กาลครั้งหนึ่ง ยังไม่นานเท่าไหร่ เพราะแค่ปี 1906
มีกระทาชายนายหนึ่งชื่อว่า ฟรานซิส กัลตัน
ชาวอังกฤษได้เดินทางไปงานแสดงประจำปีของสัตว์เลี้ยง
กัลตันเดิน
เที่ยวงานจนกระทั่งไปพบกับ
ซุ้มหนึ่งซึ่งจัดแข่งขันทายน้ำหนัก
โดยจะมีการคัดเลือกแพะตัวอ้วน ๆ
ขึ้นมาสักตัวหนึ่งแล้วนำขึ้นมาให้ผู้เข้าชม
ทายน้ำหนักของมัน ในการทายน้ำหนักนั้น
ผู้ชมจะต้องวางเงินเดิมพันน้ำหนักของแพะตัวนั้น
โดยซื้อตั๋วซึ่งผู้ทายจะต้องใส่ชื่อ,
ที่อยู่ และน้ำหนักที่ทาย ใครทายได้
ใกล้เคียงที่สุดก็จะได้รางวัลใหญ่ไป
ภายหลังการ
แข่งขัน จบลง กัลตันได้ขอยืมตั๋วทายน้ำหนักทั้งหมด
จากเจ้าหน้าที่จัดงาน และนำไปใช้
ในการวิเคราะห์ทางสถิติ
โดยเขานำผลการทายทั้งหมดจำนวน 787
คนมาจัดเรียงตามลำดับจากสูงที่สุดไปต่ำสุด
จากนั้นนำไปพล็อตกราฟ นอกจากนี้
เขายังนำผลการทายทั้งหมดมาคำนวณหาค่าเฉลี่ย
ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็น ความสามารถ
หรือความฉลาด ของประชาชนชาวพลีมัธ
(ที่ไปร่วมการทายน้ำหนักแพะ) นั่นคือ
ถ้าถือว่ากลุ่มคนทั้งหมดนี้เป็นคนคนหนึ่ง
ค่าเฉลี่ยนี้สามารถแสดงถึง
ความสามารถในการทายน้ำหนักแพะของคนคนนั้นนั่นเอง
เดิม
กัลตันเชื่อว่า ค่าเฉลี่ยของการทายน้ำหนัก
น่าจะเบี่ยงออกจากน้ำหนักจริงค่อนข้างมาก เพราะ
ค่าเฉลี่ยนี้เกิดจากการผสมผสาน
ของคนที่เก่งและฉลาดมากๆ
สองสามคนเข้ากับกลุ่มคนที่ไม่เก่งนักแต่ค่อนข้างดี,
รวมกับคนที่ไม่รู้จำนวนมาก
นั่นย่อมจะทำให้ค่าเฉลี่ยการทายแย่ไปด้วย
แต่ปรากฏว่า เขาคิดผิด
เพราะน้ำหนักแพะเท่า
กับ 1,198 ปอนด์ในขณะที่ค่าเฉลี่ย
ของการทายเท่ากับ 1,197 ปอนด์
ซึ่งต่างกันเพียงปอนด์เดียว
ซึ่งกัลตันสรุปไว้
ภายหลังในบทความที่ตีพิมพ์ใน วารสาร Nature ว่า
บางทีเรื่องผู้เชี่ยวชาญไม่กี่คนอาจจะไม่มีความสำ
คัญมากนัก แต่ควรจะเชื่อมั่น
ในการตัดสินของภูมิปัญญาร่วมมากกว่า
...
นั่นคือจุด
เริ่มต้นของหนังสือ Wisdom of crowds ของ James Surowiecki
ซึ่งเป็นนักเขียนประจำนิตยสารปัญญาชนอเมริกัน The New Yorker
นายเจมส์พยายามจะนำเสนอประเด็นที่ว่า
การที่คิดว่าตัวเองเป็น กูรู้ (Guru- จากด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม)
การรวบอำนาจข้อมูล นำไปสู่ความคับแคบและการบิดเบือนในระบบตัดสินใจ
ในขณะที่การกระจายที่มาของแหล่งข้อมูลและการเปิดกว้างทางความคิด
เป็นการสร้างความเป็นไปได้และความช่ำชองเฉพาะทางที่มากที่สุดที่จะช่วย
ป้องกันความผิดพลาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อมูลที่เป็นความรู้Wikipedia.org สารานุกรม
ที่อาศัยคนที่สนใจทั้งหมดช่วยกันสร้างเนื้อหา ช่วยกันขัดเกลาเนื้อหา
โดยไม่สนใจว่าเขามาจากวิชาชีพใด นี่คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดบนแนวคิดของ
ภูมิปัญญาร่วม (Wisdom of crowds) ตอนที่ Jimmy Wales
สร้างวิกิพีเดียขึ้นมานั้น ก็โดนพวกกูรู้ทั้งหลายถล่มเขาอย่างหนักว่า
ข้อมูลมันจะถูกต้องเหรอ ปล่อยเชื้อมั่วเปล่า
เดี๋ยวตกเป็นเหยื่อของคนรู้ไม่จริง แต่จนแล้วจนเล่าพวกกูรู้เหล่านี้
ก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลยบนโลกนี้ นอกจากวิพากษ์วิจารณ์อย่างเมามัน แต่
Jimmy Wales ก็ไม่ได้สนใจอะไรเขาก็เดินหน้าสร้างวิกิพีเดียต่อ (ดีใจจัง
คนดีไม่ท้อแท้) ซึ่งผลตอบรับจากมวลชนดีมาก
เพราะเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมด้วยช่วยกันขัดเกลาองค์ความรู้ได้
ทันที โดยไม่ต้องไปรอกูรู้จากสำนักไหนมาช่วยตอบ
จนปัจจุบันวิกิพีเดียเป็นสารานุกรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว มีบทความกว่า 3
ล้านบทความ 250 ภาษา ช่วยคนบนโลกนี้ได้เยอะแยกมากมาย
อีกตัวอย่างที่อยู่บนพื้นฐานของแนวคิด
ภูมิปัญญาร่วมก็คือเกมโชว์ชื่อดังในอเมริกา Who Wants to Be a Millionaire?
