เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม


แม่น้องพลอยชมพูได้เคยเปิดประเด็น Home School ในห้องโรงเรียนของลูก ผมคิดว่าแนวคิด Home School เป็นแนวคิดที่น่าสนใจมากๆ ตราบใดที่โรงเรียนยังประเมินนักเรียนฝ่ายเดียว แต่อ้ำอึ้งที่จะให้ผู้ปกครองประเมินโรงเรียนกลับบ้าง ไม่ว่าสาเหตุของการอ้ำอึ้งนี้มาจากขยะใต้พรมหรือเหตุอื่นก็ตาม ผมคิดว่าทางเลือกในการให้การศึกษา ควรจะมีหลายๆทางเลือก


ผมอยากจะหยั่งเสียงความคิดเห็นเรื่องนี้หน่อยครับ อยากให้สมาชิกคลิกโหวต แล้วให้เหตุผลต่อท้ายกระทู้ตรง "ตอบกลับกระทู้นี้" ด้วยครับ



บทความ Home School
อ้างอิงจากที่นี่ค่ะ http://www.elib-online.com/doctors2/child_homeschool02.html
" พ่อแม่ก็เป็นครูได้ บ้านก็กลายเป็นโรงเรียนได้ " นี่เป็นแนวคิดใหม่ ที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงกันมากในขณะนี้

Home School หรือการสอนลูกเองอยู่กับบ้านโดยไม่ส่งเข้าโรงเรียน ปกตินับเป็นการศึกษาทางเลือกที่ฮือฮามาพร้อมกับ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 ซึ่งเปิดโอกาสให้พ่อแม่มีสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่ลูกได้

คุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงเคยได้ยินเรื่องนี้กันมาแล้ว แต่อาจยังไม่เข้าใจถึงรูปแบบ ที่แท้จริงของโฮมสคูล รวมถึงบางท่านแม้ทราบแล้วแต่ก็ยังรีๆ รอๆ ไม่กล้าทำจริงทั้งที่อยากจะสร้าง "บ้านแห่งการเรียนรู้" นี้เหลือเกิน

อยากให้ติดตามคอลัมน์นี้กันต่อๆ ไปนะคะ เพราะเราจะนำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับโฮมสคูล มาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นความรู้และเป็นแนวทางเลือกให้สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ที่สนใจ

โฮมสคูลคืออะไร

โฮมสคูล (Home School) เป็นแนวคิดและรูปแบบการศึกษาทางเลือกที่ให้สิทธิพ่อแแม่ จัดการศึกษาให้ลูกได้ด้วยตนเองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โฮมสคูลเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศตะวันตก จนแพร่หลายและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ โดยมีการประมาณการว่าปัจจุบันมีเด็ก ที่เรียนอยู่กับบ้านทั่วโลกราว 2-3 ล้านคน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกามีมากถึง 1.23 ล้านคน และคาดว่าในปี 2008 คืออีก 8 ปี นับจากนี้จะมีเด็กอเมริกันที่เรียนอยู่กับบ้านเป็นจำนวนถึง 6.87 ล้านคนทีเดียว

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้โฮมสคูลเป็นที่นิยมในหมู่พ่อแม่

คำตอบก็คือ พ่อแม่เริ่มไม่มั่นใจในระบบการศึกษาในโรงเรียนห่วงว่าครูจะสอนลูกได้ไม่ดี โรงเรียนไม่มีคุณภาพหรือไม่มีความสามารถพอที่จะพัฒนาศักยภาพของลูกได้ มิหนำซ้ำสารพัดปัญหาสังคม ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นไม่น้อยที่เกิดจากโรงเรียนทั้ง ปัญหายาเสพติด การทำร้ายร่างกาย แม้แต่อาชญากรรมในเด็กด้วยกันเอง

ในอเมริกามีดัชนีที่น่าตกใจมากมายเกี่ยวกับเด็กอเมริกัน เช่น มีเด็กพกปืนไปโรงเรียนวันนึงๆ ร่วมแสนคน มีทารกซึ่งคลอดจากแม่วัยรุ่นที่อยู่ในวัยเรียนปีนึงถึงห้าแสนคน นี่เป็นปัญหาซึ่งใครเป็นพ่อแม่ก็หนาว

