รอด้วยใจที่จดจ่อว่าเมื่อไหร่น๊า .. จะถึงวันปฐมนิเทศน์ซะที เพราะก่อนหน้านี้โรงเรียนเลื่อนการปฐมนิเทศน์ไปเพราะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายเกิดที่ชลบุรีช่วงที่จัดประชุมอาเซียนเมื่อคราวก่อน ... และแล้ววันนี้ก็มาถึง ทำให้คุณแม่ (เห่อลูก) อย่างเราต้องตื่นแต่เช้า แต่ก็เป็นความโชคดีที่ว่าวันนี้ถึงแม้ว่าจะตื่นเช้ามาก น้องเจก็ (โดนปลุกให้) ตื่นเช้ามากเช่นเดียวกัน แล้วไม่มีอาการงอแงให้เห็น (เห็นแต่รอยยิ้มมมมหวาน ๆ แต่เช้าเชียว) และด้วยความที่น้องเจเองก็เห่ออยากจะไปโรงเรียนแล้วก็ยังตื่นตาตื่นใจกะห้องเล็ก ๆ ที่จัดเป็นมุมให้น้องเจมีห้องส่วนตัวขึ้น ทำให้ไม่ยากเท่าไหร่ (ที่จะหลอกล่อ) ให้น้องเจไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วไปอยู่กะอาม่า (ปฐมนิเทศน์นี้ ... เค้างดเอาเด็ก ๆ ไป เพราะคุณพ่อคุณแม่จะไม่มีสมาธิฟัง ...)
อ้อ! น้องเจกำลังจะเข้าเรียนที่ "โรงเรียนอนุบาลร่มไม้" นะคะ
สรุปง่าย ๆ ว่าทั้งหลักสูตร กฎระเบียบ ความปลอดภัย และข้อพึงปฏิบัติ ถือว่าโอเค จัดว่าดีมากเลยทีเดียว แต่ไม่ขอลงรายละเอียดตรงนั้นเพราะแต่ละโรงเรียนก็มีหลักสูตรและกฎเกณฑ์แตกต่างกันไปนะจ๊ะ
จากวันนั้นที่พาน้องเจไปสมัคร จนมาถึงวันนี้ที่ได้ฟัง ผอ. โรงเรียนพูด ทำให้กันเข้าใจเลยว่า "เด็ก ๆ ก็ควรเรียนรู้อย่างมีความสุข และสร้างความเคารพในตัวเองและผู้อื่นนี่ .. สำคัญมาก" ทำให้เข้าใจว่าหากคุณพ่อคุณแม่คาดหวังว่าจะให้ลูกนั่งกะโต๊ะเรียน เขียน ๆ ๆ ก็คงไม่ใช่หลักสูตรของที่นี่" แต่ก็ทำให้เข้าใจได้ว่า "กิจกรรมที่คุณครูและทางโรงเรียนจะจัดให้เรียนนั้น น่าสนใจดี น้องเจก็คงได้ลงมือปฏิบัติ เรียนรู้ด้วยความเข้าใจมากกว่าท่องจำอย่างแน่นอน" ... เอาตรงนี้ก่อนว่าอนุบาลน้องเจรับได้แค่ไหน แล้วกันคิดว่าประมาณ อ.2 หรือ อ.3 น่าจะเห็นภาพชัดขึ้นว่าลูกควรจะไปในทิศทางไหน (ตอนนี้ไม่อยากคิดก่อน อยากให้ทำวันนี้ให้ดีก่อน เก็บข้อมูล-พฤติกรรมไปเรื่อย ๆ ค่อยประเมินว่าจะยังงัยต่อ)
อีกจุดนึงที่ดีของที่นี่คือ วิชาการที่ ผอ. พูดถึง ... คือ "ทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ... คือ วิชาการ" ... คือ "ทุกอย่างที่ลูกอยากเรียนรู้" ... คือครูบอกว่า "ไม่ควร" จำกัดคำว่า "วิชาการ" อยู่แค่ "หนังสือ" ... ซึ่งเห็นด้วยกะครูมาก ๆ
ฟังมาครึ่งวันสรุปสั้น ๆ ให้อ่านนะคะว่า หลักพัฒนาเด็กอนุบาลของโรงเรียนอนุบาลร่มไม้ ... เค้าเป็นอย่างงี้ค่ะ
1. พัฒนาด้าน IQ (สติปัญญา), EQ (อารมณ์), MQ (ศีลธรรมและจริยธรรม), PQ (พัฒนาด้านร่างกาย-กินอิ่ม-พักผ่อนเพียงพอ-กินน้ำเยอะ ๆ ด้วย), และ AQ (การเอาชนะอุปสรรคและความผิดหวัง)
