เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม

ตัวอย่างประโยคใกล้ตัว เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้เริ่มต้นทบทวนความรู้

ตัวอย่างประโยคใกล้ตัว เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้เริ่มต้นทบทวนความรู้ เลยลองเอามาแชร์ค่ะ เด็กสองภาษาบ้านไหนเก่งแล้วก็เอามาแชร์กันบ้างนะค่ะ ทั้งหมดนี้ยกเครดิตให้คุณครูคนเก่งหลายท่านค่ะ  ดาวน์โหลดไฟล์ได้เลยค่ะ 

ขอบคุณ คุณเอก คุณป๊อป คุณรัชนี พี่เล็ก พี่อัง คุณครูอริส คุณวัน และกูรูหลายๆท่านค่ะ

ตัวอย่างประโยค.xls  กดโหลดตรงนี้เลยค่ะ

Views: 9846

Attachments:

Replies to This Discussion

สุดยอดมากเลยครับ

ขออนุญาตโหลดอย่างรวดเร็ว // คาดว่าคงใช้เวลาประมาณ 3 วัน กว่าจะดูจนครบ

ขอบคุณมากๆ เลยครับ ขอบคุณแทนพ่อแม่ แทนเด็กๆ ที่ได้รับโอกาสดีๆ อย่างนี้ด้วยครับ

ผมคิด (ไปเอง) ว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาของไทย

จากเดิมเป็นแบบครูสอนสอนแล้วท่องจำ เป็นแบบผู้เรียน (เด็กนักเรียนเป็นสิบต่อห้องต่อครูหนึ่งคน) เป็นศูนย์กลางโดยมีครู+โรงเรียนเป็นผู้จัดหา(สภาพแตกต่างกันตามแต่ละโรงเรียน)

ตอนนี้เป็นคลื่นลูกที่สาม เป็นแบบเด็ก (ลูกๆ) เป็นศูนย์กลาง โดยมีผู้ปกครองเป็นโค้ช

นิดเองก็หวังและอยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาของเด็กไทยเหมือนกันค่ะ 

ปล. นิดใช้เวลาร่วม 3 ปีแล้วยังจำไม่หมดเลย 555 

ที่เอามาแชร์ก็หวังว่าจะมีประโยชน์กับพ่อแม่ที่มีความมุ่งมั่น เราเก็บไว้คนเดี๋ยวรู้สึกได้ประโยชน์น้อยเพราะเราช้าไม่สมกับ

ครูหลายๆท่านที่เสียสละเวลามีแชร์ความรู้ แต่ถ้าเอาแชร์คนอื่นๆได้นำไปใช้ด้วยคงประมีโยชน์อยู่มากค่ะ 

ของผมที่ว่า 3 วัน คือดูตามความหมายจริงๆ

แต่ถ้าจะให้จำ คงเป็นปีๆ เหมือนกันแหละครับ อิอิ

ร่วมขอบคุณมาก ๆค่ะ

ขอบคุณมากครับ

เยี่ยมครับ
ตามตำราภาษาอังกฤษ ที่คนไทยเรียนตั้งแต่เด็ก สอนให้คุณ ใช้คำว่า "How are you?" ในการทักว่า "สบายดีหรือ" ถูกมั๊ยครับ แต่ผมถามหน่อยว่า เวลาคนไทยทักกัน เราพูดคำว่า สบายดีหรือ? จริงๆบ่อยแค่ไหน ความจริงแทบไม่ได้พูดแบบนั้นกันด้วยซ้ำ สมัยนี้
เพราะทุกวันที่เราได้ยิน ก็จะทักกันว่า "ว่าไง" "เป็นยังไงบ้าง"

ภาษาอังกฤษก็เหมือนกันครับ ฝรั่งพูด How are you? ฟังดูค่อนข้างเชยๆ เพราะคนอเมริกัน ทักจริงๆจะพูดว่า "How's it going?", "How are you doing"หรือ "What's up?" พวกนี้บ่อยกว่ามาก

ฉะนั้นผมอยากสรุปว่า ภาษาอังกฤษที่เราเรียนจากตำรา ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่เราจะเจอในชีวิตจริงเสมอไป
สิ่งที่เราจะเรียนรู้ได้ คือต้องขวนขวาย หาจากข้างนอกเอาเอง

