เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย
เหตุเกิดจากที่ส่งลูกเรียนพิเศษภาษาจีนที่โรงเรียน เพราะคิดว่าน่าจะได้จากทางครูที่สอนแน่ ๆ และอยู่ในชั้นอนุบาลด้วย ถ้าเรียนผ่านการเล่น ได้ฝึกพูด ฝึกฟัง มันก็น่าจะดีกว่าเรา ที่มีพื้นน้อยมาก จะสอนทีก็ต้องเตรียมการสอนก่อน search google ก่อนทุกครั้ง (ซึ่งเราก็ทำอย่างงั้นตลอดกับทุกอย่างที่จะสอนลูก - ผ่านการเล่น)
ครูผู้สอนบอกครูประจำชั้นว่า ต้องเคี่ยวเข็ญให้ลูกเราเรียนตลอดตั้งแต่เทอมที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน (ครูมองว่าลูกเราเรียนไม่รู้เรื่อง) เพราะลูกเราเป็นคนไม่ตอบ ไม่พูดกับครู เพราะครูมีขู่จะฟ้องครูประจำชั้น ทำให้ครูประจำชั้นต้องคุยเรื่องบุคลิกและอุปนิสัยของลูกเราให้เค้าฟัง ว่าลูกเราเรียนรู้เรื่องนะ เพียงแต่จะไม่คุยกับคนที่ไม่คุ้นเคย ไม่ชอบใครมาขู่ (ประมาณว่าพูดกันดี ๆ เค้าก็เชื่อฟังและทำตาม แต่อย่าขู่ เพราะจะเจอพลังเงียบให้หงุดหงิดหัวใจ)
จากแผ่นงานที่ลูกเอากลับมาให้ดู .... โอ้โห แค่อนุบาล ทำไมให้เขียนเยอะขนาดนี้ (หมายถึงเส้นของตัวอักษรมันเยอะ) เราก็คิดในใจแต่แรกว่า เริ่มจากเส้นเดียว สองเส้น ไม่ได้เหรอ ถ้าจะฝึกให้เด็กเขียน การสอนก็มีสลับระบายสี สอนศัพท์ ตรงนี้ไม่มีปัญหาเลย เพราะลูกเรารู้ศัพท์ พูดประโยคได้มากกว่าเรา (ตอนนี้ซะอีก) แต่กลายเป็นว่ากลับแอนตี้การที่โดนให้คัด และให้เติมคำลงในประโยค (ซึ่งเขียนยากมาก -- ตัวหนังสือจีน พวกเราก็รู้อยู่ว่าเส้นมันเยอะ)
สิ่งที่ทำให้ลูกเราตัดสินใจมาบอกว่า ไม่เรียนแล้วนะ ไม่สนุกเลย ขอกลับมาเรียนภาษาอังกฤษเหมือนเดิมดีกว่า สนุกกว่าเยอะ (พูดทั้งน้ำตาเลย) อาจจะเป็นไปได้ว่าโดนกดดันให้คัดทุกอาทิตย์ (เรียนแค่อาทิตย์ละวัน) ล่าสุดคือโดนยึดเหรียญทองจากการแข่งกีฬาไปในวันที่ไปเงียบใส่ครู โดยครูเองบอกว่าให้ทำการบ้านหน้านี้มาส่งเพื่อแลกเอาเหรียญทองกลับไป (อันนี้เราฟังจากคำบอกเราจากครูประจำชั้นที่โทรมาแจ้งเราก่อนแล้ว แต่งานนี้ครูประจำชั้นไม่เกี่ยว แค่แจ้งข่าวเรา ครูยังบอกเราว่า "น้องเจไม่น่าเอาขึ้นมาให้ครูสอนจีนเห็นเล้ย")
เราไม่ติดใจกับการทำโทษของครู ถ้าลูกเราผิดจริง เรายินดี ... แต่ที่บ้านทุกคนบอกว่า แล้วทำไมต้องยึดเหรียญที่ได้จากการแข่งกีฬา ที่ลูกเราวาดหวังว่าจะได้เอามาโชว์และเล่าถึงความภาคภูมิใจ ลูกเราเล่าเรื่องตอนแข่งด้วยความภาคภูมิใจจริง ๆ ร่าเริงมาก "เค้าได้ที่ 1 เลยมะม๊า" แต่มาหน้าเศร้าบอกว่า "ต้องเอาการบ้านไปแลกเอาเหรียญกลับมา" วันนั้นเราพาไปกินข้าวที่ร้านที่ลูกเราอยากให้เราพาไปฉลอง เราบอกลูกว่า "เดี๋ยวเราทำการบ้านแล้วไปส่งครูเนอะ แล้วเอาเหรียญกลับมา"
