เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม

ปัญหาในการเรียน การสอนภาษาอังกฤษ

ที่มา: http://eng44you.exteen.com/20090213/entry
โดย: eng44you
--------

เรื่องที่จะเขียนนี้มาจากมุมมองส่วนตัวที่ตัวเองเคยเป็นครูมาระยะหนึ่ง แต่ลาออกมาแล้ว
ตอนนี้ทำงานเกี่ยวกับภาษาอังกฤษแต่ไม่ได้เป็นครูในโรงเรียน แก้ปัญหาเด็กเป็นรายๆไป
พอลาออกก็มาทำงานเป็นฝ่ายต่างประเทศตลอดในบริษัทเอกชนและหน่วยงานของรัฐค่ะ
แต่สิ่งที่ทำมาตลอดตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ปี2 ก็คือ เป็นครูสอนพิเศษภาษาอังกฤษ

ตอนนี้มีสอนภาษาญี่ปุ่น แต่ไม่ค่อยถนัดเท่าภาษาอังกฤษ
บล็อกนี้จะเน้นเกี่ยวกับภาษาอังกฤษเป็นสำคัญ
อยากจะแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ทั้งการทำงานและการสอนของตัวเองด้วย

เคยสงสัยมั้ยคะ ว่าทำไม บางทีเด็กที่จบการศึกษาปริญญาตรี หรือแม้กระทั่งปริญญาโท
เจอฝรั่งแล้วยังไม่กล้าพูด หรือถ้าจำเป็นก็จะพูดแบบขอไปที เป็นเพราะอะไรกันแน่
หลักสูตรการศึกษาเราไม่ดีหรือ หรือว่าเด็กไทยไม่เปิดรับภาษาอื่นๆ
บางคนบอกกระทั่งว่า เพราะเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่นๆ
พูดแบบนี้น่าสงสารบรรพบุรุษเรามากๆ ยิ่งไปกว่านั้น

เคยมีการศึกษาพบว่า ระดับภาษาอังกฤษของเด็กไทยระดับแย่กว่าเด็กๆในละแวกเพื่อนบ้านของเราอีก
เพราะว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สำคัญมากในการใช้ติดต่อสื่อสารกับเพือนมนุษย์ต่างประเทศ ว่ากันว่า
ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารมีมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก

ข้อมูลข่าวสารในอินเตอร์เน็ตก็เป็นภาษาอังกฤษแทบทั้งสิ้น รวมทั้งการค้นพบ
การสร้างสิ่งใหม่ๆในโลกก็เป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็น่าแปลก
ทั้งๆที่รัฐบาลบังคับให้เรียนภาษาอังกฤษอยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
แต่ก็ยังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่พูดภาษาอังกฤษ หรือ สือสารภาษาอังกฤษไม่ได้

ทั้งๆที่รวมเวลาในการศึกษาภาษาอังกฤษ (บางโรงเรียนสอนตั้งแต่อนุบาล)
รวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ปี แถมบางคนยังมีการกวดวิชาเพิ่มอีกด้วย

เคยมีเจ้าของบริษัทที่เค้าเปิดกิจการเล็กๆจะให้เราไปสอนคนในที่ทำงานของเค้า
และบ่นๆว่าทำไมเด็กจบปริญญาตรีเดี๋ยวนี้ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย

หลายๆประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างจีน เกาหลี เด็กๆพูดภาษาอังกฤษกันเก่งมากขึ้น
แม้แต่ญี่ปุ่น ที่ใช้แต่ภาษาของตนเอง แต่ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ที่พูดภาษาอังกฤษได้มีมากขึ้น
และนอกจากนี้ ยังมีปัญหาเกี่ยวกับครูอีกด้วย

1. เรายังขาดแคลนครูที่จะมาสอนเด็ก อัตราส่วนของครูที่มีต่อเด็กมีเยอะเกิน

2. ปัญหาขาดครูเอกภาษาอังกฤษ ทำให้บางโรงเรียนต้องใช้ครูที่ไม่ได้จบเอกภาษาอังกฤษมาสอนเด็ก
จะว่าไป ปัจจุบัน ครูเด็กประถม (ที่ไม่ใช่อยู่ในโรงเรียนใหญ่ๆ) มีแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ที่จบเอกภาษาอังกฤษ
ครูลักษณะนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาวิชาที่สอนด้วยซ้ำ เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก
เพราะว่าชั้นประถมเป็นการปูพื้นฐานของเด็ก
ซึ่งบางทีโรงเรียนต่างจังหวัดที่เป็นโรงเรียนเล็กๆอาจจะเจอปัญหาแบบนี้ ...

