เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม

โรงเรียนของลูก...เลือกอย่างไร?

โรงเรียนของลูก...เลือกอย่างไร?
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ตุลาคม 2552 17:02 น.
ใกล้ถึงช่วงเวลาเปิดเทอมกันบ้างแล้ว คุณพ่อคุณแม่หลายคนที่มีลูกวัยกำลังซนก็อาจเริ่มมองโรงเรียนที่ดีและปลอดภัย ที่สุดในปีการศึกษาหน้า ซึ่งบางคนอาจคิดว่า ยังอีกตั้งนาน ไม่เห็นต้องรีบไปดู แต่ทว่าเวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้บางครอบครัวตั้งตัวไม่ทันก็เป็นได้

ทั้งนี้ ได้มีการศึกษาถึงปัจจัยที่ผู้ปกครองใช้ในการเลือกโรงเรียนอนุบาลเอกชน ให้บุตรหลานเข้าเรียน และความคาดหวังของผู้ปกครอง เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนอนุบาลเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้ปกครองของโรงเรียนอนุบาลเอกชนในเขตกรุงเทพ โดยการสุ่มและใช้แบบสอบถามเพื่อทำการวิเคราะห์ ผลการวิจัยเป็นดังต่อไปนี้

ปัจจัย ในการตัดสินใจเลือกโรงเรียนอนุบาลสำหรับลูกๆ คือ ปัจจัยเกี่ยวกับโรงเรียน ครูผู้สอน ประสบการณ์การสอน การบริหารความปลอดภัย การบริการอาหารและสุขภาพของเด็กอนุบาล การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ปกครอง และค่าใช้จ่ายต่างๆโดยเฉพาะค่าเทอม

ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการบุกไปเยี่ยมชมโรงเรียน ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการเลือก ซึ่งมีหลายๆโรงเรียนได้เปิดให้ผู้ปกครองเข้าชม โดยเฉพาะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจมีโอกาสได้ดูกิจกรรมการเรียนในห้องเรียน ในขณะที่กำลังทำการสอน

อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตให้ดีว่าเป็นการจัดฉากหรือไม่ เราต้องเดินดู พูดคุยกับคุณครู นักเรียน เพื่อจะได้เก็บข้อมูลที่เป็นความจริง ยิ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่มีโอกาสพูดคุยกับผู้ปกครอง ที่ส่งลูกๆมาเรียนที่โรงเรียนนี้ ยิ่งจะทำให้เราได้ข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนในแง่ต่างๆมากขึ้น

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตในขณะเยี่ยมชมโรงเรียน

· ความสะอาดของห้องเรียน อาคาร สนามเด็กเล่น โรงอาหาร ห้องน้ำ

· ความปลอดภัยของสถานที่เรียน เช่น สถานที่ตั้งของสระว่าน้ำ การจราจรด้านหน้าโรงเรียนมีควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรือมีเสียงรถยนต์ดังเข้ามาในโรงเรียน สะพานข้ามถนน สภาพพื้นที่ด้านหลังโรงเรียน เช่น คูคลองซึ่งนักเรียนอาจจะพลัดตกลงไป หรือ ป่ารกซึ่งอาจจะมีสัตว์มีพิษเข้ามาในโรงเรียน

· จำนวนสิ่งอำนวย ความสะดวก เช่น จำนวนอุปกรณ์การสอน ขนาดของโต๊ะ และเก้าอี้ รวมไปถึงการจัดวางโต๊ะและเก้าอี้ว่าเหมาะสมกับขนาดของห้องเรียนหรือไม่ อุปกรณ์ได้การกีฬามีพอเีพียงหรือไม่ จำนวนเครื่องเล่นต่างๆ

· สถานที่จอดรถสำหรับการรับ-ส่งนักเรียน

· การดูแลเรื่องความปลอดภัย เช่นการแลกบัตรสำหรับผู้เข้ามาในโรงเรียน วิธีการรับนักเรียนกลับบ้าน ห้องพยาบาล และนางพยาบาลในการช่วยเหลือนักเรียนเบื้องต้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

