกเสียงคำศัพท์ก่อน ตามด้วยวลี ประโยค จนเริ่มคล่องคุ้นชินเราก็ขยับไปที่ แต่งตัว ทานข้าว นอน ขึ้นรถ...คำถามทั่วไปในชีวิตประจำวัน จากน้อยไปมาก เพิ่มไปเรื่อยๆ ซึ่งกว่าจะมาถึงขั้นนี้ใช้เวลาหลายเดือนเลยทีเดียว และสิ่งนึงที่ คุณบิ๊กให้ฝึกคือ การเล่าขั้นตอนต่างๆ เช่น ภาฝึกเล่าการเรียงแก้ว การปั้นดินน้ำมัน การพับจรวด สั้นๆ โดยพยายามคิดว่าถ้าเราจะอธิบายให้คนอื่นฟังถึงวิธีการเหล่านี้ เราจะพูดว่าไงดี ลำดับขั้นตอนยังไงและพูดจากความรู้สึก พูดให้เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ท่องมา อันนี้ฝึกตอนแรกยากขั้นเทพจริงๆ 555 ต้องให้เหล่าชือคอยพยุงคำพูด กว่าจะพูดได้เป็นธรรมชาติใช้เวลาพอสมควรเลย แต่พอพูดได้เท่านั้นแหละ เหล่าชือตะลึงมาก เหมือนเก่งขั้นเทพเลย พูดได้ยาวอย่างไม่น่าเชื่อ เสริมสร้างความมั่นใจว่า โห..เรานี่พูดเก่งมากเลยนะเนี่ย อิอิ จริงๆ พูดได้เท่านี้แหละ :)
ก่อนเริ่มฝึกมีคำถามนึงในหลายๆคำถามที่ถามคุณบิ๊ก (ภาเป็นเจ้าหนูจำไม ถามๆๆๆๆ เยอะมาก สงสัยไปหมด) แต่ตอนแรกคุณบิ๊กบอกภาว่า ตัดเรื่องทุกอย่างออกทั้งหมด เอาแค่นี้ก่อน และไม่ได้ตอบคำถามของภาเลย 555 จนถึงวันนี้ ภาได้คำตอบของตัวเอง คิดว่าน่าจะเกือบครบทุกคำถาม และเข้าใจแนวคิดเด็ก 2 ภาษาอย่างลึกซึ้งด้วยตัวเองในหลายๆข้อ หนึ่งในนั้นคือ ถ้าภาเรียนแบบเด็ก 2 ภาษา แล้วไม่ได้เริ่มจากการอ่าน pinyin ก่อน แล้วต่อจากนั้นภาจะไปเรียนเองต่อได้ยังไง หรือต้องอาศัยเหล่าชือพยุงคำพูดแบบนี้ไปตลอด แต่พอภาเรียนไปหลายๆเดือน เริ่มพูดได้เยอะขึ้นแต่งประโยคได้เองเยอะขึ้น ก็มีเอาหนังสือจีนง่ายๆมาอ่านกันกับเหล่าชือ เพื่อเพิ่มประโยคใหม่ๆ ภาก็ค้นพบว่าตัวเองอ่านได้ (จากการเดา) อ่านเป็นชุดๆเลย อ่านได้เยอะมากและอ่านได้หลายเล่ม จนเหล่าชืองง และชมว่า เก่งจัง !!! ภาเลยบอกว่า เดาเอา ดูภาพ ดู pinyin ประกอบ และออกเสียงเหมือนที่เรียน มีผิดบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะถูก ทำให้นึกถึงเจ้าขา ที่เริ่มอ่านหนังสือได้ใหม่ๆ ก็เป็นประมาณนี้เลย จึงได้คำตอบในแนวคิดอีกข้อของคุณบิ๊กว่า เมื่อเราพูดได้แล้ว จะเรียนอ่านก็ไม่ยากแล้ว ภาจึงเข้าใจแนวคิดของ “การพูดค้ำการอ่าน” อย่างลึกซึ้งด้วยตนเอง
