เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย
บันทึกรักกำเนิดสุข ตอนจบ : ความรัก กำลังใจ และความศรัทธา
เขียนโดย: บุษบรรณ (สินธุเสก) นพวงศ์ ณ อยุธยา (บิ๋ม)
พริมลูกรักของแม่
ผลการวินิจฉัยทางการแพทย์สรุปออกมาแล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวหนูไม่ใช่ความบกพร่องทางสมองที่อาจเป็นกันได้โดยกำเนิด หากแต่เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับหนู เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการที่หนูถูกเขย่าอย่างรุนแรง หรือที่เรียกกันว่า Shaken Baby Syndrome (SBS)
แม่ไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกของแม่จะถูกเขย่าอยากรุนแรงจนเลือดออกในเยื่อหุ้มสมองและแก้วตาข้างขวา ใครนะช่างใจร้ายทำหนูได้ถึงเพียงนี้ แม่ปวดแปลบเข้าไปที่หัวใจอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวด ในขณะนั้นแม่ไม่รู้ว่าลูกจะเป็นอย่างไรต่อไป ทุกครั้งที่พ่อกับแม่พูดกันถึงเรื่องของหนู แม่ร้องให้ทุกครั้งซึ่งคุณพ่อของหนูก็พยายามให้กำลังใจแม่ตลอดเวลา พริมจ้ะ แม่กลัวเหลือเกิน แม่ไม่อยากให้หนูเป็นอะไรเลย แม่ได้แต่ภาวนาขอให้หนูกลับมาเป็นปรกติทุกอย่างดังเดิม
หนูมีอาการดีขึ้นจนกระทั่งคุณหมออนุญาตให้หนูออกจากห้อง NICU ได้แล้วจ้ะ อย่างไรก็ดี หนูยังต้องพักในโรงพยาบาลกับแม่อีกระยะหนึ่งจนกว่าจะแข็งแรงขึ้นนะจ๊ะ ช่วงนี้ทีมแพทย์ได้เข้ามาดูอาการของหนูอย่างใกล้ชิด พ่อกับแม่ได้สอบถามคุณหมอว่าเหตุใดทีมแพทย์จึงสรุปอาการของหนูออกมาว่าเป็นการถูกเขย่าอย่างรุนแรง คุณหมอได้ให้คำอธิบายว่า อาการถูกเขย่าอย่างรุนแรง หรือ Shaken Baby Syndrome (SBS) คืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการที่สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงโดยการเขย่าตัวเด็ก ทำให้คอและศรีษะของเด็กเล็กถูกแรงเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาข้างหน้าและข้างหลังอย่างแรง การที่ลำคอของเด็กเล็กซึ่งยังไม่แข็งแรงนักและศรีษะของเด็กเล็กมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัวถูกแรงเหวี่ยงไปๆมาๆอย่างแรงและเร็วเพียงเวลาไม่นานนัก ก็สามารถทำให้เส้นเลือดในบริเวณเยื่อหุ้มสมองฉีกขาด รวมทั้งส่งผลไปถึงเส้นเลือดในจอตา (Retina) ฉีกขาดอีกด้วย อาการสองอย่างนี้เป็นสาเหตุหลักในการสรุปผลการวินิจฉัยอาการ Shaken Baby Syndrome (SBS)
หนูอยู่โรงพยาบาลประมาณ 2 อาทิตย์ ในที่สุดคุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้จ้ะ ช่วงแรกๆ เวลาอุ้มหนูแม่ต้องคอยช้อนคอไว้เหมือนเด็กทารกแรกเกิดประมาณ 2-3 เดือน ทั้งๆที่ตอนนั้นหนูอายุได้ 5 เดือนแล้ว หนูเริ่มคอแข็งขึ้นและร่างกายแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้แม่มีกำลังใจมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกันจ้ะ เวลาหนูอยู่ในอ้อมอกและดูดนมแม่เป็นช่วงที่มีความสุขมาก แม่ได้กอดหนูไว้นานๆให้หนูได้ฟังเสียงหัวใจแม่เต้นและรู้ว่าแม่รักหนูมากแค่ไหน แม่เชื่อว่าพลังแห่งความรักที่พ่อกับแม่ส่งให้หนูเนี่ยแหล่ะเป็นยาขนาดดีที่สุดในการรักษา เกือบทุกครั้งที่หนูอยู่ในอ้อมอกแม่ แม่จะนั่งสมาธิอธิฐานจิตถึงเจ้ากรรมนายเวรของหนูเพื่อขออโหสิกรรมในสิ่งใดก็ตามที่อาจส่งผลให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับหนู พริมจ้ะ มีคนแนะนำให้หนูเปลี่ยนชื่อเป็นตัว ม.ม้า นะจ๊ะ พ่อกับแม่เลือกชื่อให้หนูใหม่แล้ว ส่วนชื่อเล่นเราเปลี่ยนให้หนูด้วยเป็น “มิ” นะจ๊ะ (น่าเสียดาย แม่กับพี่ปราง ชอบชื่อพริมมากๆเลย)
แม่ยังได้ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการ Shaken Baby Syndrome (SBS) แม่ถึงกับช็อคเมื่อรู้ว่าหากเด็กถูกเขย่าอย่างรุนแรงมากและไม่ได้รับการรักษาอย่างทันถ่วงที เด็กก็มีโอกาสเสียชีวิตได้ หรือถ้ารอดชีวิต เด็กเหล่านั้นอาจมีความบกพร่องทางสมองหรือทางพัฒนาการด้านต่างๆ รวมทั้งอาจทำให้เด็กพิการหรือตาบอดไปเลยก็ได้ ในหลายๆประเทศได้มีเด็กที่ถูกทำร้ายเช่นนี้อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งเกิดจากการกระทำชั่ววูบเพราะความโมโหหรืออ่อนเพลียจากการเลี้ยงลูก โดยมักจะเกิดขึ้นในเด็กที่ร้องให้กวนใจมากๆ แม่พบว่าหลายๆรัฐในสหรัฐอเมริกาได้ให้ความสำคัญในการรณรงค์สร้างความตระหนักในเรื่องนี้กันพอสมควร แม่เชื่อว่ายังมีพ่อแม่อีกหลายๆครอบครัวเลยนะจ๊ะที่ไม่เคยรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการเขย่าเด็กทารก
แม่มาย้อนคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่พ่อกับแม่ต้องเครียดต้องลุ้นอยู่หน้าห้องผ่าตัด แม่เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ของเด็กเล็กๆที่ป่วยหนักทุกคนเลยว่าจะมีความรู้สึกทุกข์ใจเพียงใดในวินาทีที่ต้องเฝ้าลูกหน้าห้องผ่าตัดเพื่อรอฟังผลของลูกน้อย แม่ปรึกษาคุณพ่อว่าแม่อยากมีโอกาสได้ช่วยเด็กเหล่านี้ ในที่สุดเราเลยคิดที่จะก่อตั้งมูลนิธิขึ้น แม่ตั้งชื่อย่อว่า HAP ซึ่งมีความหมายว่า “Fortunate or Goodluck” และใช้ชื่อเต็มเป็นภาษาอังกฤษว่า “Humanity And Peaceful (HAP) Foundation of Thailand” ส่วนชื่อภาษาไทยนั้นแม่ตั้งชื่อว่า “มูลนิธิกำเนิดสุชแห่งประเทศไทย”
มิมิจ๋า แม่เชื่อเสมอว่าหนูจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมจ้ะ พ่อกับแม่เชื่ออย่างนั้นจ้ะ แม่คอยสังเกตพัฒนาการของหนูในแต่ละเดือน แม่เชื่อว่าหนูจะสามารถผ่านพัฒนาการในช่วงสำคัญๆของเด็กๆได้เหมือนกับเด็กคนอื่นๆแน่นอนจ้ะ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการกดดันตัวเองจนเกินไปนัก แม่มักจะแอบตั้งเป้าไว้ช้ากว่าเกณฑ์มาตรฐานนิดหน่อย อันนี้ก็แล้วแต่ความยากง่ายของพัฒนาการด้วยนะจ๊ะ และในแต่ละครั้งที่หนูสามารถทำได้ พ่อกับแม่ดีใจมากๆเลยจ้ะ แม่ยังจำได้ถึงช่วงเวลาสำคัญๆ เช่น การนอนพลิกคว่ำพลิกหงายได้เอง อันนี้คุณหมอพัฒนาการสั่งให้มาฝึกท่าพลิกตัวกันเลยทีเดียว กว่าหนูจะทำได้เองโดยไม่มีใครช่วย เล่นเอาแม่เหนื่อยไปเลย แม่เริ่มมีกำลังใจมากขึ้นในทุกๆวันที่เห็นหนูมีพัฒนาการที่ดีขึ้นจ้ะ
