เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม

ทำอย่างไรดีค่ะที่จะเปลี่ยนให้เด็กที่ไม่ตั้งใจเรียน หรือไม่รับผิดชอบตัวเอง ดีขึ้นได้

 

หวัดดีค่ะทุกคนไม่เคยตั้งกระทู้เลยค่ะ นี่เป็นปัญหาที่อยากจะแก้ให้ได้ตอนนี้ค่ะ คือ เป็นคุณครูที่ รร ที่

 

จ.ระยองค่ะ สอนเด็กชั้นประถมนะคะ ตอนนี้มีปัญหาที่อยากจะช่วยพ่อแม่หลายๆคนแก้ปัญหาจากการที่

 

ลูกมา รร แล้วไม่สนใจเรียน ไม่รับผิดชอบตัวเอง คุณครูให้ทำงานไม่ทำ ทำไม่เสร็จ จดตามไม่เสร็จ และ

 

ทำให้ผลการเรียนไม่ดีเท่าที่ควรจากพฤติกรรมดังกล่าว หันมาสนใจตนเองบ้างค่ะ พ่อและแม่พยายามที่จะ

 

ถามลูกบ่อยครั้งว่ามีการบ้านไหม แต่เด็กก้อตอบว่าไม่มี คือมาเรียนการบ้านไม่ได้จดใส่สมุด ไม่รับผิด

 

ชอบตัวเองเลยค่ะ ไม่อยากให้เรื่องเหล่านี้มาเป็นปัญหาในอนาคตนะคะ เลยอยากหาทางแก้ไข มีใครมีวิธี

 

จูงใจลูกหรือทำอย่างไรกันบ้างค่ะ ตอนนี้น้องตูนอายุ10 ขวบแล้วค่ะ อาจจะช้าที่เปลี่ยนเค้า แต่คิดว่าคงไม่

 

สายค่ะ ตอนนี้ดิฉันยังไม่มีลูกหรอกนะคะ แต่ว่าก็อ่านเว็บนี้ตลอดค่ะ เพราะคิดว่าถ้ามีลูกก็อยากจะทำแบบ

 

นี้บ้างศึกษาข้อมูลค่ะ ในนี้มีอะไรให้ค้นหาเกี่ยวกับเด็กอยู่เรื่อยเลยค่ะ เป็นเว็บที่ดีมากเลยค่ะ อีกอย่างตอน

 

นี้ทำงานด้านนี้ได้เจอเด็กหลายเคสเลยค่ะ แต่ก็สนุกดีนะคะ เรียนรู้เด็กหลายๆคน รบกวนคุณพ่อและคุณ

 

แม่ทุกท่านช่วยแชร์ประสบการณ์หรือความเห็นหน่อยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

Views: 26396

Reply to This

Replies to This Discussion

โรงเรียนที่ลูกสาวเรียน เป็นโรงเรียนคาธอลิกที่ประเทศนิวซีแลนด์ค่ะ ไม่ทราบว่าจะสามารถช่วยอะไรได้แค่ไหนนะค่ะ
แต่ที่โรงเรียน คุณครูของน้องนิวจะทำ Sticker chart ติดไว้ที่บอร์ดให้กับนักเรียนทุกคน ทุกครั้งที่เด็กเชื่อฟังคุณครู ไม่คุยในห้องเรียน ช่วยเหลือผู้อื่น สนใจในการเรียน คุณครูจะเอาสติ๊กเกอร์มาติดไว้ให้ที่ละดวงค่ะ พอเต็มแผ่น (25-30ดวง) ก็จะมีรางวัลให้เล็กน้อย แล้วก็เปลี่ยนแผ่นใหม่ให้ ถ้าเด็กดื่อ คุณครูก็จะเรียกไปคุย หาเหตุผล ตักเตือนก่อน ถ้ายังไม่เชื่อฟัง ก็จะมีมุมสงบสติอารมณ์ให้ไปนั่งคิดหรือยืนคิด ที่มุมนั้นก็จะมีแผ่นโปสเตอร์แปะไว้ มีรูปเหมือนสัญญาณไฟแดง เขียนไว้ว่าไฟเขียวสำหรับเด็กที่สามารถเรียนร่วมกับเพื่อนได้ ไฟเหลืองสำหรับเด็กที่ทำผิดพลาดแต่สามารถคุยและแก้ไขได้ ไฟแดงสำหรับเด็กที่ต้องการมุมสงบมานั่งคิดทบทวนในสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไปว่าเหมาะสมแค่ไหน บางห้องจะทำเป็นวงกลมสีแดงบนพื่นแล้วให้เด็กไปยืนตรงนั้นหรือนั่งตรงนั้น มุมนี้ไม่ได้เป็นที่โดดเด่นสายตาของนักเรียนในห้อง ที่ให้ไปยืนคิดไม่ได้เพื่อที่จะประจานเด็กนะค่ะ แต่ให้เด็กได้รู้จักคิดทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำ และคำที่ครูตักเตือน ถ้าเค้าคิดได้สำนึกผิดก็ให้เค้ากลับมานั่งเรียนต่อกับเพื่อนๆนะค่ะ ถ้าเด็กดื่อจริงๆก็จะถูกส่งตัวไปหาครูใหญ่อีกที

ส่วนเรื่องการทบทวนบทเรียนที่บ้าน แพทใช้วิธีคล้ายๆกัน คือตอนที่น้องนิว(7 ขวบ)ต้องท่องศัพท์ วันแรกๆเค้าจะโวยวายมาก งอแงบอกว่าเกลียดการบ้านไม่ยอมทำ หรืออย่างน้องซี(4 ขวบกว่าจะ 5 ขวบ)ที่แพทพยายามสอนคำศัพท์ เค้าก็จะมีความสนใจน้อย อยากจะไปเล่นท่าเดียว แพทให้ทั้งคู่มีสมุดคนละเล่ม แพทซื้อสติกเกอร์ดวงเล็กๆมาเป็นเล่มเลยค่ะ แล้วทุกครั้งที่นิวท่องศัพท์ได้ 1 คำ แพทก็จะให้เค้าเอาสติ๊กเกอร์มาแปะที่สมุดได้ 1 ดวง หรือของน้องซีที่ยังเล็กอยู่ก็ไม่สนว่าเค้าทำถูกหรือผิด ขอแค่เค้าตั่งใจและสนใจในคำศัพท์ที่แพทสอน แพทก็จะอนุญาตให้เอาสติ๊กเกอร์มาติดได้เหมือนกัน และแพทก็ได้เห็นว่าเค้าทั้งคู่มีความตั่งใจที่จะทำการบ้านมากขึ้น กระตือรือร้นที่จะเรียนมากขึ้น ถึงกับถามแพทว่าพรุ่งนี้เรียนแบบนี้อีกนะ

คุณครูได้ลองเข้าไปที่เวป www.101thaikids.com รึยังค่ะ อาจจะได้แนวทางอะไรดีๆสำหรับสอนเด็กได้เยอะนะค่ะ
ขอบคุณนะคะคุณแพท สำหรับ case นี้ได้มีการตกลงกันว่าถ้าไม่เปบี่ยนพฤติกรรมจะส่งไปเรียน รร ประจำที่นิวซีแลนนะคะ

คุณแพทพอจะมี รร แนะนำไหมค่ะ รบกวนด้วยนะคะ
ถามถูกคนเลยค่ะคุณ Princess แพทเค้าอยู่ที่นิวซีแลนด์พอดีเลย อิอิ
หุหุ บ้านนี้มีลิงอยู่ 2 ตัวแล้วค่ะ