บ้านเราก็ดัชนีที่น่าตกใจมากมายไม่แพ้กัน ที่เห็นและเป็นข่าวกันครึกโครมก็คือ เรื่องของยาบ้าและการพนัน แทบไม่น่าเชื่อแม้แต่เด็กประถม 4 ก็เล่นพนันบอลเป็นแล้ว

ปัญหาเล่านี้คือ สาเหตุที่ทำให้พ่อแม่ที่วิตกกังวลและกล้าลองของใหม่เลือกโฮมสคูลให้กับลูก

ข้อได้เปรียบของ Home School ที่มักจะถูกอ้างอิง
พ่อแม่ผู้ปกครองมีเวลาอยู่กับลูกเต็มที่ ความผูกพันอบอุ่นระหว่างพ่อแม่ลูกย่อมแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
พ่อแม่ผู้ปกครองมีโอกาส "เลือก" และ "ปรับ" แนวทางการจัดหลักสูตร และการสอนให้เหมาะกับแบบแผนชีวิต ความเชื่อตลอดจนความต้องการ และความพร้อมของลูกได้อย่างยืดหยุ่นแทนการส่งลูกไปรับการศึกษาแบบ "เหมาโหล" ที่บังคับให้ลูกต้องเรียนทุกอย่างเหมือนๆ และพร้อมๆ กับเด็กอื่นๆ ในขณะที่ลูกยังอาจไม่สนใจหรือไม่พร้อมที่จะเรียนเรื่องนั้นๆ
เด็กได้รับการปฏิบัติในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจและสิทธิเสรีภาพของ ตนเอง ไม่มีพ่อแม่คนใด "ตีตรา" ลูกว่าเป็น "เด็กเรียนช้า" หรือ "เด็กมีปัญหา" เหมือนในโรงเรียน
การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ต่อเนื่องตลอดเวลาโดยไม่มี "เปิดเทอม" หรือ "ปิดเทอม" ที่ชัดเจน การเรียนรู้อย่างสนุกสนานต่อเนื่องจะค่อยๆ ปลูกฝังจิตวิญญาณ แห่งการเรียนรู้อยู่เสมอเช่นกัน
และในชีวิตจริงการเรียนรู้และพัฒนาตนเองก็ไม่มีเปิดเทอมหรือปิดเทอมเช่นกัน การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ลงมือปฏิบัติจริงเป็นได้ง่ายขึ้นในบรรยากาศของครอบครัว ที่สามารถจัดกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ทั้งในบ้านนอกบ้านได้มากมาย แทนที่จะให้เด็กเรียนแต่จาก "หนังสือ" และ "คำบรรยาย" เท่านั้น

โฮมสคูล ทำอย่างไร

ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนโยบายการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องการจัดการศึกษาโดยครอบครัว หรือ Home School ได้บอกถึงหัวใจหลักของโฮมสคูลว่า

" โฮมสคูล จริงๆ มันก็คือโรงเรียนแบบหนึ่งโดยนิยามของมัน ประการแรก การสอนในบ้าน ก็ต้องถูกวางแผนอย่างตั้งใจ แปลว่าคุณจะต้องมีแผน ส่วนจะยืดหยุ่นแค่ไหนแล้วแต่ความเหมาะสม ประการที่สอง โดยที่กิจกรรมการเรียนรู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบ้าน คำว่า "ส่วนใหญ่" แปลว่า พ่อแม่ไม่ต้องสอนในบ้านก็ได้ หลายคนที่ชอบกล่าวหาว่า โฮมสคูลเป็นการเอาลูกไปขังไว้ในบ้าน ลูกไม่ได้มีสังคม ไม่ได้เจอโลกภายนอก ไม่จำเป็น พ่อแม่อาจจะพาลูกไปโรงเรียนร่วมกับเด็กที่อื่นก็ได้ หรืออาจมีกิจกรรมบางอย่างร่วมกับโรงเรียนก็ได้ ประการที่สาม พ่อแม่เป็นคนสอนหรือควบคุมดูแลการสอน บางเรื่องที่พ่อแม่ไม่ถนัดอาจจ้างครูมาสอนก็ได้ "