การเรียนภาษาอังกฤษ ในระบบการศึกษาไทย ยังให้เด็กอ่านแต่แกรมมาร์เป็นส่วนมาก หรือท่องกริยาสามช่อง เพื่อมาสอบ
แต่ความเห็นของผม ผมคิดว่าการที่จะให้เราเก่งภาษาอังกฤษได้เร็วกว่านั้น คือต้องเริ่มต้นที่การฟัง และเก็บเกี่ยวคำศัพท์ ยิ่งเราฟังมากๆ เราก็จะได้ฝึกทั้งการฟัง และพูดไปในทีเดียว เพราะเราสามารถเลียนเสียงฝรั่งจากที่ได้ยินได้ รวมทั้งคลังคำศัพท์ในสมองของเราก็สำคัญมาก
ถ้าคุณรู้ศัพท์น้อย คุณจะฟังจะอ่านยังไง ก็ไม่เข้าใจความหมาย แล้วอย่างนั้นเราจะพูดจะเขียนออกมาได้อย่างไร

เวลาผมเขียนบลอคนี้ ผมชอบเขียนพร้อมวิดีโอหรือไฟล์เสียงให้ฟังด้วยเป็นส่วนมาก ถ้าคนที่ติดตามอยู่ ก็จะสังเกตุได้ ว่าบางทีผมเอาจากตัวอย่างหนังมาสอน
หลายวันก่อนผมไปอ่านหนังสือที่ TK Park (ถ้าว่างก็จะชอบไปที่นี่) ผมก็ไปเจอหนังสือของคุณ Andrew Bigg เล่มนึง คิดว่าเป็น pocket book เล่มแรกแต่จำหน้าปกไม่ได้แล้ว เล่มนั้นเป็น กฏ 10 ข้อ ในการฝึกภาษาอังกฤษครับ ผมจะเอามาบอกต่อ พร้อมอธิบายสั้นๆให้

10 Rules by Andrew Bigg กฏ 10 ข้อ

ข้อ 1. Forget the rule ลืมกฏซะ
นั่นคือเวลาเราพูดภาษาอังกฤษ อย่าไปพะวงเรื่องของภาษาเราจะไม่ถูกไวยากรณ์ หรือใช้กริยาผิดช่อง เพราะฝรั่งเขาไม่เข้มงวดเรื่องนี้เองเลย

ข้อ 2. Make mistake พูดผิดซะ
พูดไปเถอะครับ ไม่ต้องกลัวผิด ถ้าเราผิดฝรั่งเขาก็เข้าใจครับว่าภาษาอังกฤษเป็น ภาษาที่ 2 ของเรา เขายังยินดีช่วยแก้ให้คุณได้ ถ้าเค้าไม่แก้ให้คุณก็อย่าไปคบเขาเลย

ข้อ 3. Don't translate อย่าแปลตรงตัว
ใช่ครับภาษาไทยกับอังกฤษ ไม่เหมือนกัน ห้ามไปแปลตรงตัวเช่นบอกว่า ภาษาอังกฤษของผม งูๆปลาๆ My english is snake snake fish fish พูดแบบนี้ฝรั่งงงแน่ๆครับ หรือบอกให้เปิดทีวีว่า open the TV อันนี้ผิดอย่างแรง เครื่องใช้ไฟฟ้าเค้าต้องพูดว่า turn on the TV นะ

ข้อ 4. Keep it simple ใช้ภาษาง่ายๆ
ใช่เลย จะพูดอังกฤษ คนไทยบางคนต้องคิดเอาให้ภาษาตัวเองดูไฮโซ พยายามใช้คำยากๆแทน เช่นจะไปกินข้าวที่บ้าน I'm going to dine at my house ไม่รู้จะใช้คำนี้ทำไมครับ ใช้ eat สิครับ จบ

ข้อ 5. Could you please slow down กรุณาพูดช้าๆหน่อย
คนไทยเป็นโรคขี้เกรงใจ หรือ หน้าแตก ครับ ฟังฝรั่งไม่เข้าใจ ก็ยังฟังต่อไป ไม่บอกให้เขารู้ว่าเราไม่เข้าใจ พอเป็นแบบนี้ก็เกิดความเข้าใจผิดทีหลัง หรือเขาสั่งงานมาเราก็ทำไม่ได้เพราะฟังไม่เข้าใจ ไม่ต้องกลัวครับถ้าฟังไม่ทัน ก็ขอให้เขาพูดช้าๆลงหน่อย

ข้อ 6. Relax ทำตัวสบายๆ
คนไทยเป็นโรคเกร็งเวลาคุยกับฝรั่ง หลายคน ไม่ต้องกลัวครับฝรั่งไม่ใช่ยักษ์ใช่มารที่ไหน เวลาคุยกับเขา ก็หักเป็นฝ่ายซักถามหรือชวนคุยไปเลยครับ เราจะได้ผูกมิตรกับเขา แล้วหมดโรคกลัวนี้ไปได้

