เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย
กำลังสับสนในความคิดว่าจะเอายังไงกับเจ้าตัวยุ่งดีค่ะ ระหว่างเลี้ยงเองต่อไปกับส่งไปโรงเรียน
คือตอนนี้ลูกชายอายุ 2 ขวบพอดี(เกิดเดือนตุลาค่ะ) ถ้าเข้าปีการศึกษาหน้าก็จะ 2 ขวบครึ่ง ซึ่งยังคงต้องเข้าชั้นเตรียมอนุบาลไปก่อน แต่มันมีปัญหาอยู่ที่ว่า
1.ตอนนี้กำลังจะคลอดคนที่สองต้นเดือน พ.ย. นี้ กลัวจะมีภาระมาก จนเลี้ยงไม่ไหว แต่ที่บ้านกำลังจะมีอาของตัวเองมาอยู่ช่วยเลี้ยงและดูแลเรื่องงานบ้านให้
2.เจอใครๆ เค้าก็แนะนำว่าน่าจะส่งเข้าโรงเรียน เพราะจะทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี ได้เจอเพื่อนวัยเดียวกันและได้ฝึกวินัยและฝึกอ่านเขียน
3.กลัวว่าถ้าส่งลูกเข้าโรงเรียนแล้วภาษาที่สองที่ยังไม่เข้มแข็งของเขาจะสดุด เพราะแม่เองก็ไม่เก่งค่ะ ทุกวันนี้ก็อาศัยท่องจำเอา จากประโยคที่จดมาจากห้อง Eng
4.ลูกไม่ได้เจอเพื่อนวัยเดียวกันเลยค่ะ เจอแต่เพื่อนพ่อเพื่อนแม่ ที่ต่างก็โสด หรือที่ไม่โสดก็ไม่ปรารถนาการมีลูกทั้งนั้น เลยกลายเป็นเด็กคนเดียวในฝูงผู้ใหญ่ ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาตอนการปรับตัวกับเพื่อนๆในอนาคตหรือเปล่า???
เลยไม่รู้ว่าปีการศึกษาหน้าจะเอายังไงกับชีวิตดี สับสนค่ะ เพราะถ้าส่งไปโรงเรียนเราก็คงสบายขึ้นเยอะ แต่ถ้าเลี้ยงเองลูกก็น่าจะยังอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เราควบคุมได้ อันที่จริงเรื่องอ่านเขียนไม่เน้นนะคะ เพราะทุกวันนี้เขาก็รู้จัก A B C และกำลังสอน ก ข ค คิดว่าน่าจะพอกับการเข้าอนุบาลหนึ่ง แต่อย่างที่บอกมันยังมีเหตุผลอีกหลายข้อที่ทำให้ลังเลค่ะ
อ้อ..พ่อกับแม่ไม่ได้ทำงานประจำค่ะ ส่วนใหญ่จะนั่งทำงานอยู่หน้าคอมที่บ้าน แต่บางครั้งก็ต้องออกไปทำงานนอกบ้านบ้าง เฉลี่ยเดือนละ 10 วันเท่านั้นค่ะ
Tags:
เรื่องส่งลูกไปโรงเรียน ในวัย 2 ขวบกว่า ดีมั๊ย ??