ฟังดูแล้ว โฮมสคูลก็ไม่น่าจะใช่เรื่องใหม่อะไร เพราะแต่ไหนแต่ไรมาพ่อแม่ก็ทำหน้าที่ครูของลูกอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้ทำจริงจังและไม่มีกฎกติกาที่แน่นอนเท่านั้นเอง

รูปแบบของโฮมสคูลนั้น อาจจัดหลักสูตรที่ไม่มีโครงสร้างตายตัวแต่เน้นความหลากหลาย ให้ลูกเรียนรู้คู่ไปกับการสัมผัสชีวิต นั่นก็คือเป็นไปตามธรรมชาติของวิถีชีวิตในแต่ละครอบครัว ในแต่ละวันนั่นเอง

คุณแม่ท่านหนึ่งในประเทศอังกฤษเล่าถึงประสบการณ์การทำโฮมสคูลว่า

…ฉันเริ่มต้นด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ที่เหมือนโรงเรียนจริงๆ มีทั้งโต๊ะ กระดานดำ ปากกา หนังสือเรียน ฉันคิดว่าฉันพร้อมและกำลังจะเริ่มต้นให้การศึกษาแก่ลูกอย่างเป็นเรื่องเป็น ราว แต่เมื่อสิ้นสุดเย็นวันแรก ฉันกลับพบว่าทั้งฉันและลูกแทบจะประสาทเสียไปพร้อมๆ กัน เพราะเด็กๆ ไม่ได้ทำอะไรตามหลักสูตร ที่เตรียมไว้แม้แต่อย่างเดียว และฉันก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการว๊ากพวกเขา ฉันรู้ในบัดนั้นว่า ฉันเดินมาผิดทางแล้ว ฉันกำลังพยายามที่จะทำตัวเป็นโรงเรียนเสียเอง ฉันกำลังพยายามจะทำ ในสิ่งที่ฉันเองคัดค้านก็เพราะความเป็นโรงเรียนมิใช่หรือที่ทำให้ฉันเอาลูก ออกมา…

…วันรุ่งขึ้นท่ามกลางความประหลาดใจของเด็กๆ ฉันพาพวกเขาไปปิคนิคเราไปเก็บดอกไม้ ก้อนหิน เดินดูนกและแมลงด้วยกัน แล้วก็พูดคุยกับใครต่อใครในหมู่บ้านไปตลอดทั้งวันนั้น คืนนั้นหลังจากเด็กๆ เข้านอนแล้วฉันจึงจดบันทึกการสอนของฉันในวันนั้นลงไปว่า …เนื้อหารายวิชาที่ครอบคลุมในวันนี้ ได้แก่พลศึกษา ประวัติศาสตร์ชุมชน ธรรมชาติวิทยา ภูมิศาสตร์และทักษะทางสังคม… เป็นไงล่ะ หลักสูตรของฉัน ต่อมาไม่นานหลักสูตรของฉันก็เริ่มเข้าที่ ถึงแม้ฉันกับลูกจะเห็นพ้องต้องกันว่าเราต้องเรียน อ่าน เขียน เรียนคณิตศาสตร์อย่างเด็กตามโรงเรียนทั่วไปบ้าง แต่เราก็ไม่เคยลืมที่จะสนุกกับการเรียนรู้ จากทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวในชีวิตประจำวันของเรา ตั้งแต่การทำกับข้าว ซ่อมจักรยาน ทำสวน แต่งบ้าน เยี่ยมญาติ เล่นเกม ฟังเพลง…และทุกสิ่งทุกอย่างเป็นการเรียนรู้จากชีวิตจริง…

คุณสมบัติของพ่อแม่โฮมสคูล

พ่อแม่แบบไหนที่สามารถทำโฮมสคูลได้ คำตอบนี้ไม่ยากขอเพียงให้มีความพร้อมทั้งสถานะทางเศรษฐกิจ สังคมและการศึกษา ไม่จำเป็นว่าจะต้องร่ำรวยหรือเรียนสูงระดับดอกเตอร์