ข้อ 7. Listen and Copy ฟังแล้วเลียนแบบ
ผมสนับสนุนมากๆครับ คือฝึกภาษา เราต้องหัดฟังแล้วเลียนแบบ และวิธีที่ดีที่สุดที่ผมชอบคือ ฝึกภาษาอังกฤษจากหนังนั่นแหละ ฝึกฟังแล้วเลียนแบบ เราจะได้ออกเสียงเป็น เผลอๆสำเนียงดีไปในตัวด้วย จะฝึกคำหยาบ คำสบถก็ทำไปเถอะ ถ้ามันช่วยคุณได้

ข้อ 8. Guess เดา
บางครั้งเวลาอ่านภาษาอังกฤษ แล้วเราไม่เข้าใจคำศัพท์ ผมมีวิธี ที่ผมเองก็ทำประจำ คือ เดาครับ อ่านหาใจความโดยรวมของเรื่องที่เราอ่าน บางครั้งเจอคำยากๆ เราก็ลองเดาว่ามันแปลว่าอะไร 

ข้อ 9. Give yourself time ให้เวลากับตัวเอง
หมายถึงให้เวลากับตัวเองในการฝึกภาษาอังกฤษ จะบ่อยจะถี่แค่ไหนก็ขึ้นกับตัวเรา ไม่ใช่เห็นภาษาอังกฤษเป็นเรื่องน่าเบื่อ ก็ไม่สนใจที่จะขวนขวายหรือเรียนรู้ การมาอ่านบลอคของผม วันสองวันต่อครั้ง ก็ถือว่าคุณแบ่งเวลาตัวเองนิดเดียวไม่กี่นาทีในการฝึกภาษาอังกฤษเหมือนกัน

ข้อ 10. Read read read อ่าน อ่าน และก็อ่าน
ข้อสุดท้ายคือหัดอ่านอะเป็นภาษาอังกฤษเยอะๆ เราจะได้ภาษาเข้ามาให้หัว จนบางทีเก่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ตัวผมเรียนในมหาวิทยาลัยอินเตอร์ ผมอ่าน textbook ทั้งเล่มมาแล้วก็มี สิ่งที่ผมได้ ผมได้ทั้งคำศัพท์เฉพาะทางก็มีเยอะแยะ

ข้อโบนัสแถม Find a foreign friend หาเพื่อนฝรั่ง
มีเพื่อนฝรั่ง ทำให้เราได้ฝึกใช้ภาษา และมีครูที่แนะเราได้อยู่ใกล้ตัว ถ้าให้ดีและได้ผลดีที่สุดนะครับ หาแฟนฝรั่งเลยมั๊ย

ใครสนใจอ่านรายละเอียดมากกว่านี้ ก็ลองไปหาอ่านดูนะครับ pocket book ของคุณ Andrew Bigg ใครจำชื่อหน้าปกได้บอกผมละกัน เพราะผมจำไม่ได้

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ

โดยเฉพาะที่เรามัวท่องจำคำที่ฝรังเค้าไม่ใช้กัน !!!

มีคำนึงที่ผมตกใจมาก เพราะผมก็ท่องและใช้แบบนี้มาตลอด

คือค่าว่า Never mind. เราเคยถูกบอกให้ใช้เมื่อมีคนเราทำอะไรให้ใคร แล้วเค้าขอบคุณเราว่า Thank you.

ซึ่งมันไม่ถูก ฝรั่งไม่ได้ใช้ Never mind. ในความหมายนี้

ยังมีอีกหลายคำเลยครับ ซึ่งผมเพิ่งรู้ และทำให้สงสัยต่อว่าทำไมไม่มีใครสนใจจะไปแก้ไข หรือสอนให้ใช้คำที่เค้าใช้กันจริงๆ ซะที ?

ขอแนะนำอาจารย์ภาษาอังกฤษของผมครับ อาจารย์ Adam Bradshaw

มีรายการอยู่ช่อง Voice TV หรือลองหาดูใน Youtube ก็ได้ครับ

ขอบคุณกูรูอีกท่านที่มีเสริมทัพบ้านเด็กสองภาษาค่ะ 

ขอบคุณคะ มีประโยชน์มากมาย

ขอบคุณมากๆๆค่ะ

มาตามเก็บข้อมูลดีดีค่ะ เพิ่งสอนลูกค่ะ

RSS

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service