เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย
หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม
Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้
ที่บอกอย่างงั้นเพราะว่าเกิดกะตัวเองเลย ขนาดว่าสอนภาษาอังกฤษน้องเจแบบ OTOL แท้ ๆ แต่บางทีน้องเจพูดทับศัพท์ไทยเป็นภาษาอังกฤษ ในประโยคไทย มาบอกกันว่า มะม๊าคำนี้ภาษาไทยว่าอะไร ใจกันก็แป้วเลย เฮ้ย .. ลูกชั้นคนไทยนะเฟ้ย ลูกรู้ภาษาอังกฤษ แต่ไม่รู้ไทย (เราจะทำงัยดีหว่า ... เดี๋ยวไทยก็ไม่แน่น อังกฤษก็ไม่ได้ กลายเป็นงูเป็นปลาไป ไม่อยากให้เป็นอย่างงั้นเลย) ตั้งแต่วันนั้นปรับการสอนใหม่หมด-ปรับเวลาใหม่ด้วย เพราะว่าน้องเจเริ่มรู้เยอะขึ้น คำถามเยอะขึ้น เรียนที่โรงเรียนก็เยอะขึ้น ทุกวันกันจะมีกิจกรรมหลังทำการบ้านกะน้องเจวันละ 1 ชม. ที่น้องเจต้องมานั่งทำการบ้านของกัน (ทำควบคู่กะการฝึกเก็บกระเป๋า รองเท้า จัดชุดนอนเตรียมอาบน้ำ กินข้าวเย็นด้วย) เมื่อก่อนทำการบ้านของโรงเรียนอย่างเดียว รู้สึกว่าน้องเจไม่นิ่ง เล่นเยอะไป ก็จัดระเบียบ เอาวินัยเข้ามาฝึก รวมทั้งฝึกเรื่องของเวลาด้วย ทำการบ้านของกันเสร็จ กินข้าว อาบน้ำ แล้วปล่อยฟรีสไตล์เลย จะไปเที่ยวกะอากู๋ ไปเล่นบ้านอาม่า เล่นคอมฯ ดูวีซีดี ได้หมด แต่ต้องกลับมานอนตอน 2 ทุ่ม (ซึ่งทุกวันนี้เวลานี้ค่อนข้างเป๊ะแล้ว น้องเจเค้าจะดูเวลาแล้วกลับมาเป๊ะ เพราะถ้าถึงเวลาไม่กลับมา วันต่อไป ... อด 5555+) สิ่งที่สอนหลังทำการบ้านส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะ คัดลายมือ จับคู่ คำศัพท์ อ่านไทย ส่วนเรื่องภาษาอังกฤษทำ OTOL และเพิ่มศัพท์ให้ก่อนนอน สลับกับการเรียนเลข บางทีก็มีสอน grammar ง่าย ๆ ด้วย แต่ว่าดูที่เวลา ถ้าน้องเจง่วงมาก ก็จะหยุด หรือเริ่มไม่สนุกแล้วก็หยุด กิจกรรมพวกนี้สลับกับการอ่านอังกฤษ เล่านิทาน และนอนคุย 555+กันกะว่าอาทิตย์หน้าจะจัดเวลาใหม่ เพราะตอนนี้จับเวลาท่องเลขให้น้องเจ แล้วก็สอนบวกเลขทีละ 1 ด้วย ค่อย ๆ สอนกันไป ตอนนี้น้องเจสนุกมาก ๆ ขอให้เล่นเกมส์บวกเลขกันทุกคืน แต่กันจะไม่ได้ทำให้ทุกคืน ก็ให้สลับไป เพื่อความสนุกสนาน ภาษาอังกฤษก็มีไปบ้านครูเสาร์อาทิตย์ก็เบาแรงกันไปนิดนึง ;)
ลองให้ทางโรงเรียนทดสอบดูค่ะ ... จริง ๆ แล้ว Mini Eng. กะ Bilingual ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ ต่างกันแค่ว่ามีครูต่างชาติสอนจริงจังวันละประมาณ 30 นาที กะ ครูต่างชาติอยู่ด้วยทั้งวัน ที่ร่มไม้เน้นพัฒนาการมากกว่าวิชาการ แนวทางการสอนให้เด็กดี เรียนเก่ง และมีความสุข ทุกอย่างควรเป็นไปตามวัยจ้า ... วิชาการจะมากขึ้นตอน อ.1 เห็น ๆ เลย ...