แต่ถ้าเป็นโรงเรียนในกรุงเทพฯจะไม่มีปัญหานี้เท่าไหร่ เด็กกรุงเทพฯ
หรือเด็กที่อาศัยตามตัวเมืองต่างจังหวัดจะค่อนข้างจะโอกาสดีกว่าที่มีครูสอนพิเศษ หรือ
สามารถหาหนังสือดีๆมาอ่านเพิ่มเติมได้

3. งานอื่นๆของครูที่ไม่ใช่งานสอนก็มีมากมายท่วมหัว ทั้งงานธุรการ งานฝ่ายปกครอง
สมัยนี้มีองค์กรภายนอกมาประเมินโรงเรียนอีกต่างหาก ถ้าทำให้ผ่านตัวชี้วัดสารพัด
ทำไม่ผ่านก็ไม่ได้ ทำเอกสารกันวุ่นวาย
บางทีก็ไม่ได้ทำอย่างที่เค้าให้เก็บข้อมูลจริงๆหรอก ทำเป็นผักชีโรยหน้าให้พอพ้นๆไปก็คงจะมีอยู่

4. การเลื่อนตำแหน่งของครู ไม่ได้เกี่ยวกับว่า
สอนเด็กแล้วเด็กรู้เรื่องมากขึ้นหรือเปล่า รู้จักปัญหาของเด็กหรือไม่
แต่เป็นการเลื่อนขั้นโดยการทำผลงาน อยากเลื่อนตำแหน่งต้องมีผลงานวิจัยออกมาเป็นเล่มๆ แต่ว่า
เท่าที่รู้มีไม่น้อยเหมือนกัน ที่จ้างทำวิจัย เห็นมากับตาตัวเอง มีคนรู้จักเป็นครูโรงเรียนในสังกัด กทม
นี่แหละค่ะ รับจ้างทำวิจัยในการสอน เล่มหนึ่งก็ประมาณ 3 หมื่นบาท
ทำกับเพลินเลย ปีหนึ่งทำกัน 3 - 4 เล่ม เอาเนื้อหาเล่มนั้น เล่มนี้มาแปะ
ก็ได้แล้วไม่ต่ำกว่าแสน แล้วครูคนเป็นเจ้าของผลงานก็ได้รับตำแหน่งนี้ไป คือ

ถ้าได้แล้ว ได้ตังค์เพิ่มนั่นเอง สรุปว่าการได้เลื่อนตำแหน่ง ได้เงินเพิ่ม ตัวชี้วัด
ไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องบทบาท หน้าที่การสอนเลยแม้แต่นิดเดียว

4. เงินเดือนครูค่อนข้างน้อย ทำให้ต้องประกอบอาชีพเสริม ไปขายประกันมั่ง ขายตรงอย่างอื่นมั่ง
ข้อนี้พูดด้วยความเห็นใจนะคะ เพราะบางคนทำงานเยอะขึ้น
ต้องมาทำเสาร์ อาทิตย์ ก็ไม่ได้เงินเพิ่ม ก็เลยต้องใช้วิธีอื่นๆ เช่น หาเด็กสอนพิเศษบ้าง
หรือทำอย่างอื่นบ้าง บางคนพอได้ตังค์มากเข้าก็เลย ขายกันเพลินไป
ไม่ได้สนใจห้องเรียนเท่าที่ควร แถมเรื่องสอนพิเศษ บางโรงเรียนก็กลายเป็นปัญหาอีก
เพราะครูสอนพิเศษชอบเอาข้อสอบมาบอกนักเรียน คือ เรียนแล้วจะได้แนวข้อสอบไปด้วย
แถมบางคนไม่สนใจชั่วโมงสอนในคาบเรียน แต่บอกนักเรียนว่าเปิดชั่วโมงสอนพิเศษ
ให้ไปเรียน และกั๊กวิชาไว้ไปสอนในชั่วโมงสอนพิเศษก็มี แต่ทั้งหมดนี้
ไม่ได้ว่าทุกคนนะคะ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนเป็นแบบนั้น