จากการศึกษาภูมิหลังของพ่อแม่กลุ่มที่ทำโฮมสคูล พบว่าส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง มีรายได้พอกินพอใช้ถึงมากเล็กน้อย และมักมีการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งระดับการศึกษาเพียงเท่านี้หากบวกกับประสบการณ์ชีวิตอีกส่วนหนึ่งก็เพียง พอแล้วสำหรับการทำโฮมสคูล

หัวใจของความสำเร็จของโฮมสคูล

หัวใจของความสำเร็จของโฮมสคูลคือ ความเอาจริงเอาจังและความเอาใจใส่ของพ่อแม่ ที่สำคัญคือความสัมพันธ์ที่อบอุ่นในครอบครัวและสิ่งแวดล้อมในบ้านต้องมี ลักษณะกระตุ้นการเรียนรู้ เช่น บ้านต้องเงียบสงบพอที่เด็กจะมีสมาธิในการเรียน หรืออ่านหนังสือ มีหนังสือประเภทต่างๆ ที่หลากหลาย มีสิ่งแวดล้อมที่สร้างความอยากรู้อยากเห็นในเชิงสร้างสรรค์ เป็นต้น

พ่อแม่ต้องมีระเบียบวินัยในตนเอง ยอมปฏิเสธภาระอื่นที่มารบกวนหรือขัดจังหวะการเรียนรู้ของลูก เพื่อให้มีเวลาสอนลูกได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้พ่อแม่ควรขยันหมั่นหาความรู้ใส่ตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะในเรื่องที่จะนำมาสอนลูก

ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงรอบข้างก็ควรต้องเห็นด้วย และคอยสนับสนุนเป็นกำลังใจ เพื่อที่พ่อแม่จะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนท้อแท้ เพราะการทำโฮมสคูลถือเป็นภาระหนักระยะยาว ที่มีอนาคตของลูกเป็นเดิมพัน

เด็กโฮมสคูลมีพัฒนาการด้านต่างๆ ดีกว่าเด็กที่เรียนในโรงเรียน ?

น่าทึ่งที่ผลงานวิจัยในต่างประเทศหลายชิ้นชี้ว่า เด็กโฮมสคูลมีพัฒนาการและความสามารถ ทั้งในด้านวิชาการ บุคลิกภาพ และพัฒนาการทางอารมณ์ดีกว่าเด็กที่เรียนในโรงเรียน และเด็กโฮมสคูลไม่มีปัญหาในการเข้าสังคมอย่างที่หลายคนห่วงเรื่องนี้ ดร.อมรวิชช์ อธิบายว่า

" ในห้องเรียนเราเรียน 1 ต่อ 40 พออยู่บ้าน เราเรียนตัวต่อตัว หรือ 1 ต่อ 2 เพราะฉะนั้น เรื่องคุณภาพ ความเอาใจใส่มันก็ต่างกัน อีกประการพ่อแม่รักลูก การเรียนส่วนนึงที่มันไม่บรรลุผล เพราะเราบังคับให้เด็กเรียนในเวลาที่เด็กไม่อยากเรียน แต่พออยู่กับพ่อแม่เบื่อแล้วเหรอ อ้าวออกไปเดินเล่น ไป ชอปปิ้ง ไปขี่จักรยานเล่น ฉะนั้นความเบื่อหน่ายซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของเด็กเนี่ย มันก็น้อยลงในรูปแบบโฮมสคูล
แต่ก็มีงานวิจัยบางชิ้นที่พูดถึงเรื่องทักษะทางสังคม บอกว่าเด็กเก็บตัวซึ่งผมเองมองว่า เรื่องนี้มันแล้วแต่พ่อแม่ ถ้าพ่อแม่เป็นคนเก็บตัวแนวโน้มที่ลูกจะปั้นออกมาเป็นเด็กซึ่งเก็บตัวก็เป็น ไปได้ "

และประการสำคัญคือ เด็กโฮมสคูลดูจะมีความสุขกับการเรียนมากกว่าเด็กที่เรียนในโรงเรียน คำอธิบายที่ยืนยันได้ก็คือความแตกต่างของบรรยากาศของการเรียนรู้นั่นเอง ในขณะที่ในโรงเรียนครูผู้สอน จะยืนเผชิญหน้ากับเด็กอยู่หน้าชั้น แต่บรรยากาศโฮมสคูลครูผู้สอนคือพ่อแม่ไม่ใช่ครูที่ยืนอยู่หน้าชั้น แต่คือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ลูก