สำหรับตัวเองแล้ว มีทางเลือกเดียวค่ะ คือไปอยู่เนิร์สเซอร์รี่ ที่รร. เพราะพ่อแม่ทำงานประจำนอกบ้านกันหมด ที่บ้านก็ไม่มีผู้ช่วย โรงเรียนเลยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่ต้องมาคิดชั่งน้ำหนักว่าไปดีไม่ไปดี (เพราะไม่มีสิทธิ์เลือก) คำตอบไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ คุณเอ๋
แต่จากประสบการณ์ที่ส่งลูกไปอยู่เนิร์สตั้งแต่เล็ก มีทั้งข้อดี ข้อเสีย
ข้อดี ก็คือ ลูกได้ฝึกการอยู่รวมกันในสังคม สามารถช่วยเหลือตนเองได้มากขึ้น ปัณณ์ๆ ไปโรงเรียน ตั้งแต่อายุ 1 ขวบ 7 เดือนสิ่งที่ทำได้ ก็ถอดถุงเท้า รองเท้า เก็บเข้าที่เองได้ เล่นของเล่นเสร็จแล้ว เอาไปเก็บ (แต่อันนี้บ่อยครั้ง มาอยู่บ้านก็ไม่ยอมทำเหมือนกัน) กินข้าวเอง ถอดกางเกง เดินไปฉี่ที่ห้องน้ำได้เอง กลับมาใส่กางเกงได้เอง (ได้ตอนอายุประมาณ 2 ขวบครึ่ง)
แต่ข้อเสีย ที่เลี่ยงไม่ได้เลย คือ อยู่รวมกันหลายคน แล้วไม่สบาย เป็นหวัด เป็นไข้ หลอดลมอักเสบ คออักเสบ ฯลฯที่เป็นหนักมากต้องนอนรพ. ต้องดูดเสมหะ พ่นยา กินไม่ได้ ต้องให้น้ำเกลือ น่าสงสาร ส่วนที่เป็นไม่หนัก แต่เป็นบ่อย ก็เป็นหวัดเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละ จนว่า..การไปหาหมอรักษามันคือแก้ไขที่ปลายเหตุ การจะแก้ไขที่ต้นเหตุ ก็คือ ลองให้ลูกหยุดไปโรงเรียนสักเดือนนึง(คุณหมอบอกมา) แต่สุดท้ายพ่อกับแม่ก็ไม่สามารถให้ลูกหยุดไปรร.ได้นานแบบนั้น ก็เลยต้องรักษาด้วยยากันต่อไป
ส่วนเรื่องภาษาอังกฤษ โชคดีหน่อยที่ว่า โรงเรียนที่ส่งลูกไปเป็นโรงเรียนสองภาษาที่มีครูชาวต่างชาติ สอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กๆด้วยก็เลยได้เป็นตัวช่วยให้แม่ได้ค่ะ แต่คิดว่าถ้าเราพูดสม่ำเสมอกับลูกแม้เป็นแค่ช่วงเช้าก่อนไปโรงเรียน และช่วงเย็นหลังกลับมาจากโรงเรียน ความสม่ำเสมอเหมือนเดิม ก็ยังได้นะคะ
ไม่รู้ว่าจะพอทำให้ช่วยคิดออกมั๊ยค่ะคุณเอ๋ ตกลงว่าส่งไปรร.ดีมั๊ย ??
แอบคิดแทนด้วยความรู้สึกของตัวเองนะคะ ว่าให้ไปโรงเรียน ดีกว่า :))
ขอบคุณนะคะคุณวัลย์
อ่านข้อดีแล้วก็อยากส่งไปโรงเรียนพรุ่งนี้เลยค่ะ แต่ข้อเสียเนี้ยสิคะ เวลาลูกป่วยมันเหนื่อยจริงๆ แต่เพื่อพัฒนาการที่ดีของลูกบางทีอาจจะต้องทำใจเรื่องป่วยบ้าง แต่ใช่ว่าอยู่บ้านจะไม่ป่วยนะคะ เพราะพ่อเค้าตัวดีเลย(แอบบ่น) ไม่ค่อยรักษาสุขภาพ ทำงานหนัก ตากแดดแล้วกลับมาป่วย พอร่างกายอ่อนแอก็กลายเป็นหวัดแล้วเอามาติดลูก พ่อกับลูกเค้าติดกันมากค่ะ นัวเนียกันทั้งวัน เลยกลายเป็นว่าเป็นหวัดกันทั้งบ้านเลย.....