แต่มีข้อติงอยู่นิดนึงตรงที่ว่าถ้าทำ OPOL แล้ว ควรจะมีคนนึงที่เก่งภาษาไทยทำหน้าที่จริง ๆ จัง ๆ นะ เพราะว่าเท่าที่เห็นมา เด็กที่ยอมใช้ภาษาอังกฤษแล้วจะไม่ค่อยยอมใช้ภาษาไทยล่ะ (ไม่รู้คิดเองรึป่าวนะ) แล้วจะทำให้การเรียนรู้ของเด็กเนี่ยเหมือนกะขาดช่วงไป ไม่มีอะไรเด่นซักอย่างเลย ซึ่งที่ร่มไม้ก็ไม่ได้เน้นภาษาอังกฤษมากมายขนาดนั้น เพราะไม่ใช่โรงเรียนอินเตอร์ ผอ.เองก็ยังไม่มีแนวคิดจะพัฒนาให้ร่มไม้เป็นอินเตอร์ฯ เพราะเค้ามองว่าการใช้ภาษาอังกฤษเหมือนเป็นวินัย ถ้าได้ใช้บ่อย ๆ ฝึกบ่อย ๆ ก็จะซึมซับ และใช้ได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าหากสอนทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษแล้วทุกอย่างจะดี หรือจะได้วิชาการแน่น อย่างเช่น วิชาหลัก ไม่ว่าจะเป็น เลข วิทย์ สังคม พวกนี้ ไม่มีการสอนเป็นภาษาอังกฤษ เพราะเน้นในเนื้อหารายละเอียด แต่ถ้าจะเรียนเป็นภาษาอังกฤษก็จะหาครูผู้รู้จริง ๆ นั้นหายาก นอกจากว่าเรียนพวกนี้เป็นภาษาอังกฤษก็ได้แค่ภาษา (ผอ.ว่างั้น) 555+ (กันเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ)
ลองพิจารณาดูค่ะ .... ครูที่นี่ค่อนข้างมองเด็กขาดดดด! การันตี!
อ้อ ... ถ้าห้องน้องเตรียมฯ เด็กที่โตหน่อย น่าจะเป็นครูแคลร์ค่ะ (ครูประจำชั้นเก่าน้องเจ) ;) ครูคนอื่นไม่รู้จักค่ะ ส่วนครูสุ ไม่รู้อยู่ห้องไหน เพราะว่าโดนสลับไป ปีที่แล้วครูสุก็เป็นครูประจำชั้นเก่าคู่กะครูแคลร์อะค่ะ คนนี้ก็ดีค่ะ น่ารัก ใจดี น้องเจก็รักมากกกก .. ไม่แพ้ครูแคลร์เลย ;) (ปีนี้น้องเจรักครูนุช, T.Pearl แล้วก็ครูจ๋อมค่ะ) 5555+
เทอมนี้โอเคมากขึ้น ได้ภาษาอังกฤษเยอะขึ้น พูดอะไรแปลก ๆ เยอะขึ้น อ่านได้เยอะ อันไหนไม่รู้ก็จะถามเลย กันก็คงไม่เทียบชั้นอะไรให้น้องเจแล้ว ก็เป็นไปอย่างงี้แหละ (อยากเกิดเดือน กรกฏาคม ทำไมล่ะ 5555+ ก็โดนกดให้เด็กลงไปชั้นนึง เหมือนกะกันตอนเด็ก ๆ อะแหละ เพราะเกิดเดือนเดียวกัน)
เดี๋ยวหมดเทอมค่อยคุยกะครูอีกทีว่าปีหน้าควรอยู่ห้องครูอะไร ซึ่งต้องขอครูที่น้องเจเกรงใจ (เหมือนครูนุช) ซักคน ไม่งั้นเอาไม่อยู่ 555+
น้องเจมาขอเรียนเปียโนกะไวโอลิน กันก็พาไป test แล้ว ก็ได้ความเห็นเหมือนครูแหละ คือจำได้ เข้าใจ ทำตามคำสั่งได้ แต่ไม่นิ่ง (ติดเล่นอยู่นั่นแหละ) กันเลยพับโครงการนี้ไปก่อน บอกน้องเจไปว่ารอให้น้องเจนิ่ง (เหมือนน้องแพนเค้ก) ก่อน แล้วจะให้เรียน (น้องแพนเค้กก็เพื่อนในห้องเดียวกัน แม่พาไปเรียนเปียโนแล้ว น้องเค้านิ่งกว่าน้องเจเยอะ แต่ยังไม่ค่อยยอมเขียน อยู่ในห้องเรียนก็จะติดเล่นวิชาอื่น ตรงกันข้ามกะน้องเจ อันนี้แม่เค้าเล่า 555+ ก็เลยต้องไปฝึกกันคนละด้าน 555+) น้องเจชักดิ้นชักงอใหญ่ว่าจะเรียนให้ได้ แต่กันยังคงพับโครงการไว้ จนกว่าน้องเจจะนิ่ง 5555+
