เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย
ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่า ไม่ได้คิดว่าตัวเองเลี้ยงลูกเก่งมากมายอะไร เพราะมีหลายต่อหลายครั้งที่เคยทำผิดพลาด(กับลูก)มาแล้ว และรู้ว่ามีสิ่งที่แม่คนนี้ต้องเรียนรู้และเผชิญอีกมากมายในการเลี้ยงลูกให้เติบโตต่อไปในอนาคตอีกยาวไกล
แต่จุดประกายที่ทำให้อยากเขียนอะไรบางอย่างจริงๆสืบเนื่องมาจาก รางวัลที่น้องต้นโมกได้ อันนี้
จริงๆเป็นรางวัลของลูก แต่แม่ขออุ๊บอิ๊บมาเป็นรางวัลให้ตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง (เพื่อเป็นกำลังใจให้แม่เองนี่แหละ) เพราะรางวัลนี้ทำให้แม่รู้สึกว่าหายเหนื่อยกับสองปีครึ่งที่ตั้งใจเลี้ยงดู ส่งเสริม แก้ปัญหาต่างๆนานาของลูก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้perfectไปหมดซะทุกเรื่อง แต่ณ จุดนี้ แม่ก็พอจะรู้ว่า แม่มาถูกทางกับสิ่งที่ตัวเองศึกษา เรียนรู้ และตั้งใจทำมา เพื่อลูก ส่วนตัวคิดว่าที่ต้นโมกได้รางวัลนี้เป็นเพราะเค้าเป็นเด็กร่าเริง พูดเก่ง กล้าพูดกับครู เล่นสนุกสนาน มีความมั่นใจและเชื่อมั่น กล้าคิดกล้าทำ ตามวัยของเค้า จริงๆเรื่องความมั่นใจเนี่ยอาจจะได้รับจากกรรมพันธุ์พ่อเค้าส่วนนึง แต่ก็คิดว่าการเลี้ยงดูก็น่าจะมีผลด้วย ก็เลยอยากเขียนแนวทางการเลี้ยงเก็บไว้เผื่อเป็นประโยชน์กับผู้อื่นหรือในครอบครัวเราต่อไป
ความจริงแม่ก็เป็นWorkingmom ทำงานบริษัทเอกชน(ทั้งพ่อและแม่)ที่ต้องออกทำงานแต่เช้า กลับบ้านก็ทุ่มสองทุ่มโดยเฉลี่ยทุกวัน ยอมรับว่าเวลาที่จะให้กับลูกนั้นมันน้อยมากๆ จนบางทีแม่ก็คิดหลายตลบว่า คุ้มมั้ยกับการที่ต้องทำงานโดยไม่ได้เลี้ยงลูกอย่างเต็มที่อย่างที่แม่อยากจะทำ แต่พ่อกับแม่ก็ตกลงกัดฟันสู้ และเชื่อมั่นว่า ถึงเวลาเราจะน้อย แต่หลังจากงานถ้าเราทุ่มเทเวลาคุณภาพให้ลูกจริงๆ มันก็สามารถทดแทนกันได้ และคงไม่ทำให้ลูกรู้สึกว่าขาด ซึ่ง ณ จุดนี้ แม่ก็รู้สึกว่าพอใจกับสิ่งที่ตั้งใจกันมาทั้งพ่อและแม่ แต่อีกหน่อยถ้ามีลูกสองคน พ่อกับแม่คงเหนื่อยกันมากกว่านี้แน่ๆ แต่เราก็คงจะกัดฟันสู้กันอีกสักตั้งนึง สักวันคงมีรางวัลแห่งความพยายามมาให้พ่อกับแม่บ้าง ซึ่งก็คือลูกที่มีความสุขทั้งสองคน :)
ที่อารัมบทเรื่องการทำงานของพ่อกับแม่ ก็เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ workingmom หลายๆคน(คิดว่าคงเป็นส่วนใหญ่ในสังคมเมือง) ได้มั่นใจว่า การเป็นแม่ที่ต้องทำงาน ไม่ได้ทำให้ลูกเราจะขาดความรักความอบอุ่นไปมากกว่าเด็กคนอื่น ถ้าเรามีความตั้งใจและมุ่งมั่นว่า เวลาที่เหลือของเราจะทุ่มเทและให้ลูก และทำให้เวลาทุกวินาทีเป็นเวลาคุณภาพจริงๆ ซึ่งเทคนิคต่างๆ คงมีแฝงอยู่ในบทความต่อไปนี้ :)