พ่อกับแม่พาหนูไปโรงพยาบาลอย่างสม่ำเสมอ หนูต้องพบสารพัดคุณหมอเพื่อติดตามดูอาการของหนู ไม่ว่าจะเป็นกุมารแพทย์ด้านระบบประสาท กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการ จักษุแพทย์ หรือแม้กระทั่งกุมารแพทย์ด้านกระดูกสันหลัง ในช่วง 1-2 ปีแรก การติดตามอาการด้านระบบประสาทของหนูดูเหมือนจะดีขึ้นตามลำดับ ภายหลังการตรวจคลื่นสมองในครั้งหลังสุดดูไม่มีอาการที่น่าเป็นห่วง คุณหมอจึงสั่งเลิกทานยากันชัก เช่นเดียวกับด้านพัฒนาการกล้ามเนื้อของหนูก็ค่อยๆดีขึ้น จะช้ามากน้อยขึ้นอยู่กับความยากง่ายของพัฒนาการ แม่จำได้ว่ากว่าหนูจะเดินได้ก็ประมาณ 1 ขวบ 6 เดือน ตอนนั้นแม่แอบกลุ้มอยู่หลายเดือนเชียว ช่วงนั้นดูเหมือนทุกอย่างเริ่มไปได้ดี เมื่อหนูอายุได้ขวบกว่าๆ หนูเริ่มพูดเป็นคำๆได้บ้าง คุณหมอขอให้พยายามกระตุ้นพัฒนาการพูดต่อไป จะมีที่น่าเป็นห่วงก็เรื่องอาการเลือดออกในจอตาข้างขวาเนี่ยแหล่ะจ้ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่ากว่าเลือดจะออกจากจอตาหมดนี่ใช้เวลาเป็นปี เลยทำให้ตาข้างขวาหนูเป็นตาขี้เกียจ (Lazy Eye) เพราะแทบจะเรียกได้ว่าหนูไม่ค่อยได้ใช้ตาข้างขวามาตั้งแต่หนูอายุได้ 5 เดือนแล้วนี่จ๊ะ คุณหมอพยายามรักษาหลายวิธีมาก ไม่ว่าจะให้หนูปิดตาข้างที่ดีเพื่อฝึกตาข้างที่ขี้เกียจ หนูก็กระชากออกทุกครั้ง ให้ใส่แว่นตา หนูก็ดึงออก คุณหมอบอกว่าอาการตาขี้เกียจสามารถรักษาได้แต่ไม่ควรทิ้งไว้เกินอายุ 6-7 ปี มิมิจ๋า หนูช่วยให้ความร่วมมือหน่อยได้มั๊ยจ๊ะ ไม่อย่างนั้น คุณหมออาจต้องผ่าตาหนูด้วยนะ (อันนี้แม่ไม่ชอบเลย)
หนูเริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาลเมื่ออายุได้ 2 ปี 2 เดือน ในช่วงแรกของการไปเรียน หนูมักจะร้องให้มากเนื่องจากต้องปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนมากมาย แม่ไปอยู่กับหนูที่โรงเรียนด้วยเป็นเดือน มีอยู่ครั้งหนึ่งทางโรงเรียนแจ้งแม่ว่าจะขอให้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษมาดูเด็กๆที่โรงเรียน ซึ่งทางโรงเรียนจะขอดูหนูด้วย ผลการประเมินออกมาก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงอะไร นอกจากจะแนะนำให้หนูปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง อย่างไรก็ดี แม่เริ่มกังวลและหาข้อมูลอย่างหนักอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าพัฒนาการบางอย่างของหนูที่ล่าช้านี้เกิดจากอุบัติเหตุกระทบกระทือนทางสมองในครั้งนั้น มิใช่เกิดจากอาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แม่เริ่มกังวลหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่หนูซนมากๆ อีกทั้งยังเจ้าอารมณ์ชอบร้องกรี๊ด รวมทั้งการที่หนูพูดช้าไม่สมวัย โชคดีที่แม่ได้พบกับกลุ่มเรนโบว์ที่ก่อตั้งโดยรุ่นพี่มาแตร์ของแม่ แม่ได้รับข้อมูลดีๆ จากป้าโรส ป้าติ๊ก และรู้จักคนดีๆอีกมากมาย นอกจากนั้นแม่ยังพาหนูไปหานักบำบัดการพูดอยู่ช่วงหนึ่ง รวมทั้งกลับไปหาคุณหมอด้านระบบประสาทและคุณหมอพัฒนาการเด็กเพื่อเช็คอาการต่างๆ คุณหมอบอกว่าหนูไม่ได้มีลักษณะอาการแบบเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ช่วงนั้นแม่ศึกษาข้อมูลรวมทั้งพาหนูไปหาหมอและนักบำบัดอยู่พักใหญ่ๆ และทุกครั้งที่แม่พูดกับคุณพ่อ เราจะต้องหงุดหงิดกันทุกครั้ง หลายครั้งที่แม่ร้องให้ แม่พยายามอธิบายให้คุณพ่อหนูฟังว่าแม่เพียงแค่ต้องการเช็คดูในหลายๆด้านให้มั่นใจว่าลูกเราเป็นอะไร เพื่อที่เราจะได้คอยสนับสนุนเขาให้ถูกวิธี
ตลอดช่วงอายุ 2-3 ปีของหนู แม่พยายามฝึกหนูเองโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายๆอย่างของหนู โดยเฉพาะอาการเอาแต่ใจตัวเอง ก็อย่างที่คุณหมอเคยเตือนพ่อกับแม่ไว้นั่นแหล่ะว่าไม่ให้ตามใจหนูมากจนเกินไปเพราะโดยมากพ่อกับแม่มักจะสงสารและตามใจเด็กที่เคยมีปัญหาตอนเล็กๆ จนทำให้เด็กเสียนิสัย แม่เชื่อว่าหนูคงจะเป็นแบบนั้นนั่นแหล่ะ หลังจากหนูไปโรงเรียนได้ 1 ปีครึ่ง ครูที่โรงเรียนเอ่ยปากชมหนูเสมอๆว่าหนูมีพัฒนาการด้านการพูดดีขึ้นมาก รวมทั้งทักษะการเข้าสังคม หนูร่าเริงและเป็นที่รักของเพื่อนๆและคุณครู มิมิจ๋า พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวหนูมากๆเลยรู้มั๊ยจ๊ะ
บทสรุปต่อท้าย
ปัจจุบันน้องมิมิอายุ 4 ปี กำลังพูดได้คล่องขึ้นเรื่อยๆ มิมิเป็นเด็กที่ฉลาด สนุกสนานร่าเริง อารมณ์ดีและเป็นที่รักของทุกๆคน จะเหลือเรื่องที่พ่อกับแม่ต้องคอยแก้ไขคือเรื่องของตาข้างขวาที่จะเขออกเป็นบางครั้งเมื่อมองระยะไกล
ในส่วนของมูลนิธิ ปัจจุบันมูลนิธิกำเนิดสุขแห่งประเทศไทยได้ริเริ่มแคมเปญ “Never Shake The Baby” เพื่อรณรงค์เรื่องการไม่เขย่าเด็กเล็กอย่างรุนแรง โดยมุ่งหวังให้สังคมไทยได้รับรู้ถึงอันตรายที่จะตามมา สร้างความรู้ความเข้าใจ เป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการเขย่าเด็กเล็ก นอกจากนี้ มูลนิธิกำเนิดสุขฯยังวางแผนที่จะช่วยเหลือเด็กที่มีความบกพร่องทางสมองและพัฒนาการ รวมทั้งส่งเสริมกิจกรรมต่างๆเพื่อสร้างความรักความผูกพันในครอบครัว การแบ่งปันทัศนคติการเลี้ยงดูเด็กใม่จำกัดประเภทอีกด้วย สนใจรับข้อมูลข่าวสารหรือกิจกรรมดีๆ ได้ที่ Facebook ค้นคำว่า HAP Foundation หรือ http://www.hap.or.th
© 2024 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก. Powered by
You need to be a member of หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ to add comments!
Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้