โห .. เพิ่งมารู้ตัวว่า ... เขียนยาวมากเลย ;) ไม่รู้ว่ามีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ก็นำไปปรับใช้ให้เหมาะกับน้องโอมและครอบครัวดีที่สุดค่ะ ;)
อืมม .. น้องเจมีปัญหาตอนเตรียมอนุบาลมาก ๆ คือได้ภาษาอังกฤษเยอะมาก รู้สึกเบื่อ ร้องไห้ไม่ไปโรงเรียน ตอนนั้นก็เข้าไปคุยกะครู จนปรับสอนภาษาน้องเจให้เป็น OTOL ทางครูก็ปรับการสอนให้สนุกมากขึ้น เทคนิคเยอะขึ้น ส่วนเทอมที่แล้ว อ.1 น้องเจไม่มีปัญหาวิชาการอะไร แต่ว่าติดปัญหาวิชาศิลปะกะดนตรี ที่ครูนุชบอกว่าน้องเจชอบดูเพื่อนทำก่อน แล้วตัวเองทำทีหลังก็จะเสร็จช้า ต้องกระตุ้น วิชาดนตรีได้เรียนอิเลคโทน จำโน๊ตได้ ร้องเพลงได้ ดีดโดเรมีได้ แต่ว่าไม่นิ่ง ทั้งสองวิชานี้เคยถามน้องเจว่าเพราะอะไร น้องเจบอกว่าครูสอนไม่สนุก ศิลปะไม่สนุก สู้มะม๊าไม่ได้ ส่วนอิเลคโทนไม่ชอบครู (อาจจะอคติว่าครูบังคับต้องวางนิ้วตรงนี้ อย่างงั้นอย่างงี้ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ครูอยู่แล้ว เพราะอิเลคโทน มันเป็นคีย์ตายตัว ซึ่งกันก็เข้าใจ) ตอนไปรับสมุดพกเทอมที่แล้ว ก็ได้คุยกะครูถึงปัญหาทั้งสองเรื่องนี้ เทอมนี้ครูบอกว่าน้องเจทำศิลปะดีขึ้น สวยขึ้น เร็วขึ้น แต่ว่ายังคงดูเพื่อนก่อน แล้วบอกครูว่าเจ่เจ๊จะทำให้สวยกว่าเพื่อน 555+ ซึ่งครูก็บอกว่าลองทำดู ถ้าสวยจะโชว์ขึ้นบอร์ดแถวบนเลย (กันก็ได้ไปเห็นมาล่าสุด ระบายสีสวยขึ้นจริง ๆ) อยู่ที่บ้านกันก็จะพยายามมีอะไรพวกนี้ให้ทำเพิ่ม ฝึกสมาธิ แต่ก็ระบายดีขึ้นจริง ๆ เพราะเพิ่งให้ทำเมื่อสองวันที่แล้วอะค่ะ) ส่วนอิเลคโทน เทอมนี้ลงเรียนพิเศษไม่ทัน น้องเจยังไม่นิ่งอยู่ดี (ติดเล่น) แต่จำโน๊ตได้ วางนิ้วได้ ส่วนวิชาคอมฯ ครูบอกว่าน้องเจทำได้ดี (เทอมที่แล้วน้องเจมาบ่นให้ฟังว่าคอมฯที่โรงเรียนไม่สนุกเลย ไม่มีเน็ต ไม่มี youtube กันก็ได้แต่หัวเราะ เพราะ อ.1 เค้าสอนแค่ฝึกกล้ามเนื้อมือ แล้วก็ความจำนิดหน่อย แต่น้องเจไปไกลแล้ว 555+ เทอมนี้โอเค เริ่มสนุก ตื่นตาตื่นใจ เพราะคอมฯ ที่โรงเรียนครูเค้าใช้แบบจอใหญ่ touch screen น้องเจก็ตื่นเต้น และทำได้ดี 555+)