มีเพื่อนๆหลายคนเคยถามวิธีการเลี้ยงลูกบ้าง จริงๆเราเป็นคนพูดไม่เก่ง หรือบางทีมันมีเรื่องราวมากมายที่พูดไปแล้วไม่ครบบ้าง ก็เลยอยากเขียนสรุปไว้เลยดีกว่า เพื่อเป็นปย.กับตัวเองในอนาคตด้วย เพราะช่วงที่เลี้ยงคนที่สอง คงไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลมากมาย และบางทีก็คงลืมๆไปบ้างเพราะความจำสั้น เขียนสรุปไว้น่าจะดีกว่า :)
เทคนิคการเลี้ยงลูกวัยแรกเกิดถึง3ขวบ (อ่านแบบเพลินๆไปละกันนะคะ ไม่ได้เรียงตามอะไร นึกอะไรได้ก็เขียน)
1. ปัจจัยพื้นฐานดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
ปัยจัยพื้นฐานที่ว่าก็คือสุขภาพร่างกายโดยรวมของลูกนี่หละคะ เริ่มตั้งแต่
- อาหารการกิน เป็นเรื่องหนักใจของพ่อแม่หลายๆคน เพราะลูกบางคนก็ไม่ยอมกินเลยหรือกินน้อยบางช่วง ตอนเล็กๆก็ง่ายหน่อย ป้อนนมกันอย่างเดียวก็กินดีกันซะส่วนใหญ่ แต่พอโตหน่อยเริ่มให้กินข้าวบด ก็เริ่มเลือกกินกันมากขึ้นเรื่อยๆ หลักการที่บ้านเราใช้ก็คือพยายามดูแลอาหารให้ครบทุกหมู่ จะเน้นไข่อย่างน้อยวันละฟอง และผักก็ควรมีทุกมื้อ ถ้ากินผักยากก็ต้มใส่ซุปให้ สารอาหารอาจจะลดไปบ้าง แต่ก็ยังได้กากใยช่วยขับถ่ายบ้าง คือจริงๆไม่มีหลักอะไรมากมาย ทำยังไงก็ได้ให้ลูกกินให้พอเพียง กินเป็นเวลา และมีนมเสริมวันละ 3-4 มื้อคะ ส่วนน้ำก็ต้องให้กินบ่อยๆในระหว่างวัน เพราะน้ำและน้ำตาล(จากข้าวหรือแป้ง)เป็นอาหารที่ดีที่สุดของสมอง (อันนี้อ่านเจอจริงๆคะไม่ได้คิดเอง)
- การขับถ่ายที่ดี เรื่องนี้บางบ้านเป็นปัญหาใหญ่เลย เพราะเด็กถ้าขับถ่ายดีจะอารมณ์ดี แจ่มใส พร้อมที่จะเรียนรู้ (ก็เหมือนผู้ใหญ่ละคะ) เรื่องแก้ปัญหาท้องผูกนี่ไม่ค่อยสันทัด เพราะต้นโมกเป็นเด็กที่ถ่ายทุกวัน มีเว้น2-3วันบ้างบางที ก็จะพยายามให้กินน้ำส้ม ยาคูลท์ ใส่ผักเพิ่มในอาหาร กินน้ำเยอะๆ ให้ออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นลำไส้ให้เคลื่อนไหว หรือบางทีพอเล่นจ๊ะเอ๋แล้วเค้าหัวเราะเยอะๆก็จะปวดถ่ายทันทีเลยคะ
- การนอนหลับที่เพียงพอ การนอนนี่มีเทคนิคอย่างเดียวเลยคือ ทำให้เป็นเวลาสม่ำเสมอ อย่างต้นโมกตั้งแต่เกิดจะพยายามทำเวลานอนของเค้าให้ตรงเวลาทุกวัน แรกเกิดจะตื่นทุก2-3ชม. ก็ไม่เป็นไร ขอให้ตื่นและหลับเป็นเวลา พอโตหน่อยก็จะห่างขึ้น สัก4-5ชม. พอสักเก้าเดือนถึงขวบนึงก็จะเริ่มนอนกลางคืนยาวรวดเดียว กลางวันจะหลับสองรอบ พอสัก2ขวบกลางวันจะหลับเหลือรอบเดียว เค้าจะปรับเวลาของเค้าตามวัยเอง เราเพียงแต่ให้เค้านอนตรงเวลาของเค้า อย่าไปฝืนพาเที่ยวหรือเล่นถ้าไม่จำเป็น เพราะจะไปทำลายระบบที่เราตั้งมา
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