Views: 5117

Reply to This

Replies to This Discussion

จริง ๆ แล้วก็เอียงไปทางเห็นด้วย แต่ไม่แน่ใจมากกว่าว่าพ่อ แม่ จะมีความรู้มากพอที่จะสอนลูกได้หรือเปล่า และสังคมไทยยังไม่เปิดกว้่างในเรื่องนี้มากพอ กังวลว่าเมื่อลูกโตขึ้นแล้วต้องไปสมัครงาน สถาบันและบริษัีทต่าง ๆ จะยอมรับเด็กที่จบจากการเรียนด้วย โฮมสคูล หรือไม่ และที่สำคัญพ่อและแม่ก็ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ทำให้ไม่มีเวลาเต็มที่ให้กับลูก หรือคุณบิ๊กมีความคิดเห็น และวิธีปฎิบัติอย่างไร
ก็ช่วยแนะนำด้วยค่ะ
ค่อนข้างเห็นด้วยกับแนวคิด Home School แต่โหวตไม่แน่ใจไปครับ เพราะยังมีจุดที่ห่วงอยู่หลายประเด็น เช่นถ้าพ่อแม่ทำงานทั้งคู่ ก้คงไม่มีเวลาให้ได้เต็มที่, การมีกลุ่มที่ทำบ้านเรียน ที่สามารถรวมกลุ่มกันได้ดี มีคุณภาพ สามารถจัดหลักสูตรให้เด็กได้เรียนรู้ร่วมกันได้ ครบทุกสาขาวิชาที่จำเป็น, การประเมินเปรียบเทียบกับหลักสูตรปกติ เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าเด็กจะต้องจบอะไรสักอย่าง เพื่อไปทำงาน ก็คงต้องมีอะไรมารองรับบ้าง ฯลฯ

ที่อยากเห็นที่สุดตอนนี้ ก็คือการจัดตั้งกลุ่มบ้านเรียนครับ
ถ้าทำได้จะดีมาก และเห็นด้วยค่ะ

เพราะโรงเรียนในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างที่หนึ่งสอนอยู่จะเห็นได้ว่าครูบางคนขาดความรับผิดชอบอย่างมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ถึงชั่วโมงสอนก็เข้าสอนช้า วิธีการสอนก้ไม่ค่อยน่าสนใจ หรือ บางครั้งเอาเวลาไปทำงานส่วนตัวเสียนี่

(อย่าหาว่า หนึ่งตำหนิ คนอาชีพเดียวกันเลยนะคะ )

ในช่วงที่จะมีการประเมินเพิ่มขั้น หรือ อะไรประมาณเนี้ยค่ะ เค้าจะมีเกณฑ์ข้อนึงคือ คุณครูต้องสอนไม่ต่ำกว่า 15 คาบ ครูบางคนที่เคยสอน แบบสบายๆสัปดาห์นึง สอนแค่ 5-6 คาบ ก็ตาเหลือกค่ะ
ต้องหาคาบสอนเพิ่ม ด้วยการเปิดวิชาเพิ่มเติมขึ้นมา คนที่รับภาระคือเด็ก นักเรียนค่ะ เรียนกันหัวโต ที่โรงเรียนตอนนี้ เรียน กัน 13 วิชาอ่ะค่ะ