แต่จากสถิติที่มีคุณพ่อคุณแม่ขอทดสอบนั้น ผ่านไปเรียน อ.2 ได้หลายคน แต่พอไปเรียนจริง มีแค่ 2 คนเท่านั้นเองที่ต่อไปได้ ที่เหลือขอย้ายมาเริ่มต้น อ.1 ซึ่งกันก็สบายใจที่ครูให้รายละเอียดที่ชัดเจน เราไม่ต้องถามอะไรมาก เพราะบุคลากรของ รร. ค่อนข้างให้ข้อมูลชัดเจนมาก ๆ อยู่แล้วค่ะ (เพราะเค้าเน้นคุณภาพจริง ๆ)จริง ๆ เคยเสียความรู้สึกที่น้องเจไม่ได้เข้า อ.1 แต่ว่าวันนี้รู้สึกว่าโชคดีมากกว่าที่เราเชื่อและปล่อยให้น้องเจโตไปตามวัยที่ควรจะเป็น ความรู้น้องเจแน่นมาก แล้วก็มีความสุขมากที่ไปโรงเรียน สนุกกะการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งถ้าปีที่แล้วครูให้เข้า อ.1 อาจจะไม่เป็นอย่างงี้อะค่ะ เพราะหนังสือ อ.1 บางเล่มไม่ใช่หนังสือไทย เช่น วิทยาศาสตร์สำหรับ pre-school เป็นของ Malaysia (โอเคแหละ สำหรับเรา ไม่ยากหรอก ง่ายด้วยซ้ำ แต่มันภาษาอังกฤษหมดเลย แต่ลูกเราอะจิ ถ้าพื้นฐานภาษาไม่แน่น มันจะมีปัญหาระยะยาว และมันยากนะ แล้วการบ้านมีทุกวันเลย ยิ่งช่วงไหนหยุดยาว ครูใส่มาเป็นปึกเลย การบ้านบางวิชาจะใช้ความร่วมมือระหว่างผู้ปกครองและลูก ให้แสดงความคิดเห็น คือลูกเขียนไม่ได้ คนที่สอนหรือพ่อแม่นั่นแหละ ต้องคุยกะลูกแล้วเอาคำตอบที่ลูกตอบ เขียนตอบให้ครู บางอย่างอาศัยงานฝีมือด้วย เช่น ดอกไม้ไหว้ครู ฯลฯ อีกหลายกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกว่าบ้านกะโรงเรียนใกล้กันนิดเดียว) เมื่อไหร่ที่ครูมองว่าลูกเราเริ่มมีปัญหา ปัญหาเริ่มซ้ำ ๆ รอรับโทรศัพท์ได้เลย คุยยาวกันเป็นชั่วโมง 5555+
ครูเต่าแนะนำว่าอยากให้น้องเจเรียนเตรียมอนุบาล (แต่กันห่วงว่าวิชาการน้องเจเยอะมาก กลัวมีปัญหากะเพื่อน) ตอนนั้นน้องเจก็ช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับหนึ่งอย่างที่ครูเต่าบอก แค่ยังไม่ยอมเข้าห้องน้ำเอง และติดว่ายังติดกระดุมเสื้อเองไม่เป็น นอกนั้นพอทำได้ เพราะสอนใส่ถุงเท้า รองเท้าอะไรเองนานแล้ว เวลาจับใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าอะไรพวกนี้ กันจับน้องเจนั่งใส่ด้วยตลอด ไม่เคยใส่ให้โดยที่น้องเจไม่มีส่วนร่วม 5555+ (อ.1 เค้าจะสอนเรื่องเก็บที่นอน พับผ้าห่ม ฯลฯ อีกเยอะเลย) ส่วนเรื่องเรียนครูเต่าบอกว่าไม่เป็นปัญหา เพราะเด็กยังไร้เดียงสา ไม่มีอิจฉา แต่จะเห็นคนเก่งเป็น hero ซึ่งโดยส่วนใหญ่เด็ก ๆ จะชื่นชมครู ที่ครูให้เรียนเตรียมเพราะอยากให้มีพื้นฐานภาษาที่แน่นด้วย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ครูบอกอีกว่าถ้าเรียนไปแล้ว คุณแม่มั่นใจว่าน้องสามารถ pass ไป อ.2 ได้ ให้แจ้งกะครูประจำชั้นตอนก่อนหมดเทอม 2 ทาง รร. ยินดีเปิดให้น้องลองทดสอบด้วย