อาจารย์บางคนที่เปิดสอนพิเศษก็ตัดปัญหาไปเลยเรื่องข้อสอบรั่วไหลโดยไม่รับน้กเรียนชั้นที่ตัวเองสอน
เหมือนว่าถ้าสอน ม.4 ก็จะไม่รับสอนเด็ก ม.4 ไปรับสอนเด็กชั้นอื่นๆไปเลย ...
แบบนี้ก็ถือว่า กันข้อครหาไปได้ .. จริงๆอยากจะให้รัฐสนใจเรื่องเงินเดือนของครูมากกว่านี้
รวมทั้งครูอัตราจ้างด้วยนะคะ เพราะครูที่เป็นอัตราจ้าง น่าสงสารมาก
ทำงานเยอะแยะมากมาย เงินเดือนก็ไม่ขึ้น สวัสดิการอะไรก็ไม่มี ไม่มีหลักประกันเลย

5.ส่วนที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างมาก คือ การจัดชั้นเรียน
อย่าจัดให้เด็กที่เรียนเด็กเก่งกับเด็กอ่อนมารวมกัน เพราะการรับรู้จะต่างกันอย่างมาก
วิธีการสอนเด็ก 2 ประเภทนี้ต่างกันอย่างลิบลับ เพราะเด็กเก่งรู้อยู่แล้ว แต่เด็กอ่อน
บางทีต้องพูดเรื่องพื้นฐานประกอบด้วย เพราะเค้าจะไม่รู้ที่มา ที่ไป
ศัพท์ที่ใช้ก็ควรจะเป็นศัพท์ที่ไม่ยากมาก เพราะว่าถ้าเด็กจะรู้สึกหมดกำลังใจ

ถ้าเรียนแล้วไม่รู้เรื่องศัพท์เลย แต่ถ้าเด็กเก่งมาเรียนห้องเดียวกัน เค้าก็จะเบื่อ
เพราะว่ารู้หมดแล้ว จะมาสอนทำไม เด็กเก่งรับอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้น
ไม่มีปัญหาที่เราจะเพิ่มศักยภาพเค้าเลย ยิ่งสอนเรื่องยากๆให้เค้าได้ก็ยิ่งดี
เด็กเก่งจะชอบเรื่องท้าทาย เพราะถือว่าเป็นเรื่องสนุก ดังนั้น
ควรสอบวัดระดับเด็กก่อน แล้วจึงจะจัดชั้นเรียนดีที่สุด

6.การเก็บคะแนน หรือการสอบเรียนต่อเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้วัดจากการพูด
การสื่อสารโดยตรง ฉะนั้น เด็กก็จะเรียนแบบให้ทำคะแนนได้มากที่สุด
โดยเน้นเทคนิคการทำข้อสอบ แต่ไม่ได้เน้นว่าจะพูดอย่างไร
จะสื่อสารอย่างไร ฟังออกหรือไม่ จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างไร

7. ปัญหาสำคัญมาก คือ เราไม่มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน
แค่ชั่วโมงเรียนมีแค่อาทิตย์ละ 4 – 5 ชั่วโมง ไม่พออยู่แล้ว แต่เราลองคิดถึงเวลาจริงๆ
เวลา 1 คาบเรียน ส่วนใหญ่จะประมาณ 50 นาที
ถ้าเด็กเดินเรียนก็ประมาณ 10 นาที เพราะเปลี่ยนอาคาร ไปห้องน้ำ ไปหาแฟน ฯลฯ เสียเวลาไปแล้ว
พอเข้าห้อง บางทีครูก็บ่นบ้าง ด่าบ้าง พูดเรื่องอื่นๆบ้าง กินเวลาไปอีก 10 นาที