เด็กๆมีพลังเยอะมากคะ เราต้องหาวิธีให้เค้าได้ปล่อยพลังให้เต็มที่ ถ้าเค้าไม่ได้ออกกำลังหรือปล่อยพลังเลย จะทำให้เค้าไม่หิวและไม่ง่วงตามเวลาของเค้า ก็จะลำบากพ่อแม่อีก การให้ลูกปล่อยพลังก็มีหลายวิธีคะ ถ้าเล็กๆหน่อยก็ให้ดิ้นถีบแขนขาไป ฝึกพลิกคว่ำหงาย ฝึกคืบคลาน ต่อไปก็ ฝึกตั้งไข่ หัดเดิน หัดวิ่ง ปล่อยให้วิ่งตามสนามหญ้ากว้างๆ เดินเล่นในสวน กวาดใบไม้ เช็ดถูบ้าน ถึบจักรยาน ฯลฯ การออกกำลังจะกระตุ้นให้สมองทำงานได้ดีด้วยคะ
3. ดูแลสุขภาพร่างกายลูกให้แข็งแรงและฝึกรับมือกับความเจ็บป่วยของลูก
คอยติดตามการฉีดวัคซีนของลูกให้ตรงเวลา ถ้าลูกไม่สบายก็รีบดูแลและรักษาลูกให้หายป่วยให้เร็วที่สุด อย่าปล่อยให้เรื้อรังจนเป็นเยอะและรักษายาก ดูแลเรื่องยาและวิธีการรักษาด้วยตัวเอง จดจำชื่อยาที่ลูกกินแล้วหายไว(ถูกกับโรค) เรื่องการรักษาดูแลลูกป่วยมีรายละเอียดมากมายคงเขียนหมดไม่ไหว เพราะแต่ละโรคมันมีรายเละเอียดและการดูแลต่างกันไป คุณแม่ต้องศึกษาและเรียนรู้ไปเรื่อยๆคะ ที่สำคัญคือต้องเตรียมร่างกายและจิตใจแม่ให้พร้อมรับมือเวลาลูกป่วย เพราะมันจะทรมานและเหนื่อยมากจริงๆ
4. เปิดโลกให้กว้างเพื่อรับข้อมูลข่าวสาร และศึกษาอย่างมีสติ
ไม่มีใครเลี้ยงลูกเป็นตั้งแต่เกิด บางคนไม่เคยเลี้ยงน้องหรือหลานเลยก็มี เพราะฉะนั้นลูกสำหรับบางคนคือการทดลองเลี้ยง จะมองแบบนั้นก็พอได้ แต่การทดลองนี้เราต้องรับผลความผิดพลาดนั้นไปอาจจะตลอดชีวิตเลย เพราะฉะนั้นเราไม่เคยนึกว่าจะเลี้ยงลูกตามยถากรรม เพราะลูกมีความสำคัญเกินกว่าจะปล่อยไปตามยถากรรม ทุกวันนี้แหล่งความรู้และข้อมูลมีมากมายหลายที่ เอาแค่ว่าถ้าเราสงสัยเรื่องอะไร พอพิมคำนั้นเข้าไปในgoogle ก็มีบทความมากมายเป็นร้อยเป็นพันขึ้นมาให้เลือกอ่าน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะเชื่อทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเลือกอ่านจากแหล่งที่เชื่อถือได้และคิดตามอย่างมีสติ และบางทีถ้าจะเอามาใช้กับลูก เราต้องใช้สัญญาตญาณใส่เข้าไปด้วยว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ดีกับลูกแค่ไหน บางทีสิ่งที่ดีกับเด็กคนอื่น อาจไม่เหมาะกับลูกเราก็ได้ ซึ่งแม่เท่านั้นจะรู้ดีที่สุด
แหล่งข้อมูลที่ดีมีมายมาย ทั้งหนังสือ นิตยสาร เวบไซท์ต่างๆ เวบบอร์ดคุณแม่ต่างๆ ที่สำคัญคือ คุณแม่ที่มีประสบการณ์ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ข้อมูลที่ได้เราก็ได้มาจากแหล่งพวกนี้ แต่ข้อมูลที่จับต้องได้และใช้ได้จริงๆจะมาจากรุ่นพี่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์นี่แหละ และจะช่วยลดเวลาในการหาข้อมูลได้เยอะเลย ข้อมูลที่นำมาสรุปในนี้ก็มาจากแหล่งต่างๆและประสบการณ์จริงประกอบกัน