แต่ว่าด้วยความที่งานครูเยอะ ติดประชุม ลูกเราเอาการบ้านไปส่ง ไม่เจอครู กลายเป็นว่า "ได้แห้ว .... กลับมารับประทานอีกรอบ" ผู้ใหญ่ที่บ้านยังไม่มีใครได้เห็นเหรียญที่ลูกเราภูมิใจนักภูมิใจหนาเลย และลูกเราเองก็เศร้าอีกรอบไปตามระเบียบ (แต่เค้าไม่ว่าครูซักคำนะ เพียงแต่ว่าเราดูออกว่าเค้าต้องเศร้ามาก ๆ)
พวกเราตัดสินใจว่า ... เราจะงดให้ลูกเราเรียนพิเศษจีนกลางตั้งแต่ศุกร์นี้จนจบเทอม และจะปรับทัศนคติให้ลูกเรากลับมาชอบเรียนภาษาจีนเหมือนเดิมให้ได้
เมื่อเช้าเราพยายามเอา CD Bao Bei ที่ลูกชอบเอาให้เค้าดู เค้าว่าเค้าไม่ดู มันยาก ไม่เรียนแล้ว ... เป็นแม่ก็เหนื่อยใจ เดี๋ยวต้องหาวิธีใหม่ ๆ มาลองใช้กับลูก ให้มาคิดบวกกับสิ่งที่แม่ (พยายาม) สร้างให้ --- เราไม่อยากให้สิ่งที่เราพยายามสร้างให้ลูก มันต้องพังทลายด้วยความรู้สึกด้านลบที่ก่อตัวในใจของลูกเราจากเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องที่เป็นเหมือน "น้ำผึ้งหยดเดียว"
เรายังยืนยันว่า การเรียนภาษาในเด็ก ควรเรียนผ่านการเล่น ฟัง พูด เหมือนที่พวกเราใช้กันอยู่ในเว็บนี้ การเขียนโตกว่านี้ก็ยังไม่น่าจะสาย ....... เป็นกำลังใจให้น้องเจลูกเรากันนะ ^_^ จะได้กลับมาเป็นเด็ก 3 ภาษาอีกครั้ง
เราติงเรื่องการสอนภาษาเด็กไป และครูประจำชั้นก็ได้ไปคุยกะครูท่านนี้ว่าควรเปลี่ยนแนวสอนดีมั๊ย ดูเหมือนเด็กไม่มีความสุขที่ได้เรียนแบบนี้ ได้รับคำตอบกลับมาแบบที่คนเป็นแม่อย่างเราอึ้งมาก คือ "ก็เด็กคนอื่นในอนุบาล 2 เหมือนลูกเราก็ยังทำได้ ก็มีแค่ลูกเราคนเดียวที่ทำไม่ได้" เราถามครูประจำชั้นกลับไปว่า "อย่างภาษาอังกฤษที่ทาง รร. สอน เคยเห็นเด็กแอนตี้มั๊ย ก็ไม่มี สอนโฟนิค ยากมั๊ย ก็ยาก แต่ทำไมเด็กพูดกันได้ อ่านกันได้ โต้ตอบครูต่างชาติกันได้ --- ก็เพราะเค้าเรียนรู้เรื่อง เค้าเรียนด้วยความสนุก ผ่านการเล่นเกม เล่านิทาน ร้องเพลง แล้วการเขียนภาษาอังกฤษ ถามว่าอักษรเขียนง่ายกว่าเยอะมั๊ย เยอะมาก เริ่มจากกี่ตัว ก็ 1 ตัว แล้วค่อยเพิ่ม แต่การเขียนจีนที่เราเห็น มาเป็นคำยากหลายเส้น กล้ามเนื้อมือเด็กไม่ได้แข็งแรงจะเขียนได้ขนาดนั้น หรือต่อให้แข็งแรง จะรู้มั๊ยว่าต้องเริ่มเส้นไหนก่อนหลัง คือถ้าเริ่มจากการเขียนตัวเลขจีน เราก็คงไม่ท้วงติง เพราะเราเชื่อว่าเด็กที่ไหนก็เขียนได้ มันเริ่มจาก 1 เส้นที่เลข 1 --- เราสอนให้น้องเจเอาพู่กันจุ่มสีเขียนเล่นกะเราสมัยเรียนเตรียมอนุบาล คือถึงแม้ว่าเขียนไม่สวย แต่ลูกรู้มั๊ยว่าคือเลข 1 เค้าก็รู้ และสนุกไปกะสีด้วย" ....
สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกท่านที่แวะอ่านนะคะ ...... เราแค่อยากระบายสิ่งที่อัดอั้นแค่นั้นอะค่ะ ^_^! ต่อไปก็คงมานั่งคิดต่อ ทำงัยให้ลูกเรากลับมาเหมือนเดิม ...
Tags:
แม่น้องเจ เป็นกำลังใจให้นะคะ เข้าใจน้องเจ มีความรู้สึกว่าครูทำเกินกว่าเหตุไปนิด เลยพลอยทำให้น้องเจไม่ชอบภาษาจีนอีก แต่เชื่อว่าอีกหน่อย ถ้าน้องเจได้เจอเพื่อนๆเด็กๆชาวจีน หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมภาษาจีนที่สนุก เขาน่าจะกลับมาชอบเหมือนเดิมคะ
@18/1/55
วันนี้ลูกเรากลับมาจาก รร. ด้วยท่าทีที่ร่าเริงมากมาย เอา "เหรียญทอง" มาโชว์บอกว่าได้คืนจากครูแล้ว ^_^ แต่ รอง ผอ. ก็ได้เรียกลูกเราเข้าไปคุยในเรื่องที่เกิดขึ้น ครูแค่ถามเหตุผลว่า ทำไมน้องเจไม่อยากเรียนภาษาจีนแล้วล่ะ แล้วทำไมถึงไม่ทำการบ้าน (จากที่เราเคยพูดคุยกับครูท่านนี้) ครูจะพูดด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน น้องเจตอบครูว่า "มันยากเกินไปครับ" น้องเจบอกว่าครูไม่ดุอะไรเลย ครูพูดแบบใจดีมาก "ถ้ายากก็ต้องพยายามนะ" แล้วก็บอกให้น้องเจขึ้นห้องไปเรียนต่อ น้องเจเล่าต่อว่าหลังจากนั้นก็เป็นคิวของครูประจำชั้นและครูสอนจีนเข้าพบ อาจจะมีเรื่องต้องคุยต้องปรึกษากันในเรื่องของแนวการสอน
ตอนเย็นหลังจากเลิกเรียน เราได้รับโทรศัพท์จากครูประจำชั้นของน้องเจแจ้งว่า "จากกรณีความเห็นของคุณแม่ที่คุยกับครูเรื่องนี้และหนังสือสื่อสารที่ส่งถึงครู ครูคิดว่าน่าจะนำเสนอให้ผู้ใหญ่ของทาง รร. ได้รับทราบ ก็เลยส่งเรื่องไป ดังนั้น ทาง รอง ผอ. ก็เลยขอเชิญคุณแม่มาพบเพื่อชี้แจงในเรื่องของปัญหาที่เกิดขึ้นและพฤติกรรมของน้องเจด้วย" ซึ่งเราไม่ได้ขัดข้องอะไร ก็เลยนัดเป็นวันศุกร์ 19/1/55 ช่วงเช้า ... ครูบอกว่า ครูเองไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัดว่า รอง ผอ. จะคุยเรื่องอะไร แต่คิดว่าน่าจะเป็นการชี้แจงเรื่องแนวการสอนที่คุณแม่ได้แจ้งเข้ามาว่าเป็นปัญหา เราบอกครูว่ารับทราบค่ะ
ถามว่าเราโกรธครูสอนจีนท่านมั๊ยที่เคี่ยวเข็ญลูกเราขนาดนั้น เราตอบตามตรงว่า เราไม่ได้โกรธ แต่ว่ามันทำร้ายจิตใจในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกันกับวิชาภาษาจีน เราก็แค่อยากหยุดปัญหาทุกอย่างไว้ตรงนั้น การเรียนการสอนแบบของครู อาจจะสวนทางและไม่ตรงใจกับเราเท่าไหร่ แต่นั่นเป็นเรื่องของครูที่เป็นผู้วางแผนการเรียนของเด็ก ส่วนในทางเรา เราคิดว่าที่หยุด