เรื่องไปโรงเรียนแล้วช่วยเหลือตัวเองได้ดีนี่น่าสนใจค่ะ ถึงแม้ตอนนี้ซันเดย์กินข้าวเองได้ บอกเรื่องการขับถ่ายได้ แต่ถ้าออกนอกบ้านยังต้องใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปอยู่เลยค่ะ เพราะเค้าจะไม่ค่อยบอก มัวแต่สนใจอย่างอื่น แล้วยิ่งเรื่องเก็บของเข้าที่นี่ไม่ต้องพูดถึง เดี๋ยวนี้ไม่เคยทำเลย บอกให้ทำก็ดื้อ... ต้องหรอกล่อกันหลายตลบกว่าจะยอมทำตาม... เฮ้อ
ยังเหลือเวลาอีกหลายเดือน ว่าจะพาลูกไปดูโรงเรียนก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีค่ะ
จริงๆก็อยากให้เข้าเรียนหลัง 3 ขวบค่ะ แต่ก็อย่างที่เล่ามาว่ามีคนแนะนำหลายเสียงว่าเข้าโรงเรียนแล้วพัฒนาการจะดีกว่า และเข้ากับเพื่อนได้ดี
ขอรบกวนถามคุณเจี๊ยบนิดหนึ่งนะคะ ไม่ทราบว่าน้องวินเป็นอย่างไรบ้างคะ เรื่องการปรับตัวกับเพื่อนๆ และพัฒนาการเรื่องอื่นๆ เมื่อเทียบกับเพื่อนวัยเดียวกัน กำลังหาข้อมูลค่ะ ถ้าการเข้าเรียนช้าไปสักหนึ่งปี(ไม่ต้องเข้าเตรียมอนุบาล)ไม่มีปัญหาอะไรก็อยากจะเลี้ยงเองไปก่อนค่ะ
น้องวินเป็นเด็กร่าเริงค่ะ พัฒนาการก็ปกติตามอายุคะ การเข้าได้กับเพื่อนก็ไม่มีปัญหาคะ ถ้าที่บ้านมีคนมากหรือมีเด็กที่เล่นกับเขาได้จะเป็นลูกของเพื่อนบ้านก็ดีนะคะะขาจะได้มีสังคมบ้าง อย่าปล่อยให้ลูกดูแต่ทีวี หรือยู่กับพ่อแม่ตลอดเพราะว่าเขาจะปรับตัวไดยากกว่าเด็กอืืนถ้าไม่เคยมีสังคมกับเพื่อน ๆ แต่ไม่เป็นปัญหาใหญ่มากค่ะ เพราะการที่เด็กไปโรงเรียนแล้วร้องไห้เพราะเขาคิดว่าสภาพแวดล้อมที่โรงเรียนมันต่างจากที่เคยอยู่เขาก็จะรู้สึกแปลกที่ และก็คิดถึงพ่อหรือแม่ก็เท่านั้นเอง เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งเขาก็จะดีขึ้นนะคะ อันนี้ขึ้นอยู่กับเด็กแต่ละคนจะใช้่เวลาไม่เท่ากันนะคะ
การชั่งน้ำหนักว่าจะให้ลูกเรียน หรือยู่บ้านดีนั้นให้พิจารณาข้าเปรียบเทียบดังนี้ เพื่อตัดสินใจค่ะ
1. พัฒนาการทางร่างกาย
อยู่บ้าน เด็กจะได้เล่นอิสระ ไม่มีเวลากะเกณฑืกำหนด
ไปโรงเรียน เด็กจะมีตารางกิจกรรมประจำวันกำหนดเวลาเล่น เวลาเรียน ได้ทำกิจกรรมตามเวลาและหลักเกณฑ์
2. พัฒนาการด้านจิตใจ-อารมณ์
อยู่บ้าน เด็กจะมีความสุขไม่ต้องปรับตัว บรรยากาศคุ้นเคยไม่ต้องรีบร้อนไปโรงเรียน มีพ่อแม่ พี่น้อง ญาตฺ อยู่ดูแล เป็นมิตรและผ่อนคลาย
