A. ปัจจุบันการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทยนั้น ยังคงใช้ระบบท่องจำคำศัพท์ และอ่านออกเสียงแต่ละคำตามครูผู้สอน เช่นเดียวกับวิธีการที่เราเคยเรียนมาในอดีต ซึ่งหากครูผู้สอนขาดทักษะการใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง ย่อมทำให้ผู้เรียนจำวิธีการออกเสียงไปใช้อย่างคลาดเคลื่อน ประสบปัญหาในการสื่อสาร ซึ่งบ่อยครั้งที่เราเองยังรู้สึกว่าพูดไปอย่างไร ผู้ฟังซึ่งเป็นเจ้าของภาษาก็ไม่สามารถเข้าใจคำพูดที่เราต้องการสื่อสารได้
B. ระบบ Phonics สอนให้เด็กรู้จักเสียงที่ถูกต้องของตัวอักษร ไม่ได้ให้อ่านตามชื่อตัวอักษรเท่านั้น...
ในระบบปกติเด็กๆ จะถูกสอนให้อ่าน A=เอ, B=บี , C=ซี แต่เมื่อเรียนตามระบบ Phonics จะอ่านออกเสียง A=แอะ, B=เบอะ, C=เคอะ
ดังนั้นเวลาผสมคำว่า CAT จะต้องสะกด "เคอะ-แอะ-เทอะ=แคท" ไม่ใช่ "ซี-เอ-ที=แคท" ซึ่งทำให้เด็กสามารถอ่านหรือสะกดคำได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยการท่องจำคำศัพท์ (เช่น "ซี-เอ-ที-แคท-แปลว่าแมว") แต่เป็นการอ่าน จากความเข้าใจในระบบการออกเสียงที่ถูกต้องตามหลัก Phonics
เราเคยสังเกตหรือไม่ว่า ตัวอักษร C ออกเสียงอย่างไร ในเวลาใช้ตัว C ในการผสมคำต่างๆ เช่น CAT, COOK, CUP หากออกเสียงตามชื่อเรียกตัวอักษร "ซี" เราจะไม่สามารถออกเสียงเป็นคำว่า "แคท" ได้เลย (น่าจะเป็นเสียง "แซด" เสียมากกว่า) ฉะนั้นตามที่เราเรียนมาแบบดั้งเดิม จึงเป็นเพียงการสอนให้จำเสียงของคำที่เราได้ยินจากการเรียกชื่อตัวอักษรเท่านั้น และนั่นหมายความว่าเราไม่เคยรู้จักเสียงที่แท้จริงของตัวอักษรหรือสามารถออกเสียงที่ถูกต้องของตัวอักษรนั้นๆ เลย
C. การถอดรหัสเสียงในระบบ Phonics จะช่วยสร้างความเข้าใจในการออกเสียงหรือผสมคำในภาษาอังกฤษ ซึ่งจะทำให้เด็กรู้จักตัวอักษรและคำศัพท์โดยไม่ต้องอาศัยการท่องจำ แม้แต่คำที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินมาก่อนได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน เช่นเดียวกับเจ้าของภาษา ขณะที่เด็กที่ผ่านการเรียนแบบท่องจำมาตลอด จะรู้จักเฉพาะคำศัพท์ที่ท่องมาเท่านั้น
D. สิ่งสำคัญของการเรียนระบบ Phonics แท้จริงแล้วไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การออกเสียงเท่านั้น แต่ยังสร้างความสามารถในด้านการผสมเสียงและสะกดคำ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสู่ทักษะการอ่านจับใจขั้นสูง และการเขียนเชิงสร้างสรรค์ได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้เด็กที่เรียนในระบบนี้รักการอ่านและการเขียน ซึ่งนับเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเปิดโลกใบนี้ให้กว้างขึ้น โดยไม่ถูกจำกัดขอบเขตของการเรียนรู้อยู่ที่แหล่งความรู้ที่เป็นภาษาไทยเพียงอย่างเดียว
E. ที่สำคัญระบบการเรียนแบบโฟนิกส์นั้น มีความสัมพันธ์กับการเรียนภาษาอังกฤษในทุกๆ ทักษะ ไม่ว่าจะเป็นฟัง พูด อ่าน เขียน หรือสะกดคำ จะเห็นได้ว่าเมื่อเด็กสามารถแยกแยะหน่วยเสียงได้ จะทำให้ฟังได้ง่ายขึ้นเมื่อฟังเจ้าของภาษาพูดหรือสนทนา (Listening) และเมื่อเข้าใจที่พูดก็จะสามารถโต้ตอบได้ (Speaking) และเมื่อพบคำใหม่ ก็ใช้จะหลักแยกแยะหน่วยเสียงอ่านได้ (Reading) ซึ่งเมื่อสามารถอ่านได้ก็จะสามารถเขียนคำตามที่อ่านได้ (Spelling และ Writing) นั่นเอง
F. นอกจากนั้นยังมีผลสรุปงานวิจัยด้านการเรียนรู้ทางด้านสมอง (Brain-based learning /Neuron-scientific research) ของมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้ทำการสแกนสมองของผู้เรียนภาษาอังกฤษด้วยวิธีการแบบโฟนิกส์ กับวิธีการสอนแบบดั้งเดิม สรุปไว้ว่า วิธีการสอนแบบโฟนิกส์นั้น ช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง ทำให้มีการสร้างเส้นใยสมองใหม่ ทั้งทำให้เส้นใยสมองเดิมแตกตัวและเบ่งบานอย่างถาวร มีผลทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางด้านการเรียนภาษาอังกฤษสูง เมื่อเปรียบเทียบกับการสอนด้วยวิธีอื่นๆ
ข้อมูลจาก