เด็กบางคนบอกว่า พอเริ่มต้นชั่วโมงครูก็ด่าๆๆๆ แล้ว อีก 30 นาทีก็เลยไม่อยากจะเรียน
ทำให้เกลียดวิชาภาษาอังกฤษไปเลย แบบนี้ก็มี -_- เหลืออีกแค่ 30 นาทีกว่าจะสอนได้ทั้งหมดใน
เนื้อหา บางโรงเรียน ยึดหลักเด็กเป็นศูนย์กลาง (บางโรงเรียนนะคะ)
ให้เด็กไปทำกันมา แล้วเฉลยกันเอง .... ถ้าเฉลยไม่ได้ ตอบไม่ได้
ก็โดนทำโทษโดยการยืนทั้งชั่วโมง


ที่พูดมาเรื่องระบบบ้าง เรื่องครูบ้าง ไม่ใช่ว่าเด็กจะไม่มีปัญหาเลย
ปัญหาที่เกิดจากตัวเด็กเองมีเยอะมากด้วยเหมือนกัน
ไม่ใช่ว่าจะไม่โทษตัวเด็กนะคะ เด็กเองก็มีปัญหาเหมือนกัน คือ
ชอบอะไรที่ง่ายๆ สบายๆ ไม่ชอบเรื่องยากๆ ไม่ชอบท่อง ไม่ชอบจำ
อยากจะได้แต่วิธีเรียนลัด ซึ่งถ้าเป็นวิชาภาษา มันเป็นวิชาทักษะ
ต้องสะสมไปเรื่อยๆ และใช้ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะหาเทคนิคคิดลัด
มันไม่มีหรอกค่ะ ถ้าคนเรียนเป็นคนขี้เกียจ ครูบอกว่าให้หาหนังสือภาษาอังกฤษพยายามอ่าน
ก็ไม่อ่าน หาเพลงอังกฤษฟังก็ไม่เอา ดูหนังที่เป็น sub ภาษาอังกฤษ
หรือดูภาคภาษาอังกฤษก็ไม่ชอบ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่า
เช่น เล่นเกม (เด็กบางคนบอกว่า ก็ฝึกเหมือนกัน

แต่ว่าไม่ได้ประเด็นหลัก ศัพท์ที่ได้จากเกมมีนิดเดียวเองนะคะ
แถมไม่เกี่ยวกับเรื่องชีวิตประจำวันเท่าไหร่ด้วย) แล้วก็บ่นว่าไม่ได้ภาษาอังกฤษ
แบบนี้ต้องโทษตัวเองนะคะ
เพราะ 50 เปอร์เซ็นต์ของการประสบความสำเร็จของการเรียนภาษา มาจากตัวของผู้เรียนเองค่ะ
การไม่พยายามฝึกฝน เป็นอุปสรรคใหญ่ เพราะถึงหนูจะได้ครูดี โรงเรียนพร้อมศัพท์
แหล่งข้อมูลเพียบ แต่ตัวเองขี้เกียจ ก็ไม่มีวันพัฒนาได้ค่ะ

เด็กชอบถามว่าทำไมต้องเรียนภาษาอังกฤษ ทำไมฝรั่งไม่เรียนภาษาเรา ทีญี่ปุ่นล่ะ จีนล่ะ
ตอบง่ายๆ ก็เราไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
แบบนั้น นายจ้าง เจ้าของบริษัทใหญ่ๆ ก็ยังเป็นอังกฤษ เป็นญี่ปุ่น

ถ้าอยากได้งานดีๆเงินดีๆ มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากกว่าคนอื่นๆ
สามารถหาข้อมูลอ่านเรื่องต่างๆได้กว้างขวางขึ้น ก็จำเป็นต้องเรียน
แต่ถ้าคิดว่าไม่จำเป็น หากินด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาฝรั่ง ก็ไม่เป็นไรค่ะ