ไปโรงเรียน เป็นความเครียดเล็ก ๆ ที่ต้องไปอยู่ในเสิ่งแวดล้อมที่แปลกแยกจากบ้านไป อาจพบคนไม่ถูกใจ เพื่อนไม่ถูกใจ ทำให้ต้องปรับตัวและเครียดกว่าอยู่บ้าน
3. พัฒนาทางสังคม
อยู่บ้าน เด็กจะมีสังคมกับคนในเบ้านเป็นหลัก อาจมีเพื่อนบ้านบ้าง ถ้าทางบ้านอนุญาติให้ไปเล่นด้วย ไม่ต้องปรับตัว
ไปโรงเรียน เด็กได้รู้จักเพื่อน เรียนรู้การปรับตัวเข้ากับเพื่อนและครู เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น การมีมารยาทสังคม การช่วยเหลือกื่อกูลกันและฝึกความอดทน รอคอย
4. พัฒนาการทางสติปัญญา
อยู่บ้าน เด็กเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรงจากิจกรรรมครัวเรือน ได้คิดได้แก้ปัญหาชีวิตคประจำวันด้วยตนเอง
ไปโรงเรียน เด็กได้เประสบการ์การเรียนรู้ที่ถูกจัดอย่างมีแบบเแผน ที้งเกี่่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน สิ่งแวดล้อมรอบตัว และธรราติรอบตัวที่กว้างไกล
การอยู่่บ้าน กับการไปโรงเรียนอนุบาลมีความแตกต่างกันแน่นอน อยู่ที่ว่าจะเลือกแบบไหน ด้วยเหตุผลใด เป็นอิสระของทุกคนค่ะ
ยินดีคะ
ประสบการณ์นะคะ พอดี มีลูกชาย 2 คน คนโต (พอดีเขาเกิดต้นเทอม 1 มิ.ย. ) เข้าเตรียม เหตุเพราะว่า แม่จะคลอดลูกคนที่สอง เดือน มี.ค. แล้วเดือน พ.ค. ก็ให้คนโตเข้า ชั้นเตรียม ที่ ร.ร. เลย เขาก็ปรับตัว ประมาณ เดือนกว่า และเพื่อนๆๆก็จะเป็นวัยเดียวกัน กิจกรรมวัยเตรียมก็จะให้เด็กเล่นๆๆๆซะมากกว่า เราก็จะได้มีเวลาให้คนเล็ก ส่วน คนโตเลิกเรียน กลับบ้านมาเราก็ฝึกเขาปกติ และไห้เขาได้ใกล้ชิดกับน้อง
ขอแนะนำนะคะ(ในฐานะเป็นคุณครู ) เกิดเดือน ต.ค. ก็เข้าชั้นเตรียม เพราะเขาเรียนตามเกณฑ์ ตัด 15 พ.ค. แต่ก็ต้องดูคุณลูกว่า บอก อึ บอกฉี่ ได้บ้างหรือยัง ช่วงกลางวันให้น้องงดใส่แพมเพอร์สก่อน นานที ก็พาลูกไปฉี่ๆๆๆ (ถอดกางเกงให้ ลองให้เขายืนฉี่ดูนะคะ) และถ้าไป ปีหน้า ลูกก็จะเข้า อ.1 ถือว่าอยู่ห้องต้นๆๆ(เขาจะเรียงห้องตามเดือนเกิดของเด็ก)ยังไงถ้าคุณแม่ กลัวลูกจะปรับตัวกับเพื่อนๆๆช้า ก็ ไปชั้นเตรียม เทอม 2 ก้ได้ค่ะ เปิดเดือน พ.ย. 54 แต่ช่วงนี้เขาอาจจะ เป็นช่วงปรับตัวของเขา ถ้าเข้าอนุบาล 1 ปีหน้าเขาก็จะเริ่มเรียนนะ( อนุบาลส่วนใหญ่บ้านเรา ) ส่วนเรา ปีหน้าก็จะให้คนเล็ก เข้าชั้นเตรียมไปเลย อายุ 2.2Y อยากให้เขาได้อยู่สังคมกับเพื่อน เพราะเราทำงาน 08.00-16.00 น.