· จำนวน ของตู้น้ำดื่ม และสภาพของตู้น้ำดื่ม สภาพของตู้น้ำดื่มจะมีผลอย่างมากับสุขภาพของนักเรียน ถ้าตู้น้ำเก่า เป็นสนิม หรือมีการเชื่อมด้วยตะกั่ว ก็จะทำให้นักเรียนดื่มน้ำที่มีสารเจือปนที่เป็นพิษเข้าไป หรือแม้กระทั้งปัญหาเรื่องไฟฟ้าดูด อาจจะเกิดขึ้นได้กับตู้น้ำที่มีสภาพเก่า

· นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรหาเวลาไปเยี่ยมชมโรงเรียนหลายๆครั้ง ในเวลาที่ต่างกัน เพื่อจะได้เห็นสภาพแวดล้อมต่างๆและหลีกเลี่ยงการจัดฉากของโรงเรียน อาจจะไปในช่วงพักกลางวัน ดูอาหารกลางวันที่เด็กนักเรียนได้รับ ดูสนามเด็กเล่นว่าเพียงพอสำหรับเด็กทั้งโรงเรียนหรือเปล่า

อย่างไรก็ดี นโยบาย และวัตถุประสงค์ของโรงเรียน จะทำให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจแนวคิดของโรงเรียน แนวทางการบริหารโรงเรียน แนวการสอนและการพัฒนานักเรียน ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่คุณครูจะต้องปฏิบัติตามในการสอนนักเรียน และยังทำให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจแนวทางการสอน ซึ่งเราจะได้ปรับการสอนเด็กเมื่ออยู่ที่บ้านให้สอดคล้องกับการสอนจาก โรงเรียน คุณพ่อคุณแม่อาจจะถามถึงรางวัลต่างๆ ที่โรงเรียนเคยได้รับ เพื่อจะได้เห็นศักยภาพทางด้านต่างๆของโรงเรียน เช่นรางวัลโรงเรียนดีเด่น รางวัลชนะเลิศทางด้านดนตรี รางวัลชนะเลิศทางด้านศิลปะ ซึ่งจะทำให้เราได้เห็นจุดเด่นของโรงเรียนมากขึ้น

คุณพ่อคุณแม่อาจจะพูดคุยกับผู้อำนวยการ หรือคุณครูใหญ่เพื่อถามคำถาม และข้อเอกสารต่างๆมาทำการศึกษา เช่นอัตราสวนคุณครูกับจำนวนนักเรียน ข้อมูลเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันที่นักเรียนแต่ละคนต้องทำ หลักสูตรการเรียนต่างๆ ตรวจสอบความสามารถของคุณครูผู้สอน และบุคลากรอื่นๆ ของโรงเรียน

ความสามารถของคุณครูผู้สอน เป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต้องการเรียนรู้ของเด็ก

เราสามารถขอดูประวัติการเรียนและการสอนของคุณครู สังเกตจากการพูดคุย หรือการถามปัญหาต่างๆ เพื่อจะดูแนวคิดของคุณครู ดูภาษาที่ใช้ ลักษณะและบุคลิกสามารถเปรียบเทียบได้กับการที่คุณพ่อคุณแม่รับสมัครครูผู้ สอนให้มาสอนลูกของตัวเอง เราคาดหวังให้ครูผู้สอนมีลักษณะ คุณสมบัติ และบุคลิกภาพอย่างไร คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถใช้แนวทางนี้พูดคุยกับคุณครู เพื่อดูว่าคุณครูมีคุณสมบัติตามที่เราคาดหวังไว้หรือไม่

ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องจ่ายเมื่อเลือกโรงเรียนแห่งนี้

