เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม

อุทาหรณ์จากการยัดเยียดการเรียนเกินไปทำให้เด็กสติขาด

Forward Mail ที่ได้รับมาค่ะ
โปรดอ่านให้จบเป็นประโยชน์กับทุกๆท่าน เรื่องจริงที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต

หวัดดีค่ะ... ก่อนอื่นจะเล่าเรื่องให้ฟังค่ะ...เพิ่งได้รับทราบมาเหมือนกันจากปากของเพื่อนทั้งน้ำตา...และคิดว่ามีประโยชน์ไม่มากก็น้อย... เพื่อนคนนี้ไม่ได้ติดต่อมานาน ประมาณเกือบๆ 4 ปีเห็นจะได้ คือไม่สนิทเท่าไรแต่พูดคุยกันได้และตอนนี้เพื่อนมีลูกแล้วค่ะ...แต่มีเพื่อนน้อย เพื่อนแต่งงานกับวิศกร(สามี)ที่เก่งมากค่ะ และตัวเพื่อนเองก็จบมหาลัยเอกชน ก็เกียรตินิยมอันดับ 2 ด้านภาษาต่างประเทศค่ะ คือเหมาะสมถึงไม่รวยมาก แต่ก็เกินปานกลางนะคะพอแต่งงานก็ไม่ได้ติดต่อใคร แต่ทราบว่ามีลูก ณ.ปัจจุบันก็ 7 ขวบกว่าแล้วค่ะ

โทรไปหาเพื่อนเพราะตอนนี้เรามีลูก 4 ขวบกว่าค่ะ ก็หาข้อมูลเรื่องการเรียนในนี้เป็นหลักและ อาศัยถามคนอื่นด้วยและไม่อายที่จะถามด้วย เพราะคิดว่ายิ่งรู้มากก็ยิ่งดีจึงได้โทรไปหาเพื่อนค่ะ และถามเรื่องลูกสิ่งที่ได้รับ คือการปล่อยโฮอย่างแรง ร้องไห้จะเป็นจะตายเดี๋ยวนั้นเราก็ตกใจ เฮ้ยแกเป็นไรว่ะเป็นไร.... มันบอกว่ามันอึดอัด มันจะบ้าอยู่แล้วปรึกษาใครก็ไม่ได้ทุกวันนี้ มันถูกตราหน้าว่าเป็นคนผิด... ' ผิดอย่างร้ายกาจ ' จากครอบครัวสามีและแม่ตัวเองมันปรึกษาใครก็ไม่ได้ เพราะพื้นฐานคือ...ทั้งสามีและเพื่อนเป็นคนเสียเงินเท่าไรเท่ากัน แต่อายหรือไม่สมบูรณ์ไม่ได้ดังนั้นมันจึงไม่ปรึกษาใครเลย เพราะมันอายและไม่อยากให้ใครดูถูกมัน เรื่องคือ... ลูกชายเข้าเรียนตอน 3 ขวบกว่านิดๆ ได้เข้าเรียนในระดับโรงเรียนดังเลย ค่าเทอมเป็นแสน คอมพร้อม เพื่อนดี สังคมดูดี เพอร์เฟ็กและโรงเรียนเป็นที่หมายตามากค่ะ
ที่นี้โรงเรียนดังก็พ่อแม่ต่างก็ผลักและดันกันสุดฤทธิ์(มันบอกอย่างนี้ค่ะ) เงินพร้อมซะอย่างก็คุยกันต้องติวอย่างนั้น
ต้องครูคนนี้ ฝรั่งคนนี้ ต้องเรียนนี้เสริมเจ๋งค่ะ เพื่อนก็เป็นเช่นนั้น