แต่ถ้าคุณแม่ คิดว่ามีเวลาและสามารถดูแลลูกได้ ทั้งสองคน ก็ให้เขา ขึ้นอนุบาล1 ปีหน้าเลยก็ได้ แต่ถ้าไม่ไหว ก็ตามที่แนะนำนะคะ
มีอาไร ปรึกษาได้นะคะ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะคุณครู รบกวนถามอีกนิดค่ะ
1. ถ้าเข้าปีหน้าคือ พ.ค. 55 เกิดเดือนตุลาคม จะได้เข้าชั้น อ.1 เลยหรือคะ นึกว่าจะต้องเข้าเตรียมไปก่อนเพราะยังไม่ถึง 3 ขวบซะอีกค่ะ
2. เรื่องการขับถ่ายไม่มีปัญหาค่ะ เพราะตอนนี้ไม่ต้องใส่พวกผ้าอ้อมสำเร็จรูปแล้ว เขาจะบอกทุกครั้งที่จะ อึ หรือ ฉี่ ค่ะ เพียงแต่จะพูดเป็นคำเดียวกันหมดว่า pee pee หรือ ชี่ ชี่ เท่านั้นค่ะ แต่ปัญหาคือเวลาออกนอกบ้านเค้าจะไม่ค่อยยอมบอก เพราะสิ่งเร้านอกบ้านมันเยอะ เค้าจะรอจนทนไม่ไหว หรือไม่ก็ฉี่รดกางเกงนิดหนึ่งก่อนแล้วค่อยมาบอก ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาตอนไปโรงเรียนหรือเปล่านะคะ เพราะกลัวเล่นเพลินจนไม่ยอมบอกคุณครูน่ะค่ะ
อ้อ ลืมดูช่วงเกิดค่ะ 2 ขวบพอดี ก็แสดงว่า เกิด ต.ค. 52 ใช่มั๊ยคะ ปีหน้า พ.ค. 55 ก็เข้า ชั้นเตรียม เลยคะ
แต่ชวงนี้คุณแม่จะคลอดน้องช่วง ต้น พ.ย. นี้ด้วย คงต้องรบกวนคุณพ่อให้มีเวลากับคนโตมากๆๆด้วย
เปิดเทอม ปีหน้า คงไหวมั๊งคะ น้องก็จะได้โตขึ้นอีกด้วยค่ะ และมีเวลามาพูดคุยกับแม่กะน้องเกิดใหม่ ด้วยค่ะ
เพราะยังงัย คุณพ่อ ก็ยังดูแลช่วยอยู่ นะคะ
ส่วนเรื่อง อึ ฉี่ ก็ไม่เป็นไรค่ะ เป็นปกติของเด็ก เดี๋ยวเด็กก็ปรับตัวของเขาได้เอง
แต่บางครั้ง อย่างคุณลูกชายที่บ้านคนโตตอนเข้าเรียน ชั้นเตรียมก้ บอก อึ บอกฉี่ได้ แต่ไป รร. ก็ อึ ฉี่ ใส่กางเกง เหมือนเดิม ไม่รู้ว่า ไม่กล้า อายคุณครู อายเพื่อน รึเปล่าก็ไม่ทราบ รึอาจเห็นเพื่อน ในห้อง ฉี่ ก็อาจจะเลียนแบบ เพื่อนก็ได้ และก็ยังมีควันหลง อ.1 แล้ว ก็มีแอบฉี่ราดใส่กางเกงที่ รร. นะ และที่สำคัญเจ้าลูกชายไม่ยอมอึ ที่ รร.เลย พอรับกลับมาบ้านหลังเลิกเรียน รีบวิ่งไป อึ เกือบทุกวัน แต่ไม่นานเขาก็จะ ปรับตัวเขาได้เองหละคะ เป็นธรรมชาติของเด็กเขาค่ะ
ส่วนตัวเองก็อยากให้น้องก้านบัวเข้าโรงเรียนเพราะได้พัฒนาการที่ดี และก็ติดเหมือนกันค่ะเรื่องไม่สบาย ได้ยินเพื่อนๆเล่าให้ฟัง เพราะน้องยังเล็กก็จะดูแลค่อนข้างลำบากทานยายาก น้องก้านบัว 2.6 ปี ก็กะจะให้เข้าประมาณ 3 ขวบค่ะ คุณแม่ต้องชั่งน้ำหนักค่ะถ้าดูแลไหว หรือมีผู้ช่วย น่าจะให้น้องโตกว่านี้อีกซักหน่อย นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ แล้วแต่คุณแม่ตัดสินใจค่ะ เพราะยังงัยเราก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้วค่ะ
© 2024 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก. Powered by