แน่นอนว่า หนึ่งในค่าใช้จ่ายก็คือ ค่าเทอม แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องศึกษาให้ละเอียดว่ามีค่าใช้จ่ายอื่นๆที่สำคัญอีกหรือ เปล่า เพราะหลายๆครั้งโรงเรียนจะเลี่ยงการเก็บค่าเทอมที่สูง โดยเก็บเป็นค่าอื่นๆ เช่น ค่าการใช้คอมพิวเตอร์ ค่ากิจกรรมพิเศษ หรือแม้กระทั้งค่าแรกเข้า
ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรจะขอเอกสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด และอาจจะต้องถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสินของสิ้นเปลืองที่ผู้ปกครอง ต้องรับผิดชอบ เช่น สมุดของโรงเรียน กระเป๋า เครื่องแบบ บัตรนักเรียน ชุดลูกเสือ เนตรนารี หรือ อนุกาชาด ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน ในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่มารับเด็กได้ตอนเย็นๆ หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวรถยนต์รับส่งนักเรียน

ทั้งหมดนี้เป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่จะช่วยในการตัดสินใจเลือกโรงเรียน ให้กับ ลูกๆของท่าน หรือยังช่วยในการวางแผนด้านการเงิน เพื่อให้การส่งลูกๆไปเรียนโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชน ไม่เกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง เพราะการที่ต้องหยุดหรือย้ายโรงเรียน จะมีปัญหาที่ยุ่งยากต่างๆ ตามมา

เรียบเรียงข้อมูลจากมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว

Views: 203

Reply to This

Replies to This Discussion

นอกจากคิดว่า รร Ok แล้ว การเริ่มให้ ไป รร เด็กต้อง happy ที่จะไปด้วยค่ะ สวล ความเอาใจใส่ครูก็สำคัญค่ะ
ไม่มีใคร เม้นท์เลยเหรอเนี่ย ต้องหา รร ที่สอดคล้องกะแนวการสอนหรือแนวความคิดที่เราวางไว้ให้ลูก หรือเรากะไว้หวังไว้ให้ลูกเป็นแบบไหนดีที่สุดสำหรับตัวเอง และผู้เรียน happy ด้วย ส่วนตัวคิดว่า ดีที่สุดค่ะ
กำลังกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน อยากขอความคิดเห็นว่าควรส่งลูกเข้าเรียนตั้งแต่อายุกี่ขวบดี ตอนนี้น้อง1.11 ขวบความคิดก็อยากสอนเองที่บ้านจนกว่าจะ 4 ขวบ แต่อีกใจก็กลัวลูกไม่ทันเด็กคนอื่น ตอนนี้ ก็ได้ศัพท์อังกฤษนิดหน่อย เช่น open close turn of-on good morning hurt นับ one - tenได้ ไ ม่รู้ช้ากว่าคนอื่นหรือเปล่า กังวลไปหมดเลยค่t
ส่งน้องกุนเข้าโรงเรียนแต่อยู่ชั้นเตรียม(เนอร์เซอร์รี)ตอนได้ขวบกว่า ใกล้จะขวบครึ่งแต่ทางโรงเรียนรับคะ น้องกุนตัวใหญ่มากเรียนรุ้อะไรเร็วกว่าคนอื่น ก่อนดูโรงเรียนแอบไปดูโรงเรียนเลยคะไม่ต้องมีการนัดกับทางโรงเรียนไปถึงก็ถามทันที และเดินดูรอบโรงเรียน สนามเด็กเล่น ห้องเรียน ความสะอาด นับรวมก็ Ok แต่เสียอย่างตัวครูบางคนขาดการเอาใจใส่เด็ก เมื่อน้องกุนชอบเอาแต่ใจ ชอบร้องกรี๊ด ไม่มีใครเอาชนะเธอได้เลย ความจริงแล้วครูต้องมีวิธีปราบพฤติกรรมเด็กได้ แต่ไม่ใช่ตีเด็ก ใส่อารมณ์ น้องกุนมาอยู่กับเรามีบางวันชอบกรี๊ดๆ เราสามารถปราบเขาได้ แต่ปะป๊าทำไม่ได้ เพราะว่าแกรู้ตัวเป็นคนอารมณ์ร้อนควบคุมไม่อยู่ ก็ตีทันที ตอนนี้ปะป๊าเลิกแล้วคะ เริ่มใจเย็นขึ้น ตีไปไม่มีประโยชน์ต้องมีวิธีใดวิธีหนึ่ง ที่สามารถเอาชนะพฤติกรรมที่ไม่ดีของเด็กได้
คิดว่าปีหน้าคงย้ายไปเรียนที่ใหม่ เพราะเราต้องย้ายบ้านใกล้ที่ทำงานใหม่ ต้องวางแผนล่วงหน้าว่าจะให้เรียนที่ไหน ไปดูเองเลยคะไม่ต้องนัดทางโรงเรียน ความจริงทางโรงเรียนชอบให้โทรแจ้งนัดก่อน ความจริงต้องการจัดฉากให้ดูเวอร์ความเป็นจริงมากกว่าคะ
เรื่องการหาโรงเรียน
แรกเริ่มไม่เคยมีในความคิดค่ะว่าจะหาโรงเรียนให้กับลูก
กะทำ Home school ให้กับลูก แต่ก็มาลังเล
เนื่องจากไม่มีผู้สนับสนุนและกลุ่มร่วม เลยคิดหาสถานที่ที่ทำให้ลูกได้เรียนรู้ด้วยการเล่น
และเล่นอย่างเป็นธรรมชาติ เลยมีโรงเรียนทางเลือกเป็นตัวเลือกอีกทาง
...... แต่ต้องมาเปลี่ยนใจ เมื่อโรงเรียนนั้นเปิดใหม่ ทุกอย่างใหม่ ครุผู้สอนใหม่ ไม่มีประสบการณ์อายุยี่สิบต้นๆ...
เราเริ่มลังเล หลังจากพูดคุย กับทางโรงเรียน เลยต้องเปลี่ยนใจค่ะ เนื่องจากระบบ ยังติดๆขัดๆ
เลยต้องมองหาโรงเีรียนสองภาษาเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง....