ส่วนเรื่องความพร้อมของเด็ก (คือเข้าน้องเตรียมฯ กันไม่รู้เค้าทดสอบอะไรค่ะ) เพราะว่าตอนนั้นที่พาน้องเจไปเข้าเนี่ย ขอเข้า อ.1 แต่ว่าอายุน้อยกว่าเกณฑ์ไป 2 เดือน ครูเต่า (รอง ผอ.) ขอทดสอบน้องเจคือพาน้องเจเข้าไปห้องเย็น พูดคุย เล่น ต่อบล็อค เรียงบล็อค เรียงสี ทุกอย่างเป็นไปอย่างธรรมชาติ แล้วก็สังเกตพฤติกรรมว่าช่วยเหลือตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน เวลาจากพรากพ่อแม่มีปฏิกิริยายังงัย (คือใจกันคิดอยู่แล้วว่ายังงัยก็คงไม่ pass ข้ามไป อ.1 ให้หรอก แล้วก็เป็นอย่างงั้น) ครูเต่าให้ความเห็นว่าน้องเจได้หมดเลย เรียงบล็อค ไล่สี บอกสีทั้งไทยและอังกฤษ นับจำนวน ฯลฯ (ที่กันไม่รู้ ครูเล่าแค่คร่าว ๆ) แต่ติดที่อายุ เพราะถ้าไปอยู่ อ.1 เลยจะต้องช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับนึง ไม่ร้องไห้ ใส่เสื้อ กางเกง ถุงเท้า รองเท้า เข้าห้องน้ำเองได้ เข้าใจสัญลักษณ์ประจำตัวเด็ก (ของน้องเจคือ owl ครูเค้าจะสอนเด็กและฝึกให้เด็กจำของใครของมัน ไม่เหมือนกัน ถึงเวลาต้องเก็บเข้าล็อคเกอร์ของตัวเองได้) แล้วก็จะเรียนเยอะกว่าเตรียมอนุบาลเยอะมาก (ดูจากปีนี้ของน้องเจนะคะ)
ตอนที่น้องเจไปเข้า รร. เค้า test พ่อแม่จากแบบทดสอบ ซึ่งที่ครูเอ้ที่อยู่ห้องธุรการจะเอามาให้กรอก คิดว่าน่าจะดูความพร้อมของพ่อแม่ ทัศนคติ จิตวิทยา และความร่วมมือของผู้ปกครองค่ะ เพราะว่าบางทีจะมีกิจกรรมให้พ่อแม่ร่วมหลายกิจกรรม และกิจกรรมเหล่านั้นจะส่งผลทางจิตใจกะลูก กันว่าเรียนที่นี่ดีอย่างคือเรียน ๆ เล่น ๆ ก็จริง แต่ลูกเราได้อะไรเยอะ มีความสุขดี ซุกซนไปตามวัย มีคดีความกะเพื่อนบ้าง ทุกอย่างก็จะถูกดูแลอย่างใกล้ชิดโดยครูประจำชั้น ไม่มีดุ ด่า ว่า ตี หรือทำร้ายจิตใจใด ๆ ทั้งสิ้น (หัวใจดวงน้อย ๆ ของเด็ก ๆ ได้รับการถนุถนอมอย่างดี 5555+) ทุกเรื่องส่งถึงพ่อแม่ผู้ปกครองค่ะ ยิ่งน้องเตรียมเนี่ย สมุดสื่อสารฯ เงี้ย ครูเขียนกันมือหงิกเลย เพราะต้องเขียนเล่าพัฒนาการให้ทุกวัน ;)
ตอนสมัยที่น้องเจไปเข้า นักเรียนใหม่ไม่เยอะขนาดนี้ค่ะ ไม่ได้มีให้เลือก mini eng. กะ bilingual เพราะว่าตอนนั้นเค้าบังคับเตรียมอนุบาลเป็น mini eng. ทั้งหมด และจะเลือกตอนเข้า อ.1 ว่าจะต่อเป็น mini eng. หรือ bilingual พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็จะให้ลูกเรียน bilingual (น่าจะเหตุผลที่ว่าค่าเทอมต่างกันแค่หมื่นเดียว แต่ว่าถ้ามีครูต่างชาติในห้องทั้งวัน เด็กจะซึมซับภาษาอังกฤษมากกว่า และคุ้มกว่าอะค่ะ) ทาง รร. ก็เลยต้องเพิ่มห้อง bilingual ซึ่งครูแคลร์บอกกันว่าปีที่แล้วเทอม 2 ห้อง watermelon ที่น้องเจเรียน เป็นเตรียมอนุบาลที่นำร่องหลักสูตร bilingual ค่ะ เทอมนั้นนับว่าโชคดีมาก มีครูต่างชาติสอนคู่ครูแคลร์เลย ในสายตากันน้องเจก็เลยเร็ว (แต่ไม่เคยเจอเพื่อนน้องเจนะ ก็เลยไม่รู้ว่าในห้องเค้ามีพัฒนาการยังงัยกัน) แต่เท่าที่ครูแคลร์เคยบอกคือเด็ก ๆ จะฟังได้ เข้าใจอะค่ะ
Welcome toหมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้
Sign In
Or sign in with:
สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด
© 2024 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก. Powered by
Badges | Report an Issue | Terms of Service
Please check your browser settings or contact your system administrator.
หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม
Nong Om & ChiTangMae's Comments
Comment Wall (133 comments)
You need to be a member of หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ to add comments!
Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้
ที่บอกอย่างงั้นเพราะว่าเกิดกะตัวเองเลย ขนาดว่าสอนภาษาอังกฤษน้องเจแบบ OTOL แท้ ๆ แต่บางทีน้องเจพูดทับศัพท์ไทยเป็นภาษาอังกฤษ ในประโยคไทย มาบอกกันว่า มะม๊าคำนี้ภาษาไทยว่าอะไร ใจกันก็แป้วเลย เฮ้ย .. ลูกชั้นคนไทยนะเฟ้ย ลูกรู้ภาษาอังกฤษ แต่ไม่รู้ไทย (เราจะทำงัยดีหว่า ... เดี๋ยวไทยก็ไม่แน่น อังกฤษก็ไม่ได้ กลายเป็นงูเป็นปลาไป ไม่อยากให้เป็นอย่างงั้นเลย)
ตั้งแต่วันนั้นปรับการสอนใหม่หมด-ปรับเวลาใหม่ด้วย เพราะว่าน้องเจเริ่มรู้เยอะขึ้น คำถามเยอะขึ้น เรียนที่โรงเรียนก็เยอะขึ้น ทุกวันกันจะมีกิจกรรมหลังทำการบ้านกะน้องเจวันละ 1 ชม. ที่น้องเจต้องมานั่งทำการบ้านของกัน (ทำควบคู่กะการฝึกเก็บกระเป๋า รองเท้า จัดชุดนอนเตรียมอาบน้ำ กินข้าวเย็นด้วย) เมื่อก่อนทำการบ้านของโรงเรียนอย่างเดียว รู้สึกว่าน้องเจไม่นิ่ง เล่นเยอะไป ก็จัดระเบียบ เอาวินัยเข้ามาฝึก รวมทั้งฝึกเรื่องของเวลาด้วย ทำการบ้านของกันเสร็จ กินข้าว อาบน้ำ แล้วปล่อยฟรีสไตล์เลย จะไปเที่ยวกะอากู๋ ไปเล่นบ้านอาม่า เล่นคอมฯ ดูวีซีดี ได้หมด แต่ต้องกลับมานอนตอน 2 ทุ่ม (ซึ่งทุกวันนี้เวลานี้ค่อนข้างเป๊ะแล้ว น้องเจเค้าจะดูเวลาแล้วกลับมาเป๊ะ เพราะถ้าถึงเวลาไม่กลับมา วันต่อไป ... อด 5555+)