สามีฝากบอกมาว่าสนใจ ประจำที่อัสสัมชัญศรีราชาไหมค่ะ มีประจำตั่งแต่เล็กค่ะ (แต่ไม่ทราบว่าเริ่มป.อะไร จำไม่ได้แล้ว) พอดีศิษย์เก่าเด็กประจำเหมือนกัน
เด็ก อสช ก็มักเป็นแบบนี้ ร้อยละ 40-50 มั้ง เพราะลูกเรียนที่นี้ 3 คน คนโตอาการประมาณนี้เลย
แม่ถาม : มีการบ้านมั้ย เสร็จแล้วทำที่ ร ร แล้วมั้ง โน้น นี้ นั้น ตกลงไม่มีว่างั้น งานไม่เคยจด เล่มเขียวไม่เคยจด อาศัยจำเอา จำได้มั้ง
ไม่ได้มั้ง อาการแบบนี้ ต้องอยู่ที่นิสัยเด็กด้วย ลูกคนที่สองก็ไม่เห็นมีนิสัยแบบคนแรกเลย ผิดกันยังกะ บวก กะ ลบ
ต้องนั่งคุยกัน หาข้อตกลงกัน ถ้ายังไม่ทำ ก็จะไปคุยกับครูเลย บางที่ก็ไปนั่งตามรายวิชา บางครั้งจะสอบแล้วงานยังไม่ครบ ครูต้องโทรมาหาแม่ว่า ลูกยังส่งงานไม่ครบ ไม่ลองคุยกับครูประจำชั้นดูหละค่ะ ตอนนี้น้องอยู่ ป 4-5-6 หละค่ะ
ลืมไปว่าเป็นคุณครู เด็กบางคนเค้าประมาณว่า ไม่รู้มาก่อน เรียนไปวัน ๆ ไม่ค่อยสนใจอยู่แล้ว เรื่องที่เมือวานเรียนไม่รู้ วันนี้เรียนเรื่องใหม่ยังไม่รู้เข้าไปอีก ทำไปทำมาเลยไม่อยากเรียน
คุณแม่ขอเสนอความเห็นนิดหนึ่ง บางครั้งเด็กในห้องมี 35 คน อาจมีแค่ 20-30 คนที่เข้าใจ แต่เด็กที่เหลืออาจจะไม่เข้าใจ หรือรับข้อมูลได้แค่ 50 เปอร์เซนต์ก็ได้ มันต้องอยู่ที่ตัวเด็กและอื่น ๆ อีกค่ะ
ขอบตุณนะคะทุกๆคอมเม้นค่ะ นั่นคือปัญหาหลักเลยนะคะ คุณแม่อ้อย การที่ถามแล้วตอบไม่มีไม่รุ ไม่จด จำเอาแบบนั้นหละค่ะ เด็กหลายคนเป็นแบบนั้น คือ ถ้าลูกๆทุกคนช่วยกันจดงานถึงจะเสร็จหรือไม่เสร็จอย่างน้อยพ่อกับแม่ยังทราบและช่วยตาม แต่ป่าวเลยค่ะ เด็กหลายคนไม่เป็นเช่นนั้นเลยค่ะ ไม่จดเพราะไม่สนใจ จริงๆแล้วคุณครูประจำชั้นเค้าจะสามารถจำพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนนั้นคือพ่อแม่สามารถปรึกษาได้แน่นอนค่ะเพราะคุณครูจะต้องเจอเด็กหลายๆเคสและแก้ปัญหา แต่เรื่องจดการบ้านและรับผิดชอบตนเองนี่ บางครั้งคุณครูก็ไม่ได้อยู่กับเด็กตลอดนะคะ ถ้าเด็กๆช่วยตนเองรับผิดชอบได้ ปัญหาคงหมดลงค่ะ เพราะบางทีเด็กขาดความสนใจและสมาธิจริงๆนะคะ จากนิสัยของเค้าจริงๆ
ที่เราต้องแก้ค่ะ เพราะบางที่ครูให้ทำแบบฝึกหัด มีตัวอย่างให้ดู มีคำให้เขียนตาม ยังเขียนผิดเลยค่ะ ครูตรวจงานบางทีนี่เล่นเอาปวดหัวมากเลยค่ะ ไม่เข้าใจกับเด็ก กับงานที่ทำมาส่งค่ะ
เข้าใจอยู่ค่ะ นิสัยเหมือนลูกคนโตแม่อ้อยเลยค่ะ ว่าแต่มิสสอน ที่ อสช แน่เลยเนี้ย
แบบนี้คำเดียว ต้องเข้มงวด ทั้งครู และพ่อแม่ หมายถึง คอยดูเค้าที่วัน ทุกฝีก้าวดีมั้ย จนเค้าเกิดความเคยชิน