5. ติดตามพัฒนาการลูกให้สมวัยและหมั่นสังเกตสิ่งผิดปกติของลูก
เราให้ความสำคัญกับพัฒนาการของลูกมากๆ เพราะรู้สึกว่าลูกโตไวมาก ถ้าเราปล่อยให้เวลาผ่านไป บางอย่างมันอาจเลยวัยที่เราจะส่งเสริมหรือกระตุ้นเค้าไปแล้ว แล้วเราจะย้อนเวลากลับคืนมาไม่ได้ มีสรุปหรือ check list พัฒนาการลูกมากมายหลายที่ ทุกเดือนเลยก็ว่าได้ เราสามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงได้ว่าลูกเราพัฒนาการตามวัยมั้ย มีอะไรผิดปกติบ้างรึเปล่า อย่านิ่งนอนใจกับสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เรารู้สึกว่าผิดปกติ แต่ก็อย่าหวาดระแวงมากนัก ค่อยๆดูค่อยๆเสริมลูกไป แต่ที่สำคัญคือเราต้องคอยสังเกตลูกทุกๆเรื่องอย่างสม่ำเสมอ อย่างต้นโมกเราสังเกตเห็นเค้าแลบลิ้นได้น้อยและแลบมาลิ้นเป็นแฉกเหมือนโดนดึงอยู่ พอไปให้หมอเช็ค หมอบอกไม่เป็นไร แต่ด้วยความกังวลเลยไปให้หมออีกคนเช็ค ก็เลยรู้ว่าลูกเป็นผังผืดใต้ลิ้น ถ้าปล่อยไปอาจจทำให้พูดไม่ชัดตอนโต ก็เลยตัดสินใจให้ผ่าตัดเล็กเอาผังผืดออกตั้งแต่ขวบสองเดือน จริงๆมีทั้งเสียงสนับสนุนและคัดค้าน แต่เราก็เชื่อในสัญชาตญาณแม่เนี่ยแหละว่าจะตัดสินใจยังไง พอผ่าเสร็จหมอผ่าตัดออกมาถามว่า "น้องเป็นเยอะมาก คุณแม่สังเกตเห็นได้ยังไง" ซึ่งถ้ายังไม่ผ่าตอนนั้น วันนี้ต้นโมกจะพูดเยอะและชัดเท่านี้รึเปล่าก็ไม่รู้
6. ชีวิตของเด็กคือการเล่น ส่งเสริมการเล่นของลูกให้เต็มที่
เด็กเรียนรู้จากการเล่นล้วนๆเลยคะ ทุกอย่างของลูกคือการเล่น เราต้องคอยหาวิธีการเล่นให้เหมาะสมตามวัย และของเล่นที่เหมาะกับวัยของเค้าอย่าให้ขาด ของเล่นที่แนะนำก็จะเป็นของเล่นเสริมพัฒนาการทั้งหลาย จริงๆไม่ค่อยชอบของเล่นสำเร็จรูปเช่นอะไรที่มีปุ่มกดฟังเพลงทำนองนี้ ซึ่งหาข้อมูลการเล่นตามวัยได้จากแหล่งต่างๆมากมาย ที่สำคัญคือพ่อแม่จะมีเวลาเล่นกับลูกรึเปล่า เทคนิคของเราคือตั้งแต่tmเริ่มคืบได้ ก็หาแผ่นยางมาปูทั่วห้องรับแขกเลย(ตอนนี้กลายเป็นห้องเล่นของลูกไปแล้ว) แล้วทุกคนก็นั่งเล่นบนพื้นกับต้นโมกตลอด โดยเล่นตามที่เด็กต้องการจะเล่น มารู้ทีหลังว่าเป็นหลักการของ floortime คือการเล่นบนพื้นกับเด็ก ที่ช่วยให้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ และทำให้เด็กรู้สึกผูกพันใกล้ชิดกับพ่อแม่ แค่พ่อแม่ทำfloortimeกับลูกวันละแค่10นาที ก็ทำให้ลูกพัฒนาการดีและมีความสุขได้
7. หมั่นพาเที่ยวเสริมประสบการณ์และพัฒนาการ