สิ่งที่สอนหลังทำการบ้านส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะ คัดลายมือ จับคู่ คำศัพท์ อ่านไทย ส่วนเรื่องภาษาอังกฤษทำ OTOL และเพิ่มศัพท์ให้ก่อนนอน สลับกับการเรียนเลข บางทีก็มีสอน grammar ง่าย ๆ ด้วย แต่ว่าดูที่เวลา ถ้าน้องเจง่วงมาก ก็จะหยุด หรือเริ่มไม่สนุกแล้วก็หยุด กิจกรรมพวกนี้สลับกับการอ่านอังกฤษ เล่านิทาน และนอนคุย 555+
กันกะว่าอาทิตย์หน้าจะจัดเวลาใหม่ เพราะตอนนี้จับเวลาท่องเลขให้น้องเจ แล้วก็สอนบวกเลขทีละ 1 ด้วย ค่อย ๆ สอนกันไป ตอนนี้น้องเจสนุกมาก ๆ ขอให้เล่นเกมส์บวกเลขกันทุกคืน แต่กันจะไม่ได้ทำให้ทุกคืน ก็ให้สลับไป เพื่อความสนุกสนาน ภาษาอังกฤษก็มีไปบ้านครูเสาร์อาทิตย์ก็เบาแรงกันไปนิดนึง ;)
ลองให้ทางโรงเรียนทดสอบดูค่ะ ... จริง ๆ แล้ว Mini Eng. กะ Bilingual ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ ต่างกันแค่ว่ามีครูต่างชาติสอนจริงจังวันละประมาณ 30 นาที กะ ครูต่างชาติอยู่ด้วยทั้งวัน ที่ร่มไม้เน้นพัฒนาการมากกว่าวิชาการ แนวทางการสอนให้เด็กดี เรียนเก่ง และมีความสุข ทุกอย่างควรเป็นไปตามวัยจ้า ... วิชาการจะมากขึ้นตอน อ.1 เห็น ๆ เลย ...
แต่มีข้อติงอยู่นิดนึงตรงที่ว่าถ้าทำ OPOL แล้ว ควรจะมีคนนึงที่เก่งภาษาไทยทำหน้าที่จริง ๆ จัง ๆ นะ เพราะว่าเท่าที่เห็นมา เด็กที่ยอมใช้ภาษาอังกฤษแล้วจะไม่ค่อยยอมใช้ภาษาไทยล่ะ (ไม่รู้คิดเองรึป่าวนะ) แล้วจะทำให้การเรียนรู้ของเด็กเนี่ยเหมือนกะขาดช่วงไป ไม่มีอะไรเด่นซักอย่างเลย ซึ่งที่ร่มไม้ก็ไม่ได้เน้นภาษาอังกฤษมากมายขนาดนั้น เพราะไม่ใช่โรงเรียนอินเตอร์ ผอ.เองก็ยังไม่มีแนวคิดจะพัฒนาให้ร่มไม้เป็นอินเตอร์ฯ เพราะเค้ามองว่าการใช้ภาษาอังกฤษเหมือนเป็นวินัย ถ้าได้ใช้บ่อย ๆ ฝึกบ่อย ๆ ก็จะซึมซับ และใช้ได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าหากสอนทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษแล้วทุกอย่างจะดี หรือจะได้วิชาการแน่น อย่างเช่น วิชาหลัก ไม่ว่าจะเป็น เลข วิทย์ สังคม พวกนี้ ไม่มีการสอนเป็นภาษาอังกฤษ เพราะเน้นในเนื้อหารายละเอียด แต่ถ้าจะเรียนเป็นภาษาอังกฤษก็จะหาครูผู้รู้จริง ๆ นั้นหายาก นอกจากว่าเรียนพวกนี้เป็นภาษาอังกฤษก็ได้แค่ภาษา (ผอ.ว่างั้น) 555+ (กันเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ)
ลองพิจารณาดูค่ะ .... ครูที่นี่ค่อนข้างมองเด็กขาดดดด! การันตี!