ระหว่างที่ภาเริ่มพูดได้ซักระยะนึง ช่วงนั้นเวลามองไปที่อะไร ภาษาจีนจะเด้งออกมาก่อน คาดว่าเราน่าจะอยู่กับภาษาจีนมาก มีหลายครั้งที่พูดกับเจ้าขา (เป็นภาษาอังกฤษ) หรือพูดกับพ่อเจ้าขาเป็นภาษาไทย และจะพูดปนกัน 2 ภาษาและนึกศัพท์ไทย หรือศัพท์อังกฤษที่จะพูดไม่ออก พูดประโยคของภาษานึงแต่มาติดอยู่ที่ศัพท์จีน นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เกิดภาวะ “พูดปนกันสองหรือสามภาษา” ซึ่งเจ้าขาก็ได้ผ่านช่วงจังหวะนี้ไปพร้อมกับแม่เหมือนกัน 555
พอผ่านช่วงเวลาที่พูดปนกันของภาษา มันจะมีช่วงที่พูดอีกภาษาไม่คล่อง เพราะพูดภาษานั้นๆมากกว่า อันนี้ที่สังเกต เกิดกับตัวภา แต่เจ้าขาไม่เห็นชัดเจนนัก ยังพูดได้ปกติคือไม่ติดขัด แต่จริงๆเจอคนแปลกหน้าเจ้าขาก็จะพูดไม่เยอะอยู่แล้ว (ยกเว้นตอนพยายามกระตุ้นเด็กอื่นๆหรือเพื่อนๆให้พูด อันนี้ตั้งใจทำหน้าที่มากกกกก) เรามีอุปสรรคในการฝึกภาษาที่ 3 ของเรานิดหน่อย ไม่มาก คือ ภามักจะให้เจ้าขาเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กอื่นๆพูดภาษาอังกฤษเวลาไป playgroup หรือส่วนใหญ่ที่เราเจอคนรู้จักที่อยากให้เราช่วยกระตุ้นเด็กๆให้พูดภาษาอังกฤษกัน แต่ก่อนที่จะให้เจ้าขาพูด แม่ต้องมาเปลี่ยนตัวเองให้พูดภาษาอังกฤษกับเจ้าขาก่อน ซึ่งตอนแรก แม่จะคิดประโยคที่จะพูดอังกฤษไม่ออกว่าจะพูดอะไรดีหว่า ติดๆขัดๆ ไม่คล่องปาก (ปกติ กิจวัตรประจำวันในพื้นที่ปลอดภัยและประโยคที่เราพูดจีนได้ เราจะพูดจีนกันตลอด นอกจากประโยคซับซ้อน หรือประโยคที่เจ้าขารู้สึกพูดแล้วไม่ได้อย่างใจ เจ้าขาก็จะพูดภาษาอังกฤษ บางวันไม่ค่อยมีอารมณ์แม่จะคอยกระตุ้นให้พูดจีน แต่พออยู่ดีๆก็กลับมาพูดอังกฤษทั้งหมด เจ้าขาจะงงๆ อะไรกัน และพอกลับบ้านก็ต้องเริ่มบิ๊วจีนกันใหม่ หุหุ)
ระหว่างทางที่เดินมาในเส้นทางการเรียนจีนแบบเด็ก 2 ภาษา ภาได้รู้จัก เข้าใจสิ่งที่ลูกผ่านมาอย่างลึกซึ้ง ทุกขั้นตอน ภาได้รู้ว่า กว่าจะจำได้ต้องใช้ความถี่ เวลามากแค่ไหน กว่าจะรู้สึกกับของ กับประโยคต้องกินเวลานานเท่าไหร่ ภาเข้าใจลูกว่า ช่วงเวลานี้ เค้ารู้สึกอย่างไร เกิดอะไรขึ้นในหัวเค้าบ้าง และกำลังจะเดินไปที่จุดไหนต่อ ในความเห็นภาถ้าใครจะฝึกลูกเป็นเด็ก 2-3 ภาษา ถ้าได้มาเรียนแบบนี้ ความใจร้อนของเราจะลดลง เราจะเข้าใจลูกมากขึ้น และเราจะมีความสุขในการพูดภาษานั้นๆด้วยค่ะ
คำถามต่อไป......ภาษาอังกฤษก็ยังไม่เก่งมาก ถ้ามาสอนภาษาจีนความถี่ภาษาอังกฤษน้อยลง แล้วภาษาอังกฤษจะแย่มั้ยเนี่ย ?