อันนี้ได้มาจากคุณยายเลยคะ คุณยายบอกว่า พาเด็กเที่ยวบ่อยๆเด็กจะฉลาด ตอนแรกก็ไม่ได้คิดไรมาก จริงๆแม่เป็นคนขี้เบื่อไม่ชอบอยู่บ้าน ก็เลยหาเรื่องพาออกบ่อยๆ ไปห้างซะส่วนใหญ่ แต่ก็ไปไม่นาน พาเดินดูผักผลไม้ กินข้าวแล้วก็กลับคะ จริงกะจะกล่อมลูกนอนซะมากกว่า คือพอบ่ายๆกลับนั่งรถแล้วก็หลับเลย แต่ก็สังเกตได้ว่าเวลาไปเที่ยวแล้วกลับมาเค้าจะมีเรื่องเล่ามากมายและได้รู้จักสิ่งต่างๆเพิ่ม เป็นการเปิดหูเปิดตาเด็กดีเหมือนกัน แต่ก็ควรไปที่แปลกๆบ้าง เช่น ตลาด ห้าง สวนสาธารณะ ต่างจังหวัด ทะเล ภูเขา ฯลฯ
8. หาผู้ช่วยในยามจำเป็น
การที่พ่อแม่ทำงานทั้งคู่ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเลี้ยงลูกเองโดยไม่มีผู้ช่วย จริงๆผู้ช่วยหรือตัวแทนเราที่ดีที่สุดก็คือพ่อแม่ของเราเอง นั่นคือปู่ย่าตายายนั่นเอง เพราะท่านจะรักหลานมากพอๆกับเราหรือมากกว่ารักเราด้วยซ้ำ แต่การที่ให้ผู้ใหญ่ช่วยดูแลลูก ต้องไม่ลืมว่ายังไงลูกก็คือลูกเรา เรามีหน้าที่ต้องดูแลทุกเรื่องของลูก อย่าคิดว่าจะโยนภาระหน้าที่นี้ไปให้ปู่ย่าตายายได้ทั้งหมด การวางแนวการเลี้ยงก็ยังคงเป็นหน้าที่หลักของพ่อแม่ บางเรื่องอาจจะเห็นไม่ตรงกับผู้ใหญ่ บางทีผู้ใหญ่ก็ถูกเราก็ต้องรับฟัง แต่ถ้าเรามั่นใจว่าแนวคิดเราถูกกว่า ก็ต้องพยายามโน้มน้าวให้ผู้ใหญ่เข้าใจและเชื่อตามเรา โดยอ้างว่าหมอบอก, ตำราบอก, หรือมีคนทำแล้วดี ต่างๆนานากันไป
ส่วนเรื่องงานบ้าน ถ้ามีพี่เลี้ยงหรือแม่บ้านช่วยจะดีมากกว่า เพราะพ่อแม่จะได้มีเวลาเล่นกับลูกและใส่ใจลูกได้เต็มที่ แต่ถ้าให้พี่เลี้ยงช่วยดูลูก เราก็ต้องคอยดูการทำงานของพี่เลี้ยงบ้างอย่างใกล้ชิด เพราะบางเรื่องพี่เลี้ยงก็มีทำผิดหรือบกพร่องได้โดยที่เราไม่เห็นตลอด
9. สอนโดยการพูดด้วยเหตุผล ไม่ใช้การตี
หลักการนี้มีทั้งฝ่ายสนับสนุนและไม่เห็นด้วย อันนี้ก็ไม่ขอฟันธงว่าใครผิดหรือถูกละกัน ขึ้นอยู่กับแนวคิดของแต่ละบ้าน แต่บ้านเราขอใช้หลักการพูดสอน มากกว่าการทำโทษด้วยการตี เพราะในวัยเล็กๆนี้คิดว่าการตีคงไม่ได้ปย.เท่าไหร่ จริงๆเคยลองตีลูกบ้างเหมือนกัน แต่ก็ตีเบาๆเท่านั้น เค้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหรือหยุดทำซะทีเดียว แต่พอมาใช้การสอนด้วยเหตุผล ว่าห้ามทำแบบนี้ ทำไม่ได้เพราะอะไร รู้สึกว่าเค้าฟังและรู้เรื่อง และก็ไม่ได้ทำอีก และเค้ายังพูดเองในสิ่งที่เราเคยสอนด้วย ก็เลยคิดว่าเด็กจริงๆเค้ารู้เรื่องในสิ่งที่เราพูด ถ้าพูดบ่อยๆเค้าก็ฟัง แล้วจะใช้การตีไปเพื่ออะไร ตีไปก็เจ็บเปล่าๆ แล้วการตีน่าจะทำให้เด็กรู้สึกผิดและไม่มั่นใจด้วย และคงทำให้เค้าไม่กล้าทำอะไรเท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่าจะถูกตีมั้ย (ลองนึกถึงตัวเราเองเวลาถูกตี คงไม่มีใครรู้สึกดีหรอกใช่มั้ยคะ) แต่ว่าถ้าเด็กโตอีกหน่อยขอดูสถานการณ์อีกทีละกัน บางทีการตีอาจจะได้ผลบ้างก็ได้ แต่ขอเป็นวิธีสุดท้ายที่จะใช้ลงโทษลูกละกัน