ทุกวันนี้ เด็กมักชอบคิดว่า เรียนทำไมมากมาย เรียนไปได้ใช้บ้าง ไม่ได้ใช้บ้าง วัน ๆ ได้เงินค่าขนม ไปกิน รร วัน ๆ
คุณแม่ก็สาธยาย ให้ฟัง แต่แปลกเด็กพวกนี้มักมีความถนัดทางศิลปะ อันใหนที่ชอบเนี้ยไม่ต้องบอก พี่แกเรียบร้อย
ไม่ต้องถาม บางวิชา น่าจะให้เด็กที่ไม่ค่อยสนใจนั่งหน้า คนเก่ง ๆ นั่งกลาง ๆ ห้องก็ได้ หรือ คนเก่งนั่งคู่กับคนไม่เก่ง
ให้เพื่อนช่วยสอน น่าจะโออยู่ บางครั้งเด็กกลัวที่จะถาม หรือ ถามแล้วกลัวหน้าแตก แค่นี้ก็ไม่รู้ ( ตอนเด็กอารมณ์นี้เคยเป็นอยู่)
เป็นว่าใครถามได้ดี ก็ให้คะแนน มีคะแนนเป็นเครื่องล่อดีมั้ยค่ะ
ค่ะ ได้เข้ามาอ่าน อยากแชร์ความคิดเห็นบ้าง แนะนำตัวเองก่อน ชื่อนุชค่ะ มีประสบการณ์การสอนหนังสือระดับมหาวิทยาลัย พบเจอเด็กหลายรูปแบบ แก้ปัญหาแล้วแก้ปัญหาอีก สิ่งที่สรุปได้อย่างหนึ่งคือ เด็กปัจจุบัน (ไม่ได้ทั้งหมดนะคะ) ขาดเป้าหมาย ไม่รู้ว่าตัวเองเรียนไปทำไม พ่อแม่บอกให้มาก็มา ดีกว่าอยู่บ้านหน่อย เลยขาดแรงจูงใจ และความกระตือรือร้น บอบบาง ไม่อดทนและชอบอะไรที่สบาย ๆ (จะว่าไปสังคมเราหลาย ๆ อย่าง ก็ส่งเสริมให้เป็นไปอย่างนั้น) ฉะนั้นสิ่งที่นุชทำได้คือพยายามพูด บอกให้เด็กตั้งเป้าหมายในชีวิต เล่ากรณีศึกษาของรุ่นพี่ ๆ ที่ผ่านมาให้ฟัง เพื่อเป็นสิ่งเตือนสติ พูดให้ฟังถึงบุญคุณพ่อแม่ และบ่อย ครั้งก็ต้องโทรไปคุยกับผู้ปกครอง (นี่ขนาดเด็กโตนะคะ) คิดว่าเราสั่งสอนสิ่งที่ดีที่สุด ส่วนเด็กจะปรับพฤติกรรมหรือไม่ บางครั้งก็ทำใจ (คิดปลงไปว่า นิ้วคนเรายังไม่เท่ากันเลย แต่ แต่ละนิ้วก็มีประโยชน์แตกต่างกัน ฉะนั้นวันนี้ พฤติกรรมไม่ดี แต่วันข้างหน้าเค้าอาจเปลี่ยนเป็นอีกคน มีหน้าที่การงานที่ดี เป็นคนดีของสังคม) ส่วนเด็กเล็กก็มีโอกาสได้สอนพิเศษเหมือนกัน เจอปัญหาเดียวกัน ก็เลยนึกถึงประโยคที่ว่า อาจารย์ระดับมหาวิทยาลัยก็โทษคุณครูมัธยม คุณครูมัธยม ก็โทษคุณครูประถม คุณครูประถมก็โทษคุณครูอนุบาล คุณครูอนุบาลก็โทษพ่อแม่ ในขณะที่พ่อแม่ก็โทษคุณครูโทษโรงเรียนว่าสอนลูกฉันอย่างไรถึงเป็นแบบนี้ อุตส่าห์เสียเงินตั้งมากมาย ทำไมลูกฉันเป็นแบบนี้ (อันนี้ไม่ได้ว่ากันนะค่ะ ถ้าแรงไปขอโทษด้วย)