2. สอนให้คิดอย่างเป็นระบบด้วยการเรียนรู้ด้วยตนเอง
3. สามารถนำความรู้ที่ได้เรียนรู้มา คิดแล้วต่อยอดทางความคิด
4. ลงมือปฏิบัติได้จริง
5. ฝึกให้รักการอ่านและค้นคว้าหาความรู้
6. ฝึกให้รู้จักการทำงานและเรียนรู้กันเป็นทีม
7. กล้าแสดงออก
8. พัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ และเรียนรู้อย่างมีความสุข
ครูบอกว่า หากเด็กได้เรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป เรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ เด็กก็จะสนุกกับการเรียนรู้ อยากรู้ อยากค้นคว้าตลอดเวลา แต่ถ้าเรียนแบบอัดมาก ๆ ยัดเลย ตั้งแต่เด็ัก อันนั้นก็รู้แล้ว นี้ก็รู้แล้ว หรือคุณพ่อคุณแม่คาดหวัง "มาก" ว่าอนุบาลต้องเขียนได้เยอะ ๆ นั่งเรียนกะโต๊ะ หรือต้องเรียน ๆ ๆ ๆ (แล้วทำให้เกิดอาการเครียด) เรียนรู้แล้ววันนึงทำไม่ได้อย่างที่คิด เด็กคนนั้นก็จะไม่ยอมเรียนรู้ ต่อต้าน และสุดท้าย ... ทิ้งการเรียน ... ซึ่งเป็นอันตรายที่สุด
จริง ๆ แล้วสังคมไทยโรงเรียนก็ยังเป็นอย่างงั้นอยู่ ... กันก็เห็นว่าเป็นอย่างงั้น และกันก็โตและเรียนมากะโรงเรียนแบบนั้น เลยรู้สึกว่าบางครั้งบางอย่างสิ่งที่เราอยากนำเสนอ ไอเดียเราไม่เหมือนครู สิ่งที่เราอยากจะอธิบาย สมัยเด็ก ๆ เราไม่มีโอกาสได้พูด (คือพูดไปก็เหมือนเถียง ต้องเงียบและฟังอย่างเดียว ... ซึ่งกันก็ไม่ชอบเลย) อยากให้น้องเจได้คิด นำเสนอความคิด ผิด-ถูกไม่ว่ากัน ขอให้มีเหตุผลว่าทำไมเสนออย่างนั้น ทำไมคิดอย่างนี้น่าจะดี แล้วก็อยากให้น้องเจสนุกสนานกะวัยอนุบาลนี้ที่สุด
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเรียนแบบนี้น้องเจจะความรู้จะทันโรงเรียนแนวเดิม ๆ รึป่าว คิดว่าถึงเวลา กันก็คงจะมีคำตอบดี ๆ ให้กับตัวเองกะลูกค่ะ
จันทร์หน้าไปเข้าแคมป์แล้วค่าาาาา ... มะม๊าก็จะได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ด้วย แล้วจะมาเล่าอีกครั้งนะค๊า :)
ปล. ชอบที่ใช้ครูต่างชาติสอนภาษาอังกฤษ ที่เน้นภาษาอังกฤษจริง ๆ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน ... แต่ไม่ใช้ครูต่างชาติสอนวิชาสามัญ (ซึ่งอาจจะทำให้เด็ก .. อ่อนวิทย์ คณิต สังคม ทำนองน๊านนน) --- อันนี้ "ยกนิ้วโป้ง - ยอดเยี่ยม" ให้เลย เพราะตอนที่กันเรียนตอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียน เค้าเอาครูฝรั่งสอนเลข สอนวิชาที่ไม่ใช่อังกฤษ ซึ่งเป็นไปได้ (มาก) ที่จะอ่อนวิชาสามัญ ... ;)
You need to be a member of หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ to add comments!
Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้