10. อย่าห้ามลูกจนเกินไป แต่ก็อย่าปล่อยให้ทำในสิ่งที่อันตราย
เคยอ่านเจอว่าการห้ามลูกไปซะทุกอย่างจะทำให้ลูกไม่มีความเชื่อมั่น และไม่กล้าทำอะไร คิดว่าน่าจะจริง เพราะต้นโมกจะไม่ค่อยโดนห้ามมากนัก (อันนี้แม่อิงตามตำราเลย) ตั้งแต่แรกเกิด เค้าอยากดูดนิ้วก็ดูดไป เพราะรู้ว่าเค้ากำลังค้นพบนิ้วเค้า เป็นปกติ ไม่ต้องไปดึงออก แต่ใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจไปที่อื่นแทน พอโตหน่อยก็อมของเล่น เพราะเด็กชอบสัมผัสด้วยปาก ก็ปล่อยไป ล้างของเล่นบ่อยๆแทน พอโตจนซนวิ่งได้ ก็ปล่อยให้เดินวิ่งปีน โดยมีคนคอยตามจับประกบตลอด เค้าก็เป็นเด็กชอบวิ่งชอบปีนไปเอง แต่บางอย่างที่อันตรายก็พยายามเก็บซ่อน ปิด อย่าให้เค้าเข้าถึง ก็จะป้องกันอันตรายที่อาจเกิดได้
11. พาไป playgroup บ้าง
จริงๆอันนี้คิดว่าไม่ค่อยจำเป็น แต่พอดีพาน้องต้นโมกไปเรียนที่โรงเรียนเสริมพัฒนาการแห่งหนึ่ง สอนเป็นภาษาอังกฤษ ให้เรียนตั้งแต่ขวบนึงจนสองขวบกว่าก็หยุดเพราะเข้าเตรียมอนุบาลพอดี เลยคิดว่าที่ต้นโมกเป็นเด็กกล้า ชอบเต้น ชอบร้องเพลง ส่วนหนึ่งน่าจะได้มาจากการเรียนเป็น playgroupที่นี่ และเป็นพื้นฐานให้เค้าชอบเรียนภาษาอังกฤษด้วย เลยคิดว่ามีส่วนบ้าง ถ้าคุณพ่อคุณแม่พอมีเวลา แค่เรียนสัปดาห์ละ1ชม. ก็ได้ผลแล้วคะ แต่ควรไปสม่ำเสมอนะคะ อย่าหยุดบ่อย จะทำให้เด็กต่อเนื่องและได้ผลจริงๆ
12. ฟังเพลงและเต้น ช่วยเสริมสร้างสมองและทำให้ลูกอารมณ์ดี
จะว่าไปต้นโมกได้ฟังเพลงโมสาร์ทตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เพราะแม่บ้าเห่อลูกตั้งแต่ท้อง เปิดฟังตอนอาบน้ำทุกวันเลย พอคลอดมา ตอนลูกตื่นก็เปิดโมสาร์ทคลอเบาๆตลอด พอลูกเริ่มคืบคลานได้ ฟังเพลงรู้เรื่อง ก็ให้ฟังเพลงภาษาอังกฤษ จริงๆไม่ได้เว่ออะไร แต่จังหวะและเสียงเพลงภาษาอังกฤษมันกระตุ้นเด็กได้ดีกว่าเพลงไทยจริงๆ ก็เลยเปิดทั้งCDและร้องเองตบมือเองกันตลอด เพลงโปรดของต้นโมกก็มี Twingle little star, If you're happy, Head shoulder, Do re me, The wheels on the bus ส่วนท่าเต้นส่วนใหญ่จะได้จากที่ไปเรียนplaygroup เพลงไทยที่ชอบก็มีนะคะ เช่น จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า
เคยอ่านเจอว่าเด็กที่ฟังเพลงและชอบดนตรีจะเก่งเลข เพราะเพลงมันจะไปกระตุ้นสมองซีกที่ทำให้เก่งเลข (ซีกไหนจำไม่ได้อะ) เอาเป็นว่าเพลงมีส่วนช่วยให้เด็กสมองดี และอารมณ์ดี อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมที่สนุกกันได้ทั้งครอบครัว สร้างสัมพันธภาพที่ดีให้พ่อแม่ลูก แค่นี้ก็คุ้มเกินคุ้มแล้ว
13. อ่านหนังสือให้ฟังแต่เล็กๆ สร้างสมองและทำให้เด็กพูดเก่ง