เพราะเราต้องการปรับความรู้สึก ปรับทัศนคติของลูกเราให้กลับมารู้สึกดีกับการเรียนภาษาจีน (ที่แม้เราอาจจะไม่ได้สอนได้เต็มที่เหมือนภาษาอังกฤษ แต่ก็เราก็ได้ทุ่มเวลาทุ่มใจสอน และเคยคาดหวังไว้ว่าเรียนกับครูที่ รร. ก็น่าจะดี) หยุดตรงนี้ก่อนดีกว่า ไม่อยากให้สะสมจนกลายเป็นเด็กที่ไม่เอาแล้วภาษา ไม่เอาแล้วอะไรที่มีความเป็นจีน ซึ่งเราคิดว่าภาษาจีนยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ปูพื้นให้ลูกได้แต่เด็กน่าจะดี ไม่เก่งมาก แค่พอมีพื้นหน่อย โตกว่านี้ความรู้ก็น่าจะโตขึ้นตามวัยด้วย
น้องเจบอกว่า "เค้าไม่เรียนอีกแล้วภาษาจีน ถ้าจะเรียน เค้าจะให้มะม๊าสอนคนเดียว มะม๊าสอนไม่ยากเหมือนครู ครูสอนยาก" .... ประโยคนี้มันก้องในหัวสมองเรา มันก้องในใจเราอะ ..... เจ็บปวดแบบบอกไม่ถูก ถ้าเราไม่แก้ปัญหาให้ลูกตอนนี้ แล้วจะให้เราแก้ตอนไหน ... ว่าปะ ?
ขอบคุณที่มาแบ่งปันเรื่องดีๆ เช่นนี้นะ
ขอเป็นกำลังใจให้แม่น้องเจด้วยคนจ้ะ
ส่วนตัว คิดว่า ตอนนี้ คุณแม่อาจจะต้องชลอภาษาจีนไปสักพักก่อน เพราะเค้ายังรู้สึกไม่ดีกับมัน ผ่านไปซักพัก คูณแม่ค่อยๆ สอดแทรกเข้าไปใหม่ ใจเย็นๆ นะจ้ะ น้องเจเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีความเป็นตัวเองของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ เทคนิคในการสอนก็ปรับเปลี่ยนให้ถูกตามจริตของเค้า
แต่พี่เห็นอย่างหนึ่งว่า น้องเจยังไม่ได้เกลียดภาษาจีนมากเท่าไร ยังกลับลำทัน เพราะอย่างน้อยเค้าก็ยังยินดีที่ให้มะม๊าสอน ตอนนี้ถ้าสอนไหม่ ก็เอาแบบเล่นเป็นเกม หรือร้องเพลง หรือ การ์ตูนจีนง่ายๆ สนุกๆ หรือจะหา idol นักร้องจีน ที่สนุก ส่วนตัว พี่ Jay Chou เพลง listen to your mama word เพลงทันสมัย สนุก เนื้อหาดี
และถ้าเป็นไปได้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่วิธีการที่ถูกใจหรือตรงใจคุณแม่ ลองปล่อยเวลาผ่านไปสักพัก เพื่อให้เวลากับตัวคุณแม่และน้องเจ และเหล่าซรือ เพราะตอนนี้เรื่องราวมันเพิ่งเกิดขึ้น ความรู้สึกต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ลองตั้งใจสติอีกนิดนะจ้ะ ให้เวลามันช่วยเยียวยากับสิ่งที่เกิดขึ้น
ผ่านไปสักพัก ถึงเวลาเหมาะๆ คุณแม่อาจจะลองหาเวลาพูดคุย ปรึกษากับเหล่าซรือ (จอมดุ) คนนั้นเป็นการส่วนตัวอีกครั้ง ว่าเนื้อหาที่เหล่าซรือสอนมีอะไรบ้าง และคุณแม่อาจจะช่วยเสริมให้ที่บ้านเป็นการเตรียมตัวให้ก่อน น้องเองจะได้เกิดทัศนคติที่ดีกับเหล่าซรือท่านนี้บ้าง