อ้อ อีกอย่างนะคะ ครู อาจารย์ประเภทที่ชอบด่าเด็ก หรือ ใครก็ตามที่ชอบดูถูกคนไทยด้วยกัน
เรื่องพูดภาษาอังกฤษแบบผิด ๆ พวกนี้แย่มาก ต้องเลิกทัศนคติประเภทที่ว่า
เห็นคนอื่นที่พูดภาษาอังกฤษผิดๆ ถูกๆ แล้วไปเราไปดูถูกคนอื่นว่าโง่
โดยเฉพาะคนที่เป็นครู อันนี้ร้ายแรงมาก ทำให้เด็กไม่กล้าพูด ไม่กล้าเขียน
จะเขียนถูกเขียนผิดเป็นเรื่องธรรมดา คนเราก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ

แปลกเนอะ เวลาเราเห็นคนต่างชาติคนไทย คนญี่ปุ่นพูดภาษาไทย ผิดมั่ง ถูกมั่ง
เราจะรู้สึกว่า ต๊าย ตาย น่ารัก น่าเอ็นดู แต่พอคนไทยพูดภาษาอังกฤษ

ก็จับผิด ดูถูกแบบนั้นแบบนี้ เรื่องแค่นี้ ไม่รู้เรื่องเหรอ โง่จังนะ ....
ทำเหมือนเป็นอาชญากรไปฆ่าคนตายมา
ก็มันไม่ใช่ภาษาพ่อ ภาษาแม่เรานี่นา เราพูดผิดก็เป็นเรื่องปกติ

ฝรั่งมันจะกระโดดกัดคอเราหรือเปล่า ก็ไม่ใช่
ถ้าเราเห็นคนอื่นพูดผิด หรือทำผิด ถ้าเป็นครู แน่นอน ต้องแนะนำ
บอกเด็กไปว่าควรจะพูดแบบไหนถึงจะเหมาะกว่า

ส่วนถ้าเป็นเป็นเพื่อนๆ เป็นคนรู้จัก
ถ้าอยู่ในสถานการณ์ที่เราพอจะแนะนำได้ ก็บอกเค้าได้
แต่ว่าให้เป็นไปในท่าทีแบบเป็นกัลยาณมิตร ติเพื่อก่อ ประมาณว่า ... เก่งเนอะกล้าพูดด้วย (ให้กำลังใจ ) แต่จริงๆแล้วน่าจะเป็นแบบนี้มากกว่านะ

แต่เท่านี้ก็ดีแล้ว หรืออะไรก็ว่าไป ต้องทำให้เด็กมั่นใจ กล้าพูด กล้าแสดงออก ขอให้ได้พูด

สรุปแล้วปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้ แต่ก็ต้องบอกว่า แก้ที่ครู และรัฐบาลต้องส่งเสริม
สนับสนุนให้มากกว่านี้

แต่ปัจจุบัน ถ้ารอรัฐบาลก็ค่อนข้างลำบาก เพราะว่าปัญอย่างอื่นก็แยะมากพออยู่แล้ว
ทางเดียวก็คือ ต้องขวนขวายด้วยตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

แล้วก็จะเก่งเองค่ะ
รับรองรอง ไม่มีอะไรเกินความพยายามของคนเราไปได้

Views: 40

Reply to This

Replies to This Discussion

เห็นด้วยนะคะ ที่ภาษาเป็นเรื่องของการฝึกฝน เหมือนกับเราต้องใช้ภาษาไทยไปทุกๆๆวัน จนเกิดความเป็นธรรมชาติและคุ้นชินภาษาไทย ซึ่งภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกันค่ะ คิดว่ากว่าจะสอนลูกเป็นเด็กสองภาษาได้ พ่อแม่ก็ต้องฝึกฝนหนักเช่นกัน หากท่านใดมีความตั้งใจจะสอนลูกเป็นเด็กสองภาษาแล้ว ขอให้อย่าท้อแท้นะคะ สู้ๆ เพื่อลูก อะไรๆ ก็ทำได้ค่ะ
คิดว่าจะฝึกไปทุกวันๆๆ จนกว่าเราจะฟังฟาหรั่งได้คล่องเหมือนเราฟังภาษษไทยค่ะ มุ่งมั่นค่ะ ฝึกตัวสอนลูก ลูกได้เราก็ได้ค่ะ
อ่านแล้วก็หนักใจจางงงงงงงงง
โชคดีที่ได้เริ่มต้นไว้ให้ลูกก่อน
และก็ต้องทำต่อไปค่ะ...

RSS

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service