อันนี้อ่านเจอหลายสำนักมากๆ ตอนtmเด็กๆก็แอบเบื่อนะ จะอ่านไปทำไม ลูกก็ไม่เห็นฟัง หรือดูเหมือนจะฟังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ แต่ก็พยายามอ่านให้ฟังตั้งแต่ห้าเดือนได้ หนังสือก็พยายามหาตามวัยเค้า เอาเล่มที่ดูง่ายๆสำหรับเด็กเล็กๆก่อน (ใช้สัญชาตญาณในการเลือกซะส่วนใหญ่) พอ 9 เดือน tmเริ่มติดหนังสือ หยิบมาเปิดเอง ดูรูปแล้วชี้ ก็เลยรู้สึกว่า ได้ผลเหมือนกัน ทำให้เด็กชอบหนังสือได้ไว และส่งผลจนโตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เค้ามีตรรกกะในการคิด คิดเป็นเหตุผล จากเรื่องราวในหนังสือ และก็รู้จักสิ่งต่างๆมากมายจากหนังสือ แต่สิ่งที่คุ้มที่สุดคือ ลูกชอบหนังสือนี่แหละ เพราะความชอบมันไม่ได้สร้างกันง่ายๆ ถ้าเด็กชอบอ่านหนังสือ พอโตขึ้นเค้าจะสามารถค้นคว้าสิ่งต่างๆได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพ่อแม่หรือครูมากมาย เค้าจะเก่งได้ด้วยตัวเค้าเอง
14. ให้วาดเขียนตั้งแต่เล็ก เพิ่มหยักสมองให้เด็ก
เคยคุยกับรุ่นพี่คนนึง เค้าแนะนำให้ซื้อกระดานมาให้ลูกวาดเขียนเยอะๆ เพราะเด็กขีดเส้นหนึ่งเส้น เท่ากับเพิ่มหยักสมองหนึ่งหยัก พอได้ฟังดังนั้น ก็รีบแจ้นไปหากระดานทันที แต่จริงๆแล้วก็หัดให้ลูกจับสีเทียนมาตั้งแต่8-9เดือนได้ ตอนนั้นจับบ้างอมบ้าง ก็คอยดึงออกเพราะเป็นอันตราย ก็เลยยังวาดได้ไม่เต็มที่นัก แต่พอสักขวบกว่าๆ ก็เริ่มจะจับแบบกำมือแล้วลากเป็นเส้นๆมั่วๆบ้าง ก็ปล่อยให้วาดไป แล้วก็ซื้อกระดาษวาดเขียนแผ่นใหญ่ให้เค้าเต็มที่เลย พอได้กระดานมาก็ช่วยได้หน่อยนึง แต่จะเอามาติดmagnetเล่นกันซะมากกว่า สุดท้ายมาจบที่โต๊ะเขียนหนังสือ ให้นั่งโต๊ะญี่ปุ่นวาดตั้งแต่ขวบกว่า แต่มาได้โต๊ะเขียนจริงจังตอนสองขวบกว่า รู้สึกว่านั่งเขียนได้ถนัดขึ้น ถือว่าเป็นของที่คุ้มค่าอีกอย่างในการส่งเสริมการเรียนให้เด็กๆ
การเขียนในเด็กเล็ก จริงๆจะเน้นให้เค้าลากเส้นได้อย่างอิสระก่อน ให้เค้าวาดรูปตามจินตนาการให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยให้ระบายสีในกรอบ หรือลากตามเส้นประ จะหลุดกรอบบ้างอะไรบ้างก็ไม่ต้องซีเรียส ปล่อยๆไป เด๋วเค้าก็จะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆเองถ้าได้ฝึกฝนบ่อยๆ
15. เล่นบทบาทสมมติ ได้ประโยชน์มากกว่าที่คิด
ต้นโมกเริ่มเล่นบทบาทสมมติค่อนข้างไว ประมาณขวบครึ่งได้ ที่ชอบเล่นก็คือเป็นหมอ เป็นคนขับรถ เป็นครู เป็นคนขายกาแฟ ฯลฯ ไม่ว่าจะบทบาทไหนก็ได้ประโยชน์กับเด็กทั้งหมด สังเกตว่าเวลาเล่นเค้าจะสนุกมาก และยิ่งถ้าพ่อแม่เล่นสมมุติใส่บทบาทอย่างเต็มที่ไม่มีกั๊กเค้าจะยิ่งสนุกและเสริมประสบการณ์มากยิ่งขึ้น ทำให้เค้ารู้จักปรับตัวเข้ากับคนอื่น สอนการอยู่ร่วมในสังคม จริงๆสามารถสอนได้เกือบทุกอย่างในการเล่นสมมติ แล้วแต่พ่อแม่จะใส่เรื่องราวต่างๆลงไป เช่นสอนให้เด็กขอโทษ ขอบคุณ ให้อภัย แบ่งปัน และอีกมากมาย เพราะชื่อก็บอกแล้วว่าการสมมติ ซึ่งมันก็คือการเลียนแบบเรื่องจริงที่เกิดในชีวิตประจำวันนั่นเอง