หรือเกมเศรษฐีที่รู้จักกันในเมืองไทย
โดยในอเมริกานั้น
ถ้าผู้เข้าแข่งขันไม่สามารถตอบคำถามได้ ก็จะมีตัวช่วยสามตัว ตัวช่วยแรก
คือตัดคำตอบบางข้อที่ไม่ใช้ออก ตัวช่วยที่สองคือ ให้โทรศัพท์สอบถามคนใกล้ตัวหรือเพื่อนสนิทที่คิดว่ามีความรู้ความสามารถได้และตัวช่วยที่สามคือให้ผู้ชมในห้องส่งที่มาร่วมชมรายการทุกคนได้แสดงความคิดเห็นผ่านทาง
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์เล็กๆ ที่ติดอยู่กับที่นั่งแต่ละคนซึ่งผู้ชมเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญอันใดเป็นเพียงแต่คนมานั่งชมรายการเท่านั้นเอง
จากสถิติพบว่า
ถ้าเลือกตัวช่วยที่สองคือสอบถามผู้ที่ตนเองคิดว่า "เชี่ยวชาญ"
ผู้เชี่ยวชาญนั้นจะให้คำตอบที่ถูก 65% ซึ่งก็ถือเป็นสถิติที่ดีนะครับ
แต่พอไปดูตัวช่วยที่สามแล้ว จะพบว่าพวกผู้ชมที่มานั่งในห้องส่งนั้นจะเลือกคำตอบที่ถูกต้องถึง 91%
(จริงอยู่ผู้ชมคงจะไม่ได้เลือกคำตอบที่เหมือนกันหมด แต่เขาแสดงให้เห็นว่าผู้ชมจำนวนเท่าใดที่เลือกคำตอบใดบ้างและจะพิจารณาจากคำตอบที่เลือกกันมากที่สุด)
ผมทำเว็บ 2pasa.com
ขึ้นมาพร้อมกับเขียนหนังสือเล่มนี้ นอกจากแนวคิดการสอนภาษาที่สองแบบ
"เด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้" แล้วผมยังพยายามสร้างวัฒนธรรมร่วมด้วยช่วยกัน บนแนวคิดของ "ภูมิปัญญาร่วม"อีกด้วย
ผมไม่ได้สนใจว่าใครจะเก่งภาษาอังกฤษมากน้อยแค่ไหน จะเป็นฝรั่งเนทีฟ ไม่เนทีฟหรือเป็นกูรู้จากสำนักไหน แต่ผมเชื่อภูมิปัญญาร่วมของสมาชิกทั้งหมด ที่เข้ามาช่วยกันขัดเกลาองค์ความรู้ให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด มีคนตั้งประเด็น มีคนช่วยตอบ ตอบแล้วยังดีไม่พอ ก็มีเพื่อนสมาชิกมาช่วยเสริมเพิ่มเติม เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้นพื้นที่ทั้งหมดในหมู่บ้านแห่งนี้เป็น
"พื้นที่สาธารณะ" ทุกคนมีสิทธิตั้งคำถาม วิจารณ์ ช่วยแนะนำ
ไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวของใคร เพียงแต่ขอให้การพูดคุยอยู่บนเหตุผล แตกต่างได้
แต่ต้องเพื่อ "ตกแต่งต่อเติมองค์ความรู้" ไม่ใช่แตกแยก
ผมอยากให้
พยายามเอาอัตตาของตัวเองออกไปให้มากที่สุด พยามเป็นแก้วที่น้ำที่ไม่เต็ม
เพื่อเปิดรับสิ่งใหม่ๆเขามาคิด ขัดเกลา เพื่อคัดเอาสิ่งที่ดีที่สุดผมมีความเชื่อเรื่องภูมิปัญญาร่วมครับ และผมเชื่อว่าพวกเราชาวหมู่บ้านทุกจะได้สิ่งที่เรียกว่า "ความผูกพันธ์ เอื้ออาทรระหว่างสมาชิกด้วยกัน" แล้วเราจะเติบโตไปข้างหน้าอย่างมั่นคงครับผู้ใหญ่บิ๊ก