ที่นี้... ลูกเรียนวันจันทร์ – ศุกร์ยัน 6 โมงเย็น และเป็นอย่างงี้มาตั้งแต่อนุบาล 1 ถึง 3...
เข้านอน ไม่เกิน 3 ทุ่มเพราะต้องตื่นเช้าไปส่งตื่นตอน... ตี 5 ครึ่ง
เพราะเพื่อนมีบ้านในหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่นอกเขตและห่างจากโรงเรียนค่อนข้างมาก
ออกจากบ้านไม่เกิน 6 โมงเช้าเท่านั้น และไปถึงโรงเรียนประมาณเกือบ 7 โมง
วันเสาร์...เรียนพิเศษเสริมเริ่ม 8 โมงเช้าถึงบ่ายโมง และ ตอนบ่าย 3 เรียนว่ายน้ำจึงได้กลับบ้าน
ส่วนวันอาทิตย์...ครึ่งวันเช้าเรียนที่สถาบันคุมองต์เสริม ครึ่งวันหลังผักผ่อน...
ตอน 1 ทุ่มวันอาทิตย์ต้องทบทวนงานและเตรียมความพร้อม เพื่อไปเรียนวันจันทร์ไม่เกิน 3 ทุ่มเข้านอน
และเหตุการณ์ที่มันเล่าแบบสะเทือนใจตอนหลังคือ.... ลูกไม่มีเพื่อนในหมูบ้านเลยสักคนเดียว...
เพราะไม่ได้คุยกับใครอยู่แล้วสังคมเมืองของแท้ ปั่นแต่จักรยานของเค้าเท่านั้น
วันนั้น...วันอาทิตย์ลูกก็ปั่นจักยานไม่ยอมเข้าบ้าน แม่ก็เรียกให้มาอาบน้ำได้แล้ว 6 โมงเย็นแล้ว
เตรียมกินข้าวและทบทวนการบ้าน.ลูกก็ไม่ฟังเพื่อนและสามีโมโหบอกว่า ' เข้าบ้านเดียวนี้เข้าบ้านเลยทำไมดื้ออย่างนี้ยิ่งโตยิ่งดื้อ ' ( เพื่อนว่าลูก) จะไม่ให้ขี่จักรยานอีกต่อไป ตัวสามีก็ไปดึงจักรยานออกจากลูกและแม่มาจับลูกเข้าบ้าน
สามีบอกว่า...ป๋าจะโยนจักรยานทิ้งซะถ้าทำอย่างนี้อีก ลูกชายเข้าไปกอดขาพ่อ...และยกมือไหว้ป๋า อย่าทำหนูไม่มีเพื่อนที่ไหนจักรยานคือเพื่อนของหนู หนูมีจักรยานเป็นเพื่อนเท่านั้น...ป๋าอย่าทำนะทั้งเพื่อนและสามีก็ไม่ใส่ใจอะไร
เพียงต้องการให้เข้าไปอ่านหนังสือเท่านั้ั้น

และ...อีกเหตุการณ์หนึ่งกว่าจะจับใจความได้ มันร้องไห้ไม่หยุดเพื่อนร้องไห้เหมือนจุดพลุเลย...
ลูกกลับจากบ้านคุยกับพ่อและแม่ อยากดูอุลตร้าแมนมดเอ๊กช์บ้างเพื่อนๆคุยกันที่โรงเรียน..
เค้าไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนยังบอกว่าที่บ้านไม่มีทีวีหรือไง(เด็กอนุบาลนะค่ะ) ทำให้เค้าไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ...
เค้าได้ดูแต่การ์ตูนเสริมความรู้เช่น ถ้าดู UBC ก็ประมาณ ดอร่าหมาบลู ประมาณนี้...สามีและเพื่อนบอกว่า
ลูกอย่าทำตัวไร้สาระได้หรือเปล่าตอนนี้เพื่อนๆ ลูกอยากทำอะไรก็ปล่อยเค้าไปการ์ตูนมีแต่ความรุนแรง
ไม่เสริมความรู้อะไรเลย เราได้เปรียบ...เราใช้เวลาทบทวนและเรียน...ในขณะที่คนอื่นเค้าไร้สาระ...ลูกลองคิดดู..โตขึ้น
ลูกก็จะเป็นนายของคนพวกนี้และคนพวกนี้จะไม่เหนือลูกเด็ดขาด การสอนจะประมาณนี้ตลอด... แต่เพื่อนบอกว่า
เค้าและสามีทำดีที่สุดและให้ในสิ่งที่ดีที่สุด ที่คนทั่วไปบางทีก็ให้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป...ที่นี้หนักสุด...ต้องติวเข้า ป. 1
ที่นี้เวลาเล่นแทบน้อยมาก...แต่ก็ได้ติดที่ ป. 1 ตามที่หวังไว้แต่ก็ต้องเรียนเสริมเหมือนเดิม...ฯลฯ

จนถึงวันที่ลูกทนไม่ได้...จนลูกโกรธจนตัวสั่น..และพูดว่าเค้าจะไม่เป็นคนดี...เค้าเบื่อที่สุดแล้ว...เค้าอยากเล่นฟุตบอล...เค้าอยากวิ่งเล่น...อยากดูการ์ตูน...อยากอ่านขายหัวเราะให้พ่อแม่อนุญาตอ่านให้ฟัง เค้าเกลียดพ่อและแม่...ทำไมต้องบังคับ...ทำไมต้องอาย...ทำไมเค้าจะเป็นคนชั่ว...
( เพื่อนมันบอกว่าลูกพูดจนลิ้นพันกันตัวสั่นไปหมดจับลำดับคำพูดยาก) อะไรก็พูดๆๆๆๆออกมา ร้องไห้หน้าแดง
กำหมัดขว้างข้าวของเสียงดังในระหว่างนั้นสามีและเพื่อนก็ใช้เสียงดังเพื่อหยุดพฤติกรรมแต่ไม่เป็นผล
ยิ่งดังก็ยิ่งดังใส่จนเด็กเป็นลมคงสะสมมานาน พอผ่านไปสักระยะ...
จนทางโรงเรียนมีจดหมายมาถึงเพื่อเชิญผู้ปกครองไปพบพอไปถึงโรงเรียน ทางครูบอกว่า...ตอนนี้น้องมีอาการเหม่อลอย...ไม่มองกระดาน... และไม่มีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว...ให้ทำอะไรทำได้หมดแต่ทำไปอย่างให้จบไป ไม่มีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อยบางครั้งก็มีน้ำตาเอ่อ...แต่ไม่ไหลออกมาเป็นระยะและพูดน้อยลง ใช้สายตาและท่าทางคิดมากขึ้น....ฯลฯ

เพื่อนและสามีไม่ยอมรับและไม่เชื่อ ก็สักพักใหญ่ๆ จึงไปพบหมอที่สมิติเวช
หมอแจ้งว่า...น้องกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างแรง บวกกับเก็บกดภายในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกมานาน...
จนระเบิดออกมาเหมือนคนเสียสติ เค้าไม่ได้บ้า...หรือพิการทางสมอง... แต่เค้าปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างเอง...ไม่รับเอง...ไม่เอาเอง... ซึ่งตรงนี้น่าวิตกคือแล้วเมื่อไรเค้าจะรับและเปิดใจกลับมาเหมือนเดิม สมาธิและจิตใจได้ถูกตัดด้วยตัวเค้าเอง... เค้าอยากอยู่แต่ในโลกจินตนาการที่เค้าคิดว่านั้น คือความสุขของเค้า...ไม่อยากออกมาเลยด้วยซ้ำ...
คงต้องใช้เวลามากเพราะถ้าเรารู้ว่าเค้าสมาธิสั้น... เรามีทางแก้ ถ้าเค้าเป็นดาวน์...เรารู้วิธี แต่เค้าเลือกเองที่จะปิดตัวเองอย่างเด็ดขาด...ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นคนวิกลจริตทางความคิดในอนาคต

ทุกวันนี้ผลคือ...สามีก็ยอมรับในระดับหนึ่ง แต่ก็เริ่มโทษภรรยามากกว่าโทษตัวเอง ตอนนี้มันรับกรรมเต็มๆ ลูกไม่สามารถเรียนได้แล้วคะ...
ต้องพบจิตแพทย์เด็กโดยตรง ถึงตรงนี้มันบอกว่ามันเรียกลูกกลับมาไม่ได้แล้วจริงๆมันเศร้ามาก มันก็กำชับไม่ให้ดิฉันบอกใครเพราะมันอาย แต่เรื่องนี้มีความรู้มากไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าอาย...
เมื่อทุกท่านได้อ่านเรื่องนี้จบแล้ว อย่าเก็บเรื่องนี้เอาไว้คนเดียว...กรุณาส่งเมลล์
ไปบอกกับใครก็ได้หรือญาติพี่น้องของเราก็ได้ เผื่อว่าเหตุการณ์ที่เล่ามานี้จะได้ไม่เกิดกับบุคคลที่ท่านรัก...เป็นรายต่อไป