และพี่เชื่อเสมอว่า การได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบ face to face อาจจะทำให้เราเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้นนะ และพี่เชืื่อว่า เหตุการณ์คล้ายกันแบบนี้ อาจจะเกิดขึ้นอีกได้เมื่อไรก็ได้ โดยเฉพาะกับเด็กซึ่งโดยธรรมชาติ ก็จะมีอำนาจในการต่อรอง น้อยกว่า ผู้ใหญ่กว่าอยู่แล้ว เราอาจจะช่วยน้องเจที่มา ที่ไป กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เค้ารู้สึกอย่างไร และคิดว่า สิ่งที่เราได้เรียนรู้ และเราจะหาวิธีแก้ไขอย่างไรกันดีน้าา
เขียนมาตรงถึงเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนเท่านั้นนะจ้ะ เพื่อจะเป็นประโยชน์บ้างนะ แต่เป็นกำลังใจให้จ้ะ และปล่อยให้เวลามันช่วยเยียวยา ความรู้สึกที่ไม่ดีของน้องเจ และคุณแม่สักพักนะ
ขอบคุณมากค่ะพี่ธ์ ... เป็นความคิดเห็นที่ดีมาก ๆ
กันก็เข้าใจว่าน้องเจก็ไม่น่าจะแอนตี้ภาษาจีนมากมาย เพราะว่ายังพูดอยู่ว่าถ้าเรียนกับมะม๊าก็จะเรียน แต่ถ้าให้เรียนกับครูคนเดิม ไม่เอาแล้ว (ก็เลยแอบหยอดว่า) แล้วถ้าให้ไปลองเรียนที่อื่นเอามั๊ย เค้าว่าโอเคค่ะ แต่ช่วงนี้กันก็คงจะต้องพักอย่างที่พี่บอกก่อน ให้ความรู้สึกแย่ ๆ ตรงนี้มันหายไปก่อน (ตอนนี้รู้สึกว่ามันเป็นแผลในใจอะค่ะ ที่มันเกิดจากการยึดเหรียญทองน้องเจไป เมื่อวานน้องเจก็ยังพูดอยู่ว่า "วันที่ครูเอาเหรียญไป เค้าเสียใจมาก ๆ เค้าร้องไห้เลย" --- คนเป็นแม่เน๊อ ฟังแล้วมันปวดใจอะ .... ฟังทีไรก็ปวดใจทุกที เป็นแผลในใจไปกับลูกเลย ถึงวันนี้ผ่านมาหลายวันแล้ว ภาพหน้าน้องเจที่พูดทั้งน้ำตาว่าไม่เรียนภาษาจีนแล้ว ยังชัดเจนเลยค่ะพี่ ... เฮ้อ! แต่จะพยายามเยียวยาให้รู้สึกดีขึ้นโดยเร็ว ^_^
เรื่องการพูดคุยกับครู .... วันนี้จะเข้าไปตามที่ รอง ผอ. รร. นัดค่ะ แต่ก็คงไม่น่าจะเป็นเรื่องอะไรมากมาย เราไม่ติดใจเอาความกะครู แต่อยากให้ครูรู้แค่ว่า เด็กอนุบาลต้องการจิตวิทยาเด็กในการสอน สอนผ่านการเล่น เพลง นิทาน เกม น่าจะดีกว่าจับมานั่งคัดหรือเติมคำอย่างที่ทำอยู่ ^_^! (หรือเอาหลักสูตรประถมมาสอนอนุบาลอย่างที่ทำอยู่ เพราะมีลูกสาวของลูกค้าเคยเห็นน้องเจนั่งเขียนอยู่ เค้าบอกว่า "เรียนเหมือนหนูเลยค่ะ" ถามไปถามมาน้องคนนั้นเค้าอยู่ประมาณ ป.2 ค่ะ) และคงต้องบอกที่ผู้ใหญ่ไปว่า เรียนมา 2 เทอม คุณแม่ยังไม่เคยเห็นน้องพูดวลีหรือประโยคสั้น ๆ เลยซักครั้ง นอกจากทักทายครู แต่ที่เห็นชัด ๆ ก็จะเป็นใบงานคำศัพท์ที่ให้ระบายสี