ความกังวลแรกๆของภา ตอนนี้ได้คำตอบของตัวเองแล้ว เมื่อภาษาอังกฤษแข็งแรงในระดับนึง เราเดินต่อมาที่ภาษาที่ 3 โดยจุดมุ่งหมายหลักคือพัฒนาตัวแม่ก่อน ยังไม่เน้นที่ลูก ปล่อยให้เค้าพัฒนาภาษาอังกฤษต่อไป แล้วลูกก็เป็นผลพลอยได้ที่ตามมา แต่ต้องอาศัยเวลา ระหว่างทางที่ฝึกภาษาจีน ก็ยังมีเรื่องที่ยากขึ้น ซับซ้อนขึ้นในภาษาอังกฤษที่เราและลูกเรียนต่อไปได้ (มีเวลาเรียนไปได้อีกตลอดชีวิต) เรื่องง่ายๆเราก็เอามาพูดเป็นภาษาจีนไป
และความกังวลต่างๆของภาก็หมดไป เมื่อระหว่างทางที่เรากำลังฝึกภาษาจีน แบบเรื่อยๆบ้าง เข้มข้นบ้าง สลับกันไปแล้วแต่เวลาแม่จะอำนวย แต่กิจวัตรการเล่นหรืออ่านนิทานภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มพูนภาษาที่ 2 ของเรา ต้องยอมรับว่ามันเริ่มลดน้อยถอยลงมากกกกกก เนื่องจากปกติแม่ก็มีเวลาไม่มากอยู่แล้ว แต่ยังยืนพื้นพูดภาษาอังกฤษที่ซับซ้อนกันอยู่
(เจ้าขาอยู่ รร. 2 ภาษา มีครูต่างชาติและครูไทยอยู่ด้วยตลอดทั้งวัน แต่ครูต่างชาติจะสอนภาษาอังกฤษในชั่วโมงที่ต้องสอน การดูแลเด็กส่วนใหญ่อยู่กับครูไทยและพี่เลี้ยงไทย มีเพื่อนเป็นเด็กลูกครึ่งหรือเด็กต่างชาติหลายคน แต่เด็กทั้งหมดพูดภาษาไทยกัน ลูกครึ่งบางคนพูดอังกฤษไม่ได้ เขินที่จะพูดเพราะไม่ได้ฝึกมาตั้งแต่เล็กๆทั้งที่พ่อเป็นชาวต่างชาติ มีมาถามว่าเจ้าขาพูดภาษาอะไรก็มี ดังนั้น รร.อาจไม่ใช่ตัวช่วยที่มากพอสำหรับบ้านเรา) เมื่อปิดภาคเรียน เราก็ได้พบกับครูต่างชาติที่สอนเจ้าขาในห้องเรียน ซึ่งจริงๆเราได้พูดคุยกับครูอยู่บ่อยครั้ง จากที่ครูสงสัยว่า ทำยังไงให้เจ้าขาพูดภาษาอังกฤษได้ ทำไมเจ้าขาอ่านได้ ใช้ phonics ในการสอนรึเปล่า ทำให้แม่ที่แข็งแรงภาษาอังกฤษเหลือเกิน หุหุ มีโอกาสได้ฝึกฝนตัวเอง โดยต้องไปอธิบายถึงวิธีการสอนลูกว่าทำยังไงบ้าง ไปบอกเล่าทฤษฎีเรื่องการสอนอ่านต่างๆมากมาย นี่คงเป็นลูกช่วยแม่ซะมากกว่า ไม่งั้นแม่คงพูดไม่ได้ขนาดนี้ 555
ภาคการเรียนที่ 2 ที่ผ่านมา มีผลการประเมินให้พ่อแม่ทุกคน ก็ทำให้แม่คลายกังวลเรื่อง การฝึกลูกเป็นเด็ก 3 ภาษาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาษาที่ 2 เลย ดังนั้นไม่มีอะไรต้องน่ากังวล ไม่มีข้อกังขาที่จะไม่ฝึกภาษาที่ 3 ให้กับลูก