Views: 1374

Replies to This Discussion

ค่านิยมผิดๆๆ คิดว่าเด็กแค่นี้สามารถทำได้ตามใจพ่อแม่อย่างไม่มีทางขัดขืน น่าสงสารมากรู้ก็สายเกินจะแก้แล้ว
ก็ต้องเอาเรื่องนี้เป็นคติ เป็นตัวอย่างนะค่ะ เราก็คงจะไม่ทำร้ายลูกด้วยการคิดว่าสิ่งที่ดีของเรา คือสิ่งที่ดีของลูกแล้ว
การปล่อยให้เค้ามีส่วนตัดสินใจในความสุขของเค้าสมวัย น่าจะดีที่สุดค่ะ
ตอนนี้ลูกชายสี่ขวบกว่าพยายามให้เค้าเขียน a b c ให้ได้ จำให้ได้ แต่เค้าก็ดูยังไม่สนใจเท่าที่ควร กลุ้มใจแต่ก็ไม่ได้บังคับมาก ในทาง
กลับกันเค้ากลับชอบนับเลข บวกเลข สนุกที่จะให้แม่ได้ตั้งโจทย์บวกเลขง่ายๆ ให้ เราก็รู้สึกดีที่ลูกชอบ
เค้าชอบเล่น มาก การเล่นที่ได้ใช้พลังงานได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในวัยเดียวกัน เค้าจะชอบเป็นพิเศษ ถ้าไปเล่นคนเดียวเจอเพื่อนรุ่นเดียวกันจะปรีเข้าไปเล่นด้วยแบบไม่มีอายไม่มีมาดเลย ขอเล่นด้วยดื้อๆๆ
ตอนนี้ก็เลยตัดสินใจสมัครคอร์สฟุตบอลเด็กเล็กให้เค้า กับคอร์สว่ายน้ำ ส่วนเรียนพิเศษอะไรไม่มีเลยค่ะ เราก็เป็นครูให้เค้าเองที่บ้าน

อ่านแล้วสะเทือนใจจังเลย ตัวเองเคยทำงานเสริมอยู่ทโรงเรียนกวดวิชาซึ่งเด็กมาเรียนตั้งแต่อนุบาลถึงม.ปลาย
เด็กบางคนน่าสงสารมาก เรียนตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงหกโมงเย็น แล้วยังด้องมาเรียนกวดวิชาอีก
บางคนถึงกับหลับคาการบ้านเลย คิดเอาไว้เสมอว่าจะไม่บังคับลูกเรื่องเรียนเด็ดขาด อยากให้ค่อยๆ เป็น ค่อยๆไป