กับเอกสารคัดอาทิตย์ละแผ่น บางครั้งก็จับคู่ (ซึ่งสีเลือนลางจัง) ต่างกับวิธีสอนภาษาอังกฤษของทาง รร. อย่างสิ้นเชิง และต่างกับวิธีสอนเด็กสองภาษาที่คุณแม่เคยใช้ คือน้องไม่ได้พูดเยอะมาก แต่ก็ทำให้รู้ว่าน้องก็เข้าใจ ถ้ายังจำได้ว่ามีอยู่บล็อคนึงที่กันเล่าไว้ว่าน้องเจพูดว่า I want two boxes of Niúnǎi (牛奶) เติม s ให้ด้วยเพราะว่านมสองกล่อง เป็นต้น ^_^ ตอนที่น้องเจเรียนกับกัน พูดวลีได้หลายคำ แนะนำตัวเองได้ด้วย
เดี๋ยวเวลาผ่านไป .... สิ่งดี ๆ จะเข้ามาอีกครั้ง ^_^
สำหรับเรื่องวิธีการสอน อย่างหนึ่งมาจากคูณสมบัติ และความชอบของครู ซึ่งถ้าเป็นครูที่จบการสอนเด็กเล็ก วิธีการสอนจะหลากหลาย และแน่นอนว่าต้องเรียนเรื่องจิตวิทยาเด็กแน่นอน
และอีกอย่าง อยู่ที่การให้ความสำคัญของวิชานั้นๆ ของทางผู้บริหารโรงเรียน ว่าให้ความสำคัญภาษาจีนมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าภาษาจีนมีความสำคัญพอๆ กับภาษาอังกฤษ ก็แน่นอนว่า มีโอกาสคัดเลือกครูที่เหมาะสมกับชั้นเรียที่สอนทีเดียว
ส่วนตัวเคยเป็นครูผู้ช่วย และครูสอนภาษาจีนสำหรับเด็กเล็ก ร่วมกับครูคนจีน 2 คน ต่างก็สอนได้สนุกไม่แพ้ภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้น คุณสมบัติของครูที่จะมาสอนเด็ก ก็ขึ้นอยู่กับเวลาที่ทางโรงเรียนสอบสัมภาษณ์คัดเลือกครูมาสอนลูกเราด้วยเหมือนกันจ้ะ
เหล่าซรือคนนี้อาจจะไม่ถนัดการสอนเด็กเล็ก และอาจมีหลายเหตุผลที่เรายังไม่รู้ แต่ที่สำคัญที่อยางหนึ่ง ถ้าโรงเรียนเปิดโอกาสให้เราเข้าไปพบพูดคุย แสดงความคิดเห็นไปเลยนะ โรงเรียนจะได้ปรับปรุง และพิถีพิถันในการรับสมัครครู เพื่อลูกเราค่ะ (เพราะบางโรงเรียน อาจจะไม่เปิดโอกาสเช่่นนี้)
พี่เคยทำงานโรงเรียนนานาชาติมาก่อน คือ ผู้ปกครองฝรั่ง มีอะไรก็จะเข้าไปคุยกับครูประจำชั้น หรือ ผอ. จากนั้น ก็มีการปรับปรุงที่ดีขึ้น
จริงค่ะ ... นี่คุยกับครูประจำชั้น แล้วตามด้วยจดหมาย เรื่องก็ถึงผู้ใหญ่เลย
รร.นี้ ปกติภาษาจีนมีตอนประถมค่ะ แต่ว่าจีนกลางแรงงงง ... ก็เลยเปิดพิเศษในระดับอนุบาลด้วย เดี๋ยววันนี้คงต้องคุยกัน ^__^
กลับมาแล้วคร๊า ...... การพูดคุยของคุณแม่ กะ ครู เป็นไปได้ด้วยดีมีข้อสรุปคนละครึ่งทาง
ทาง รร. จะกลับไปปรับวิธีการสอนและคุยกับครูผู้สอนในส่วนของใบงานแบบฝึกหัดว่าคัดแต่พอสมควร ไม่มากไปไม่น้อยไป และสามารถโอนอ่อนผ่อนตามหากในเวลาเรียนพิเศษทำไม่เสร็จ ให้อนุญาตเอากลับไปทำเป็นการบ้านได้เป็นครั้งคราว