สรุปดีกว่า (ตาม style คุณครูนะค่ะ พูดมาก) คิดว่าต้องสร้างเป้าหมายให้เด็ก อย่างที่บอกว่า ถ้าทำตัวดีแล้วได้สติกเกอร์ ถ้าครบตามจำนวน แล้วได้รางวัล หากวิเคราะห์ให้ดีก็คือการสร้างเป้าหมาย (ต้องคิดให้สอดคล้องกับวัยของเด็ก) ต่อมาต้องพยายามพูดให้เด็กนึกถึงพ่อแม่ สิ่งที่พ่อแม่ทำให้เรา โดยสอดแทรกเข้าไปในเนื้อหาของบทเรียน (ข้อนี้ดัดแปลงจาก อาจารย์ ดร. อาจอง) เช่น โจทย์เลข อาจเป็นทำนองที่ว่า คุณพ่อรักเราจึงให้เงิน 30 บาท คุณยายก็รักเราจึงให้เงินเรา 20 บาท รวมแล้วเรามีเงินเท่าไร หรือ เดิมเรามีเงิน 20 บาท ไปช่วยรดน้ำต้นไม้ คุณแม่เห็นว่าเราทำความดีช่วยงานบ้าน จึงให้เงินเราไปซื้อขนม 15 บาท รวมแล้วเรามีเงินซื้อขนมกี่บาท เป็นต้น

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องพยายามให้เด็กอย่าคิดว่าเมื่อทำอะไรก็ตาม ต้องได้ของตอบแทน มิฉะนั้นเด็กจะไม่มีน้ำใจ กลายเป็นปัญหาตามมาอีกค่ะ
ใช่ค่ะ ไล่จากข้างล่างขึ้นข้างบน
- แพทเลยให้ติดแต่สติ๊กเกอร์ แต่ไม่ได้ให้รางวัลอะไรถ้าสติ๊กเกอร์เต็มหน้า เพราะจริงๆแล้วที่เค้าสนุกก็เป็นรางวัลในการเรียนการทำงานแล้วค่ะ

ที่แพทไปอบรมมาเค้าบอกว่าการให้รางวัลก็ดีเพราะดึงเด็กมาสนใจงานตรงหน้าได้ขณะหนึ่ง แต่เด็กจะมุ่งหวังแต่ว่าทำอะไรแล้วจะได้รางวัล จริงๆรางวัลก็คือความสำเร็จที่เค้าทำได้ ถ้าเริ่มให้รางวัลเยอะๆและ พอเริ่มโตก็จะต้องการรางวัลใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ และนำไปเป็นข้อต่อรองในการที่จะทำอะไรแต่ละอย่าง ประมาณว่ารางวัลที่จะได้จะคุ้มค่ากับที่ต้องทำไหม ไม่ได้ทำเพราะควรที่จะทำ ประมาณว่าถ้าหนูสอบได้คะแนนดีพ่อต้องซื้อรถให้นะ ถ้าไม่ได้รถหนูจะไม่สนใจในการสอบอย่างนั้นเหรอ

- ลูกสาวไม่ได้เก่งเลขเท่าไหร่ บวกลบสอนเป็นตัวเลขจะงอแงคิดไม่ออก แต่ถ้าบอกว่าถ้าพี่นิวมีขนม 5 ชิ้น น้องมี 7 ชิ้น รวมแล้วมีขนมกี่ชิ้น เค้าจะสามารถคิดออกได้ในทันทีเลยค่ะ

- สังคมที่นี่ โรงเรียนส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างบ้านกับโรงเรียนค่อนข้างมาก โรงเรียนไม่ได้เน้นแต่เฉพาะวิชาการ แต่กิจกรรม จริยธรรมควบคู่กันไปด้วย การแนะแนวทางการเรียนการสอนของโรงเรียนให้ทางบ้านได้เรียนรู้ เพื่อที่ผู้ปกครองจะได้สอนลูกหลานไปในทางเดียวกับที่โรงเรียนสอน