คำพูดและคำถามที่เจอบ่อยๆ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
.....จริงๆเจ้าขาพูดได้ตั้งแต่ยังไม่มีครูต่างชาติมาสอนแบบทุกวันนี้ค่ะ แต่ถ้าใครได้ฝึกลูกเป็นเด็ก 2 ภาษาจะรู้ว่า รร.ไม่สามารถทำให้ลูกเราพูดภาษาอังกฤษได้คล่องปรื๋อแบบนี้แน่นอน ถ้าไม่นับรร.อินเตอร์นะ (จริงๆสำหรับรร.อินเตอร์ ภาก็ไม่ทราบนะคะ แต่แอบเดาว่าสภาพแวดล้อมคงเอื้อกว่ารร.ทั่วไป) ภาไม่ได้โทษรร.ว่าไม่มีความสามารถนะคะ แต่เวลาอันจำกัด ที่ครูอยู่กับลูกเรา โอกาสที่ครูจะได้พูดกับลูกเราเนื่องจากนักเรียนก็มีหลายคน หรือกระตุ้นให้ลูกเราพูดออกมาและสถานการณ์ต่างๆที่จะวนเวียนกลับมาหลายร้อยครั้งให้ลูกเราจำได้เองและพูดออกมาเองแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องมานั่งท่องและจับยัดเข้าไปในสมองนั้นมันช่างน้อยนิด แต่ถ้าลูกพูดได้คล่องแล้ว รร. 2 ภาษา ก็คงทำให้เค้าเรียนสนุกมากขึ้นเพราะฟังรู้เรื่อง พอเค้าฟังรู้เรื่องและพูดได้ เค้าก็สนุกที่จะไปคุยกับครูต่างชาติเองโดยไม่ต้องรอให้ครูมากระตุ้นค่ะ
ปัญหาของบ้านเรา
มีเรื่องดีๆ ก็ต้องมีปัญหากันบ้าง ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป บ้านเราเป็นบ้านปิด เพราะพ่อมีเวลาน้อยกว่าแม่เข้าไปอีก อยู่เวรบ่อย ไม่ค่อยได้เจอลูก เราอยู่กัน 3 คนพ่อแม่ลูก ญาติๆอยู่ที่จังหวัดอื่น ดังนั้นลูกจะพูดภาษาอังกฤษกับเรา มากกว่า ....มีปัญหาภาษาไทยเล็กน้อย หลายครั้งที่ลูกไม่รู้ศัพท์คำนั้นๆเป็นภาษาไทย เราใช้วิธีปรับสมดุลกันตลอดทางที่เราเดินไป โดยเช็คลูกตลอดว่าเรื่องนี้ภาษาไทยลูกได้รึยัง ลูกเข้าใจรึเปล่า ไม่ว่าจะเป็นการอ่านนิทานไทยให้ลูกฟังไม่น้อยไปกว่าการอ่านนิทานภาษาอังกฤษ ระหว่างอ่านถ้าถามไทย ลูกก็จะตอบเป็นไทย หรืออ่านนิทานไทยแต่พูดคุยกันเป็นอังกฤษก็จะรู้ได้ว่าลูกสามารถเชื่อมโยงระหว่าง 2 ภาษาได้ดีแค่ไหน ทำการบ้าน อ่านโจทย์ไทยบ้าง โจทย์อังกฤษบ้าง เพื่อให้ลูกเข้าใจโจทย์ทั้ง 2 ภาษา เวลาเรียนจะได้ไม่มีปัญหาทั้ง 2 ภาษา ถามไทยบ้างในสิ่งที่เราไม่แน่ใจว่าลูกรู้รึเปล่า ให้ลูกเล่าขั้นตอนต่างๆเป็นไทย ถ้าได้ยินลูกพูดภาษาไทยผิดก็ช่วยลูกแก้ไขไป ส่วนตัวภาให้ความสำคัญกับภาษาไทยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาษาอังกฤษ เพราะลูกต้องเรียนในระบบไทย (ปีหน้าต้องไปเรียนรร.ระบบไทยอยู่แล้ว) ต้องเข้าใจภาษาไทยอย่างดี มีความจำเป็นต้องปรับสมดุลของภาษาทุกภาษาตลอดการเดินทาง