16. พูดคุยและถามตอบกับลูกบ่อยๆ ช่วยเสริมพัฒนาการทางภาษาและทำให้เด็กมีจินตนาการและมีเหตุผล
อ่านเจอในหนังสือหรือแหล่งต่างๆบ่อยมาก ว่า พูดกับลูกบ่อยๆ ลูกจะพูดเก่ง ในช่วงสองปีแรก ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เพราะลูกชายคนนี้พูดช้ามาก แม่ก็ขยันพูดด้วยตลอด แต่คุณลูกก็ได้แต่มองตาปริบๆ จะมีอือๆออๆบ้างตอนก่อนขวบ พอขวบสองเดือนที่แม่พบว่าลูกมีผังผืดใต้ลิ้นก็รีบไปจัดการผ่าตัดออกซะเรียบร้อย เพื่อจะได้ไม่มีอุปสรรคในการพูดของลูกอีก จากนั้นแม่ก็หมั่นพูด อ่านหนังสือ สอน ถามตอบต่างๆนานา จนสักขวบครึ่งลูกก็เริ่มจะโต้ตอบแม่ได้มากขึ้น แม่ก็ดีใจขึ้นเรื่อยๆ แต่กว่าคุณลูกจะพูดเก่งก็สองขวบนั่นแหละ ยิ่งพอเข้ารร.ยิ่งพูดเก่งมากขึ้นเพราะได้คุยกับครูบ่อยๆ และเห็นเพื่อนและครูคุยด้วย เคยได้ยินว่าเด็กเล็กๆเค้าจะเก็บศัพท์ไว้ในคลังสมอง พอพูดได้เค้าจะพูดได้เยอะเลย จนเราแปลกใจ ซึ่งก็จริงเหมือนกัน ก็เลยคิดว่า ยังไงการพูดกับลูกเยอะๆย่อมดีกว่าพูดน้อยแน่ๆ พอพูดคุยกันรู้เรื่องก็หมั่นถามให้ลูกตอบบ่อยๆ เค้าจะรู้จักการตอบเพื่อแก้ปัญหา และการหาเหตุผลในสิ่งต่างๆที่เค้าสงสัยได้ด้วยตัวเอง
สรุปสุดท้าย (ขอยืมคำพูดจากพี่สุกัญญามานะคะ ชอบมากมาย) การเลี้ยงลูกก็เหมือนปั้นดิน เด็กคือดินก้อนหนึ่ง ที่พ่อแม่จะปั้นเป็นอะไรก็ได้ ถ้าไม่ปั้นเลย เค้าก็คือก้อนดินที่ไม่มีค่าอะไร แต่ถ้าตั้งใจปั้นขึ้นมาหน่อย เค้าอาจจะเป็นแจกันปักดอกไม้ที่สวยงามได้ หรือถ้าเราใส่ใจปั้นอย่างเต็มที่ ก้อนดินก็อาจกลายเป็นประติมากรรมที่ยิ่งใหญ่หรือพระพุทธรูปที่มีค่าเลยก็ได้ ดังนั้น เราอยากให้ก้อนดินก้อนนี้เป็นอะไร เราก็ตั้งใจปั้นเค้าได้ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ และที่สำคัญต้องมีความรักเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับก้อนดินที่เปรียบดังหัวใจเราอีกดวงก้อนนี้
ปล.มีคำติชมหรือเสนอแนะเพิ่มเติม ยินดีนะคะ บอกแล้วว่าแม่คนนี้ยินดีเปิดรับความรู้จากทุกๆคนและทุกแหล่งคะ :)
Comment
ขอบคุณค่ะ ดีใจมากที่ได้อ่านบทความนี้ก่อนที่ลูกสาวจะอายุ 3 ขวบ
© 2024 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก. Powered by
You need to be a member of หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ to add comments!
Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้