ไม่ได้บอกว่าโรงเรียนที่นี่ดีกว่าที่เมืองไทย เพราะถ้าเทียบแล้ว วิชาการอ่อนกว่าเยอะค่ะ แต่แพทเลือกให้ลูกเรียนที่นี่เพราะเค้าไม่ได้เน้นแค่วิชาการจนลืมตัวเด็กที่เรียน ถ้าพ่อแม่ไม่ทำงานร่วมไปพร้อมกับครูในการสอนลูกของคุณแล้ว ก็ไม่น่าจะมีสิทธิที่จะไปโวยครูว่าสอนลูกออกมาไม่ดี เด็กจะดีได้เริ่มจากที่บ้าน สังคมภายนอกมีส่วนดึงเด็กในตอนโต แต่ถ้าพื้นฐานหนักแน่นและอบอุ่นพอแล้ว เมื่อมีปัญหา เด็กย่อมกลับมาหาที่ที่ปลอดภัยและอบอุ่นที่สุด
โรงเรียนของลูกชายเป็น รร. คริสต์ แต่โชคดีลูกชายเชื่อฟังคุณครูดีมากเลยกลับมาท่องศัพท์ทุกวันการบ้านคุณแม่ไม่ได้ยุ่งด้วยเลยตลอดจนการตื่นนอนไปโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนตอนนี้เรียนอยู่ ม.1 (ห้องking ขอชมลูกหน่อยนะคะ /คนโต) ตื่น ตี5 ครึ่งตลอดไปเคยได้ปลุกมีแต่ลูกปลุกแม่ ส่วนคนเล็กตอนนี้เรียนอยู่อนุบาล 1 อายุ 3.6 ขวบ น่ารักมากขยันทำการบ้านกลับมาถึงบ้านฝึกเขียนหนังสือและอ่านหนังสือให้แม่ฟังทุกวันเชื่อฟังคุณครูดีมากแต่คุณแม่ต้องทำตัวเป็นนักเรียนในบางครั้งด้วยนะคะเพราะเขาจะเป็นคุณครู แต่ลูกชายคนเล็กจะติดแม่มากบางครั้งก็ร้องตามแม่ไปทำงานแต่แม่จะบอกเขาว่าถ้าเขาอยากไปทำงานกับแม่เขาต้องเรียนหนังสือให้จบก่อนและต้องเรียนให้เก่งด้วยและต้องพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยเพราะเจ้านายแม่เป็นต่างชาติเขาก็จะทำตามแต่ทุกๆ วันคุณแม่ก็จะต้องมี flashcard,Picture จากที่ทำงานไปให้ลูกฝึกทำและระบายสีเหมือนกับเราเป็นนักเรียนอีกครั้งแล้วเขาก็จะชอบ ถ้าอยากให้เขาทำอะไรแม่ก็จะทำให้เขาดูก่อนแล้วเขาก็จะเรียนแบบทำตามเรา แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งคุณแม่อยากถามเพื่อนๆ สมาชิก คุณครูของลูกชายบอกมาว่าเวลาอ่านหนังสือภาษาไทยเขาจะอ่านได้ไม่ชัดพูดไม่ชัดคุณครูเกรงว่าตอนสอบวัดผลครูที่สอบไม่ใช่ครูประจำชั้นกลัวเขาจะฟังลูกเราอ่านไม่รู้เรื่อง คุณแม่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะลูกเราพูด 2 ภาษาหรือเปล่าเลยทำให้เขาพูดไม่ชัดแต่สำหรับภาษาอังกฤษอ่านได้ดี คุณแม่คนไหนมีประสบการณ์ช่วยแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
น้องซีจะ 5 ขวบแล้วค่ะ มีปัญหาพูดไม่ชัดเท่าไหร่ โดยเฉพาะคำที่ขึ้นต้นตัว F, S, Sh, Ch อะไรพวกนี้ เค้าจะใช้ตัว P, B, Y ออกเสียงแทนนะค่ะ ในภาษาไทยก็มีปัญหาที่อักษรที่ออกเสียงคล้ายๆกันค่ะ

ไปหา Special Education ของที่นี่ เค้าก็ให้ฝึกออกเสียงคำที่ออกไม่ชัด แต่ไม่ต้องไปบังคับเด็กมากนะค่ะ ที่สำคัญคือผู้ใหญ่ต้องเน้นเสียงคำเหล่านั้นให้เค้านะค่ะ เค้าบอกว่าฝึกเรื่อยๆ เด็กก็จะหัดออกเสียงคำถูกเอง

แต่ถ้าปกติพูดชัดแต่อ่านแล้วไม่ชัดนี่ คงต้องหัดอ่านบ่อยๆมั้งค่ะ

RSS

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service