เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย
ไม่ค่อยเก่งเรื่ิอง tense ค่ะ ใครพอจะมีหลักการจำ tense ง่ายๆบ้างค่ะ แบบที่ใช้บ่อยก็ได้ค่ะ เวลาพูด เหมือนรูปประโยคมันไม่ค่อยสวย ฟังดูแปลกไม่ลื่นหูเลยย / กริยาช่อง 2 และช่อง 3 ใช้ต่างกันยังไงค่ะ สับสน
ตอนนี้ก็เลยส่งผลถึงลูกด้วย ลูกสาวสื่อสารได้แบบเป้นท่อนๆ ยังเชื่อมประโยคไม่ได้ ถนัด I want......................(everything) 555 แล้วต่อด้วย สารพัด I want........................................... แม่เองที่ผิด อิอิ ยอมรับแต่โดยดี
Tags:
แง แง มาดันกระทู้ค่ะ อยากรู้จิงๆ
คือเรื่อง tense มันจะเยอะมากนะค่ะ คุณจิตติรัตน์
กริยาช่อง 2 ก็ใช้กับประโยคที่กล่าวถึงอดีต หรือ สิ่งที่ผ่านมาแล้ว
กริยาช่อง 3 จะใช้กับประโยค perfect tense ซึ่ง perfect tense มันแยกแยะออกไปหลายอันเลย perfect tense อันนี้นะค่ะ ตัวยุ่งเลย เพราะภาษาไทยเราไม่มี
เฉพาะ tense ที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวันก้อได้ค่ะ หรือเทคนิคเล็กๆน้อยๆก็ได้ค่ะ เดี๋ยวอ่านเพิ่มเองก็ได้ค่ะ ป้าจิ๊บ
ก็ใช้กันทุก tense นะค่ะ แต่ใช้เยอะ ก็เป็น อดีต ปัจจุบัน อนาคต นี่แหละค่ะ
แต่จิ๊บว่า อย่าไปจำแกรมม่าเลยนะค่ะ
ถ้าอยากรู้ว่า จะพูดแบบนี้ ต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษยังไง ก็มาเปิดกระทู้ถาม แล้วก็ค่อยๆ เก็บเกี่ยวเอาไปใช้ดีกว่าค่ะ แล้วก็ไปอ่านจากกระทู้เก่าๆ ที่ผ่านมา รับรองว่า ถ้าใช้ได้หมดเนียะ เก่งเริ่ดเลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ ถ้าเราจะท่อง แล้วไม่ได้ใช้ก็จำไม่ได้อยู่ดีเนอะ เรียนไปพร้อมลูกเลยดีกว่า ไม่เข้าใจค่อยเข้ามาถาม
like เลยคำแนะนำนี้
ใช่แล้วค่ะ ท่องไป ไม่ได้ใช้ ก็จำไม่ได้ ไม่มีประโยชน์
ลองนึกดูนะค่ะว่า เราเริ่มพูดภาษาไทยจากตรงไหน จากตรงที่เราฟัง แล้วเราก็พูดตาม ใช่ป่าวค่ะ พ่อแม่สอนให้เรียก พ่อ แม่ เราก็เรียก พ่อ แม่ ตาม
ตอนแรกเราไม่ได้พูดออกเสียงว่า พ่อ แม่ ด้วยซ้ำ แต่พอนานๆ ไป เราออกเสียงคำว่า พ่อ แม่ ได้ชัด
นี่คือเบสิคของการเรียนภาษาทุกภาษาค่ะ มันไม่ได้เริ่มต้นที่แกรมม่า มันเริ่มจาก ฟัง แล้วพูดตาม
สู้ๆ ค่ะ คุณทำได้ และ ทำได้ดีด้วย ^__^
จร้า ขอบคุณค่ะ
จากประสบการณ์นะครับ ลองซื้อหนังสือที่อธิบายเรื่อง tenses มาศึกษาดู เลือกที่เราอ่านแล้วเข้าใจ และถูกโฉลกกับเรา ไม่วิชาการเกินไป จากนั้นก็อาจจะฝึกด้วยการเขียนเป็นประโยค ๆ ในกระดาษ หรือสมุด ไปเรื่อย ๆ เพื่อฝึกฝนและทำความเข้าใจ การเขียนจะทำให้เราเรียบเรียงความคิดให้ออกมาเป็นประโยคได้ดี และที่สำคัญหากเรามาย้อนอ่านที่เราเขียน จะทำให้เราจำได้แม่นขึ้น (อันนี้จะทำกับคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วย ก็จะทำให้ความรู้ศัพท์เพิ่มพูน หากจำศัพท์ครั้งแรกไม่ได้ แต่เราจดไว้ มาเปิดดูอีกที คราวนี้เข้าสมองเลยครับ) หากท่องจำ หรือฝึกพูดอย่างเดียวมันจะไม่เข้าหัว และใช้ไม่คล่องครับ