ขอบคุณนะคะ สำหรับบทความ
พออ่านเรื่องนี้แล้วคิดถึงเพื่อนบ้านขึ้นมาเลยค่ะ พ่อเขาเป็นนายทหารเข้มงวดกับลูกมากลูกคนเล็กเขาอยู่วัยประถมอยากดูการ์ตูนในทีวีพ่อก็ไม่ให้ดูแม่เขาก็มาคุยกับดิฉันบ่อยๆ ว่าเขากลุ้มใจมากออกความคิดเห็นไม่ได้เลยส่วนลูกคนโตเรียนก็ไม่เก่ง ติดเกมส์มากแม่ห้ามไม่ฟังเวลาพ่ออยู่ก็ทำตัวเรียบร้อยแต่เวลาพ่อไม่อยู่เวลาแม่ห้ามก็ใส่อารมณ์กับแม่บางครั้งก็ถีบตู้เสื้อผ้าใส่แม่ถ้าแม่บอกพ่อเขาก็จะโดนทำโทษอย่างหนักดิฉันได้ยินอยู่บ่อย ๆ เพราะบ้านอยู่ติดกันบางครั้งดิฉันถึงกับใจสั่นถ้าได้ยินพ่อเขาดุลูกเราเองก็กลัวลูกเราได้ยินและกลัวขวัญเสียต้องรีบปิดประตูบ้านให้มิดชิดเลย ส่วนตัวแม่ก็ไม่กล้าบอกพ่อเขาเท่าไหร่เพราะเขาสงสารลูกเวลาถูกพ่อทำโทษ เขาก็ถามดิฉันว่าดิฉันเลี้ยงลูกอย่างไรทำไมลูกน่ารักจังเลย ขยันเรียนและเป็นเด็กเรียนดี เกรดเฉลี่ย 4.00 เกือบทุกเทอม (ตอนนี้น้องบูมอายุ 11 ปีค่ะ) ดิฉันก็แนะนำเขาไปว่าดิฉันเลี้ยงลูกแบบไม่บังคับแต่ไม่ได้มหมายความว่าตามใจลูกนะคะ เราจะเน้นเรื่องความพอใจและความสุขของลูกและคุณพ่อเขาก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกรักครอบครัวเวลาว่างจากงานก็จะกลับบ้านมาช่วยดูแลลูก ทำกับข้าวให้ลูกทานสอนหนังสือพาลูกเล่นและทำอย่างนี้มาตลอดและลูกก็ดูมีความสุข ส่วนเรื่องภาษาอังกฤาลูกเขาก็ชอบมาตั้งแต่เรียนอนุบาลแล้วค่ะเพราะเวลาไปเที่ยว อยู่บ้าน เราก็จะสอนศัพท์ภาษาอังกฤษเขาไปด้วยและลูกก็จะคุ้ยเคยกับภาษาพอลูก 8 ขวบ ก็พาลูกไปเรียนพิเศษวันเสาร์ครึ่งวันที่ ECC จนถึงปัจจุบันนี้ค่ะแต่ทุกครั้งที่จะให้ลูกทำอะไรพ่อและแม่จะถามความสมัครใจของลูกก่อนว่าลูกต้องการไหม ชอบไหม ถ้าลูกไม่เห็นด้วยก็จะไม่บังคับแต่ลูกต้องบอกเหตุผลให้พ่อแม่ทราบด้วย ส่วนลูกคนเล็กตอนนี้อายุ 2.6 ปี ส่งไปเรียนเตรียมอนุบาลกับอาจารย์ชาวต่างชาติแต่คุณแม่ได้คาดหวังอะไรมากมายเพราะเขายังเล็กอยู่จะไม่เน้นวิชาการ จะเน้นเรื่องความสะอาดและสถานที่ความดูแลเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่มากกว่า เพราะวัยนี้ทางโรงเรียนเขาจะฝึกเรื่องการใช้กล้ามเนื้อมือและการเข้าสังคมการร่วมกิจกรรมกับเพื่อน ๆ ได้พอเข้าเรียนอนุบาล 1 จะได้ไม่กังวลมากค่ะ
น่าเศร้าใจสำหรับเพื่อนบ้านของคุณ Samita นะค่ะ และก็น่าดีใจแทนลูกๆของคุณSamita เช่นกันค่ะ ที่มีคุณพ่อคุณแม่ที่เอาใจใส่ลูก คอยดูแลและส่งเสริมนะค่ะ
สะเทือนใจ
ได้ความรู้ ข้อคิด และสติเตือนใจดีๆ เยอะเลยก็จากแพท เนี่ยแหละที่หาข้อมูลดีๆมาเล่าสู่กันฟังเสมอ