คิดว่าน่าจะหมดแล้วสำหรับทุกอย่างที่อยากจะแบ่งปัน เรื่องราวที่เขียนเป็นการฝึกภาษาจีนของภา แต่จริงๆแล้วเป็นพื้นฐานของการฝึกได้ทุกภาษา ภาคิดว่าถ้าคุณอ่อนแอภาษาอังกฤษก็สามารถนำไปปรับใช้ในการพัฒนาตัวเองเพื่อไปสอนลูกได้ค่ะ
สุดท้ายขอขอบคุณ
ภาเดินไปบนเส้นทางของความเชื่อว่า .....เรายังมีเวลาสอนไปอีกนาน เราไม่ต้องเร่งจบให้ทันเทอม เราไม่จำเป็นต้องแข่งกับใคร ทำไปเรื่อยๆด้วยความสุข ซักวันเราจะต้องเห็นลูกพูดไม่หยุดในโหมดภาษาจีน ได้อย่างที่เราไม่เคยเชื่อว่า วันนี้จะฟังลูกพูดอยู่ตลอดเวลาในโหมดภาษาอังกฤษ
ขอให้คุณเชื่อและเดินต่อไปในเส้นทางนี้เรื่อยๆ เรามีเพื่อนร่วมทางมากมายในหมู่บ้านนี้ ทุกคนทำได้แน่นอนค่ะ เดินไปด้วยกันนะคะ
ปล. ขออภัย เขียนสั้นๆไม่เคยเป็นเลยค่ะ อ่านกันไหวมั้ยคะเนี่ย วิญญาณครูเข้าสิงตลอดเลย อิอิ
ภาษาที่ 2 ของเจ้าขา
ภาษาที่ 3 ของเจ้าขา
Comment
น้องเก่งมากค่ะคุณหมอภา ขอบคุณมากสำหรับการแนะนำค่ะ จะพยายามทำให้ได้ตามที่คุณภาแนะนำค่ะ
น้องเก่งมากๆพูดได้คล่องเลย ตอนนี้น้องเก้าอายุ 3.6 ขวบยังพูดไม่เก่ง เพราะว่าแม่เองก็ไม่เก่งภาษาที่2เหมือนกัน ไม่ทราบว่าสอนน้องตั้งแต่อายุเท่าไรค่ะ
พึ่งเข้าเป็นสมาชิกค่ะ ตอนนี้ยังสอนลูกแบบงูๆปลาๆไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน อ่านคำแนะนำของคุณหมอแล้วทึ่งมากค่ะ
ขอบคุณมากค่ะสำหรับแรงบันดาลชั้นเยี่ยมจะนำคำแนะนำที่แสนดีนี้มาปรับใช้กับตนเองและลูกค่ะ
สวัสดีค่ะ เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิก รู้สึกทึ่งในความพยายามของคุณหมอมากเลยค่ะ น้องพูดภาษาอังกฤษเก่งมากค่ะ
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะ จะพยายามนะคะ
สวัสดีค่ะ ดีใจจังได้อ่านบทความ เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกค่ะ มีกำลังใจขึ้นแยะเลย
© 2024 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก. Powered by
You need to be a member of หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ to add comments!
Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้