การมองหาโรงเรียน โดยส่วนตัว อันดับหนึ่งขอสถานที่ใกล้บ้านค่ะ แล้วมองดูลูกว่า ลูกเราพร้อมที่จะต้องการรับรู้ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
จากคนใหม่ๆที่ไม่ใช่พ่อแม่สอนหรือไม่

ปรากฏว่า พิจารณาและสังเกตุลูกแล้วว่า She is hungy to learn... คุณพ่อเค้าก็อยากให้ลูกได้เข้าเรียนพร้อมเพื่อนๆวัยเดียวกัน
เพราะอย่างที่เราทำมาเกือบสามปีนี้ เหมือนจะไม่พอสำหรับลูก ไม่ว่าเราจะสอนเค้าในด้านพื้นฐานจินตนาการเด็ก สอนเค้าให้กล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น หรือแม้แต่การเข้าสังคมก็ตาม ดูแล้วเค้าพร้อมที่จะไปอยู่สังคมอื่นที่กว้างกว่าสังคมครอบครัว
แต่เราก็ยังคงสอนเค้าอยู่เหมือนเดิม คุณพ่อเค้าบอกว่า...ปล่อยให้เค้าได้ไปเรียนรู้กับคนอื่นๆ โดยที่ไม่มีเราสองคนคอยดูอยู่ข้างๆ
ให้เขาได้รู้จักการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองจริงๆ ถึงแม้เราจะสอนเค้าให้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก็ตาม แต่มันก็ยังคงต่างกันอยู่ดี....

มีหลายคำถามว่า...เด็กอายุเท่าไหร่ จึงจะเข้าเีรียนได้
นุ้ยคิดว่า แล้วแต่เด็ก แล้วแต่ความพร้อมของเด็ก เพราะเด็กแต่ละคนความพร้อมความต้องการไม่เท่ากัน
ถามว่า เด็กที่ยังเลิกเพิสไม่ได้ เลิกขวดนมไม่ได้ ยังนอนกลางวัน เค้าพร้อมหรือยังที่จะไปโรงเรียน
ก็ต้องตอบว่า การที่เด็กยังไม่เลิกเพิส ขวดนม หรือนอนกลางวัน ไม่เป็นอุปสรรค์หากเค้าต้องการที่จะเรียนรู้

นุ้ยคิดว่า คุณพ่อคุณแม่ดูลูกๆออก ว่าพวกเค้าพร้อมหรือยัง....
เอาใจช่วยนะคะ...

RSS

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service