ตามความเห็นส่วนตัว เรื่อง tenses นี่เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของการแต่งประโยค สำคัญเพราะทำให้ภาษาอังกฤษดี และขอแนะนำอีกอย่างคือเรื่องประเภทของคำด้วยครับ นอกจากรู้ความหมายแล้ว ต้องรู้ต่อว่าเป็น adjective, adverb หรือ verb จะทำให้นำมาแต่งประโยคได้ถูกต้องครับ ค่อย ๆศึกษาไปนะครับ อาจจะใช้เวลา แต่หากทำสม่ำเสมอซักวันจะเห็นผลครับ
โดยส่วนตัวตอนเริ่มสอนน้องก็สับสนค่ะเรื่อง tense เนี่ย ก็เลยไปหาหนังสือมาอ่าน มีอยู่เล่มนึงโดนใจมากๆ เลย ชื่อเรื่อง " รู้ทันสันดาน tense " ของ เฑียร ธรรมดา อ่านเข้าใจง่าย สนุก ถ้าเจอเล่มนี้ตอนสมัยเรียนนะ ต้องเก่ง eng กว่านี้แน่ๆ 555 มันทำให้เราสามารถใช้ tense จากความรู้สึกได้ค่ะ ถ้าเราพูดบนพื้นฐานของความเข้าใจ tense มันจะทำได้เราจำรูปประโยคง่ายขึ้น และก็ฝึกใช้บ่อยๆ จนชิน จนกลายเป็นจากความรู้สึก เช่นเหตุการณ์ตอนจะพาลูกไปอาบน้ำ เค้าก็จะมัวแต่โอ้เอ้ แม่เรียกตั้งนานก็ไม่ยอมไปอาบซะที แม่ก็ได้ที ได้ใช้ present perfect continuous (ถ้าเขียนผิดก็ขออภัยนะคะ) I have been waitting for you for along time.you shoud go now. ซึ่งในความหมายของ tense นี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และในขณะนี้ก็กำลังเกิดขึ้นเช่นกัน เพราะแม่รอตั้งนาน และตอนนี้ก็ยังรออยู่ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะไปอาบน้ำ หนังสือนิทานก็ช่วยได้เยอะนะคะ แนะนำนิทานชุดบ้านไร่ ของสำนักพิมพ์นานมีบุกส์ค่ะ ในหนึ่งเล่มจะมี tense หลายแบบ และรูปประโยคก็ง่ายที่จะจำ แล้วเราก็สามารถจำลองสถานการณ์ มาเล่นกับลูกได้ เช่น ลูกชอบเรื่อง a sleeping beauty เราก็ทำการบ้านก่อน ว่าเราจะพูดประโยคไหนกับลูกบ้าง ฝึกเขียนบนกระดาษ ฝึกพูดก่อน เมื่อพร้อมแล้วก็พูดกับลูก ชวนลูกเล่น Let's pretending to be a princess and a witch. you are a pricess. I am a wicth.do you want to play with me? ลูกก็จะบอกว่า yes i want to play with you. อะไรประมาณนี้ค่ะ อ้อแล้วตอนจบ เราก็ให้เค้าได้ฝึก present perfect โดยพูดว่า " You have come at last"
ลองฝึกดูนะคะ ถ้าเราอ่อน tense ไหน ก็พยายามหมั่นใช้ tense นันเยอะๆ ใช้บ่อยๆ จนชินไปเอง เอาใจช่วยค่ะ
© 2024 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก. Powered by