เดี๋ยวมาเล่าต่อนะคะ
เห็นด้วยในแนวความคิดhome school ค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าถ้าเราทำเองแล้วจะสามารถประสบความสำเร็จหรือไม่ (เพราะการทำโฮมสคูลถือเป็นภาระหนักระยะยาว ที่มีอนาคตของลูกเป็นเดิมพัน -ยกประโยคจากบทความด้านบนค่ะ )
เห็นด้วยนะคะ แต่ต้องแล้วแต่ความพร้อมของแต่ละครอบครัวในสังคมไทยด้วย โดยส่วนตัวแล้วคิดว่านอกจากเวลาแล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องขยันและทุ่มเทมากๆเลยถึงจะประสบความสำเร็จ สำหรับโน้ตคิดว่าระบบที่เหมาะสมที่สุดของโน้ตก็น่าจะเป็นแบบ semi-home school นะคะ คือยังให้เค้าเรียนในระบบโรงเรียนอยู่ แต่เรามีการจัดการเรียนการสอนผ่านการเล่นและท่องเที่ยวในเวลาที่อยู่ด้วยกันและช่วงวันหยุดต่างๆ ถ้าเด็กมีภูมืคุ้มกันที่ดีไปจากบ้านก็น่าจะลดปัญหาทางสังคมที่จะเกิดขึ้นได้มากค่ะ
เห็นด้วยมากค่ะ แต่ควรจะมีวิธีและหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง และแนะนำสำหรับผู้ที่พร้อม่จะทำ แบ่งความรู้ให้กับทุกครอบครัวที่มีความต้องการจะสอนแบบโอมสคูล
น่าสนใจมากครับ เรียนที่บ้าน เล่นที่โรงเรียน ผมหมายถึง เราอาจใช้ระบบ Network ที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ เชื่อมต่อกับเนื้อหาที่โรงเรียนจัด ว่าจะต้องมีสอบวิชาอะไร เมื่อไหร่ นักเรียนอยู่บ้านวันจันทร์ - ศุกร์ เรียนที่บ้าน (อาจมีพ่อ หรือ แม่ หรือ พี่เลี้ยง แล้วแต่คนที่ลงทะเบียนจะจับคู่ดูแลบุตรของท่านเอง ตามกฎกระทรวงศึกษา)และจูงพ่อ-แม่ ไปโรงเรียนวันเสาร์ - อาทิตย์ เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เมื่อถึงกำหนดสอบ ก็ค่อยไปวัดผลกันที่โรงเรียน ผมฝันว่านี่คือการเรียนแห่งอนาคต น่าจะทำได้เร็วๆนี้ เรียนจนจบ Doc ก็เรียนมันที่บ้านนี่แหละ
ชอบความคิดของคุณแม่โน้ตค่ะ
semi-home school คิดว่าคงเหมาะกับครอบครัวเรา
เคยเห็นพ่อแม่บางท่านสามารถทำได้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า
และก็คงต้องปรับเปลี่ยนตัวเองทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องเวลาในการทำงาน
ตอบไม่แน่ใจ แต่เอียงมาทางเห็นด้วยค่ะ ก็อยากทำ home school เหมือนกันเพราะสังคมสมัยนี้เปลี่ยนไปมาก ข่าวร้ายๆเกี่ยวกับโรงเรียนอนุบาลก็มีเยอะ บางโรงเรียนก็ยัดเยียดให้เด็กมากเกินไป เห็นด้วยกับ คุณ Rush กับการใช้ระบบ Networkเข้ามาช่วยเกี่ยวกับการเรียน ต่อไป internet มีบทบาทเยอะขึ้น น่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ อยากให้กระทรวงศึกษาธิการเข้ามามีส่วนร่วม กำหนดรูปแบบและมาตรฐานที่ชัดเจน แต่ห่วงเรื่องการมีเพื่อนของเค้าเหมือนกัน เพราะเรื่องนี้เลยตอบไม่แน่ใจ ( จะว่าไปแล้ว พอเราแต่งงานมีลูก แล้ว นานๆ ถึงจะได้ติดต่อเพื่อนสมัยเรียนอ่ะ )
home school เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากๆค่ะ
สนใจเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความไม่พร้อม ต้องทำงานประจำ จันทร์-ศุกร์ โรงเรียนเลยเหมือนที่ฝากเลี้ยง.....ยิ่งเมื่อลูกเรียนอนุบาล เป็นภูมิแพ้ หาหมอบ่อยมาก หมอยังมาตอกย้ำอีกว่า ผมไม่อยากให้น้องไปโรงเรียนเลย....แนวคิด home school ก็กลับมาในใจอีกแล้ว
จริงๆ แล้วเป็นแนวคิดที่ดีค่ะ แต่ถ้าพูดถึงครอบครัวของตัวเองแล้วอาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ เนื่องจากต้องทำงานและเลี้ยงลูกคนเดียวค่ะ (Single mom)

RSS

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service