ส่วนทางคุณแม่ขอทาง รร. คือ
1. หากต้องมีการพูดคุย ตักเตือน ทำโทษ ขอให้คุณครูคุยกับน้องด้วยเหตุผลแทนขู่ว่าจะบอกครูประจำชั้น อาจจะยากที่เด็ก (คนอื่น) จะเข้าใจ แต่คุณแม่มั่นใจว่าน้องเจรู้เรื่อง
2. สรุปว่าเรื่องที่เราพูดคุยกันวันนี้ จะไม่มีการดึงน้องเจเข้ามาเกี่ยวข้องเลย ให้มันผ่านไป ... ผู้ใหญ่เท่านั้นที่รู้เรื่อง เพราะถ้าดึงเด็กเข้ามาเกี่ยวข้องอีก มันกลายเป็นภาพต่อเนื่องซึ่งอาจจะทำให้ติดในความรู้สึกเด็กต่อไป ไม่ช่วยในเรื่องของการปรับทัศนคติเท่าที่ควร
3. คุณแม่รับคำครูกลับมาพิจารณาเรื่องให้น้องได้เข้าเรียนภาษาจีนกลางต่อ เนื่องจากครูชมมาเยอะว่าน้องเจทำได้ดีทั้งพูดและตอบคำถาม ให้เพิ่มแรงผลักดันในการทำแบบฝึกหัดแค่นั้น ให้พยายามในการเขียนขึ้น (แต่สัญญาว่าจะให้เขียนตัวที่เริ่มจากเส้นน้อยก่อน และสอนอย่างถูกวิธีไปเลย)
4. คุณแม่รับคำครูมาปรับความเข้าใจในเรื่องที่โดนยึดเหรียญทองวันนั้นว่ามันผ่านไปแล้ว ใบงานก็ส่งแล้ว เหรียญก็ได้คืนแล้ว .... ดีกันนะ ๆ ๆ กะคุณครู
ตอนนี้ รอง ผอ. กะคุณแม่ โอเคซิกกะแล๊ต เหลือทาง รอง ผอ. คุยกะครู และคุณแม่คุยกะน้องเจ แค่นั้น ... แล้วมาดูต่อกันว่าน้องเจจะยอมกลับไปเรียนมั๊ย .... ครูว่า "ขอให้คุณแม่ cheer up น้องเจเยอะ ๆ นะคะ ครูเสียดายความสามารถน้องค่ะ"
เมื่อเช้าที่ไปคุยกะครู ... เรากะจะถอยกันคนละก้าว เพื่อตั้งหลักให้น้องเจได้พักใจ ได้หยุดเรียนลบทัศนคติแย่ ๆ กันไปก่อน
เมื่อซักครู่ที่ผ่านมา ครูโทรมาบอกว่า ยังไม่ประกาศเรียกเด็ก ๆ เข้าห้องเรียนพิเศษเลย น้องเจเดินหน้าแป้น ดุ่ย ๆ ๆ ๆ เข้าไปนั่งยิ้มหน้าแป้นรอครูสอนเป็นคนแรก ทำให้ครูผู้สอนตกใจ (เอางัยดีกะชีวิตเนี่ย ... คุณแม่สั่งงดไม่ใช่เหรอ) ก็เลยต้องปรึกษา รอง ผอ. ครูว่า ถ้าน้องเจเข้าไปเองโดยสมัครใจอย่างนี้ ให้น้องเจได้เรียนตามปกติ น้องทำดีให้ชมน้องจะได้มีกำลังใจ ... ฝ่ายครูกะลังเคลียร์ใจให้ลูกเราแล้ว เหลือฝ่ายเรา ที่กลับมาจะเคลียร์ใจให้ลูกเหมือนกัน
เป็นนิมิตหมายที่ดี .... ที่น่าจะทำให้เราเดินหน้าภาษาที่ 3 กันต่อไปได้ อัศจรรย์ใจทั้งเราผู้เป็นแม่ ครูผู้สอน และ รอง ผอ. (เมื่อซักครู่ คุณพ่อก็เหมือนนกรู้ โทรมาถามว่าเป็นงัยบ้าง ปรากฎว่าก็ต๊กกะใจไม่แพ้กัน ....)
รอดูรอบนี้ไปก่อน .................................. เอาใจช่วยทั้งครู ทั้งน้องเจ และตัวเราเองด้วย ^_^
ขอบคุณค่ะ ^_^
© 2024 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก. Powered by