ขอบคุณมากๆเลยจ้ะ ตะเอง

ขอเอาไปเผยแพร่ต่อนะคะ*-*
You'r welcome ka ตะเอง
เป็นพ่อแม่ที่ไม่มีความคิดเอาซะเลย เสียดายความรู้พ่อแม่ที่เรียนจบมาสูงแต่ความคิดแค่ เด็กอนุบาล คิดถึงแต่ตัวเองไม่เคยนึกถึงความรู้สึกเด็ก ไม่รู้ว่าคุณโตมาไงไม่รู้จักช่วงชีวิตในวัยเด็กเอาซะเลย หรือว่าตอนเป็นเด็กโดนพ่อแม่ทำมาก็เลยมาทำกับลูกตัวเองบ้าง ไม่อยากกระทู้แล้ว ถึงตอนนี้จะรู้ไหมว่าพ่อแม่ ผิดเต็มประตูเลย
ใจเย็นๆค่ะ ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นนะค่ะ
น้องน่าสงสารมากๆเลยค่ะ ความรักและความอบอุ่นของพ่อและแม่เท่านั้นที่จะทำให้น้องเค้ากลับมาดีได้อีกครั้ง ขอเอาใจช่วยให้น้องหายไวๆ ขอบคุณคุณแพทค่ะ ที่ทำให้เราหันกลับมามองดูลูกของเราว่า เค้ามีความสูขดีไหมเราเข้มงวดไปหรือป่าว บ้างครั้งเราก็ลืมว่าตอนเราเด็กๆ การได้ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนมันสุดแสนจะสนุก นึกถึงสมัยเด็กๆแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ ตอนนี้คงต้องเริ่มถามตัวเองว่า ลูกเรามีความสูขดีไหม เราชักจะตึงเกินไปหรือป่าว
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเลี้ยงลูกคนนึงให้เติบโตขึ้นมาได้ในสภาพสังคมที่มีการแข่งขันกันสูงแบบนี้นะค่ะ แล้วมันก็เป็นเพียงแค่เส้นบางๆในการที่จะสอนให้รู้จักกับความรับผิดชอบในการตัดสินใจของตัวเองกับการบังคับฝืนใจให้เค้าทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ แพทพูดถึงเวลาที่แพทบังคับให้น้องนิวเรียนเต้นรำ หรือเล่นกีฬา เพราะแพทให้น้องนิวเป็นคนเลือกว่าจะเรียนไหม อยากเล่นรึเปล่า แล้วพอเค้าเลือกไปแล้ว แม่จ่ายตังค์ไปแล้วมาขอเปลี่ยนใจทีหลังนี่ แพทไม่ยอมค่ะ บอกเลยว่าเป็นการตัดสินใจของเธอเอง ฉะนั้นต้องทำให้จบ อย่ามาโลเล ไม่ได้ แต่แพทก็ไม่เคยเอาการเรียนหรือกิจกรรมมากมายมาบังคับให้เค้าต้องทำนะค่ะ ที่สำคัญคือเวลาที่พ่อแม่ต้องมีให้กับเค้าอย่างเต็มที่ ต้องรับรู้ต้องสนใจในสิ่งที่เค้าทำ แพทคิดว่าเวลาที่เราให้ความสนใจในตัวเค้า ในสิ่งที่เค้าทำ มันจะทำให้เค้ามีความสุข เค้ารับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่ของเรา และที่สำคัญคือเราจะสามารถสังเกตได้ถึงความผิดปกติ(ถ้ามี)ที่เกิดขึ้นได้และสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที

มีครั้งนึง เค้าเรียนเต้นรำที่โรงเรียนตอนช่วงพักเที่ยง เป็นกิจกรรมเสริมพิเศษของโรงเรียนที่นักเรียนที่สนใจสามารถสมัครเรียนต่างหากได้ ใช้เวลาเรียนอาทิตย์ละครั้งเป็นเวลา 8 อาทิตย์ อาทิตย์สุดท้ายของการเรียนจะมีบัตรเชิญให้ผู้ปกครองมาดูในช่วงเที่ยง แพทก็ไปค่ะ แต่ผิดพลาดกันตรงที่สถานที่ ครั้งแรกที่เค้าเคยเรียน ครูให้นักเรียนออกมาเต้นโชว์กลางสนามหญ้า แต่ครั้งนี้เกิดไปเต็นกันในห้องประชุม ซึ่งแพทไม่ทราบก็ไปรอที่เดิมตรงสนามหญ้า พอดเค้าเต้นกันเสร็จแล้วแพทก็เห็นน้องนิวเดินกลับมาทางห้องเรียนก็เลยเรียกเค้าว่าจะถามว่าจะโชว์รึยัง พอเค้าเห็นแพทเท่านั้นแหละ น้ำตาไหลเป็นทางร้องไห้สะอื้นใหญ่ บอกว่าทำไม ม่ามี้ไม่มาดูนิว เราก็อ้าว มาแล้วลูกแต่ไม่รู้ว่าหนูเต้นในห้องประชุม เลยต้องเดือดร้อนครูใหญ่เพราะแพทไปขอให้เค้าอัดซีดีวีดีโอที่เค้าถ่าลูกสาวเค้าเต้นไว้มานั่งดูกันที่บ้าน น้องนิวถึงได้ยิ้มออกมาได้ค่ะ

RSS

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service