อ้อ ... ถ้าห้องน้องเตรียมฯ เด็กที่โตหน่อย น่าจะเป็นครูแคลร์ค่ะ (ครูประจำชั้นเก่าน้องเจ) ;) ครูคนอื่นไม่รู้จักค่ะ ส่วนครูสุ ไม่รู้อยู่ห้องไหน เพราะว่าโดนสลับไป ปีที่แล้วครูสุก็เป็นครูประจำชั้นเก่าคู่กะครูแคลร์อะค่ะ คนนี้ก็ดีค่ะ น่ารัก ใจดี น้องเจก็รักมากกกก .. ไม่แพ้ครูแคลร์เลย ;) (ปีนี้น้องเจรักครูนุช, T.Pearl แล้วก็ครูจ๋อมค่ะ) 5555+
เทอมนี้โอเคมากขึ้น ได้ภาษาอังกฤษเยอะขึ้น พูดอะไรแปลก ๆ เยอะขึ้น อ่านได้เยอะ อันไหนไม่รู้ก็จะถามเลย กันก็คงไม่เทียบชั้นอะไรให้น้องเจแล้ว ก็เป็นไปอย่างงี้แหละ (อยากเกิดเดือน กรกฏาคม ทำไมล่ะ 5555+ ก็โดนกดให้เด็กลงไปชั้นนึง เหมือนกะกันตอนเด็ก ๆ อะแหละ เพราะเกิดเดือนเดียวกัน)
เดี๋ยวหมดเทอมค่อยคุยกะครูอีกทีว่าปีหน้าควรอยู่ห้องครูอะไร ซึ่งต้องขอครูที่น้องเจเกรงใจ (เหมือนครูนุช) ซักคน ไม่งั้นเอาไม่อยู่ 555+
น้องเจมาขอเรียนเปียโนกะไวโอลิน กันก็พาไป test แล้ว ก็ได้ความเห็นเหมือนครูแหละ คือจำได้ เข้าใจ ทำตามคำสั่งได้ แต่ไม่นิ่ง (ติดเล่นอยู่นั่นแหละ) กันเลยพับโครงการนี้ไปก่อน บอกน้องเจไปว่ารอให้น้องเจนิ่ง (เหมือนน้องแพนเค้ก) ก่อน แล้วจะให้เรียน (น้องแพนเค้กก็เพื่อนในห้องเดียวกัน แม่พาไปเรียนเปียโนแล้ว น้องเค้านิ่งกว่าน้องเจเยอะ แต่ยังไม่ค่อยยอมเขียน อยู่ในห้องเรียนก็จะติดเล่นวิชาอื่น ตรงกันข้ามกะน้องเจ อันนี้แม่เค้าเล่า 555+ ก็เลยต้องไปฝึกกันคนละด้าน 555+) น้องเจชักดิ้นชักงอใหญ่ว่าจะเรียนให้ได้ แต่กันยังคงพับโครงการไว้ จนกว่าน้องเจจะนิ่ง 5555+
โห .. เพิ่งมารู้ตัวว่า ... เขียนยาวมากเลย ;) ไม่รู้ว่ามีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ก็นำไปปรับใช้ให้เหมาะกับน้องโอมและครอบครัวดีที่สุดค่ะ ;)
อืมม .. น้องเจมีปัญหาตอนเตรียมอนุบาลมาก ๆ คือได้ภาษาอังกฤษเยอะมาก รู้สึกเบื่อ ร้องไห้ไม่ไปโรงเรียน ตอนนั้นก็เข้าไปคุยกะครู จนปรับสอนภาษาน้องเจให้เป็น OTOL ทางครูก็ปรับการสอนให้สนุกมากขึ้น เทคนิคเยอะขึ้น ส่วนเทอมที่แล้ว อ.1 น้องเจไม่มีปัญหาวิชาการอะไร แต่ว่าติดปัญหาวิชาศิลปะกะดนตรี ที่ครูนุชบอกว่าน้องเจชอบดูเพื่อนทำก่อน แล้วตัวเองทำทีหลังก็จะเสร็จช้า ต้องกระตุ้น วิชาดนตรีได้เรียนอิเลคโทน จำโน๊ตได้ ร้องเพลงได้ ดีดโดเรมีได้ แต่ว่าไม่นิ่ง ทั้งสองวิชานี้เคยถามน้องเจว่าเพราะอะไร น้องเจบอกว่าครูสอนไม่สนุก ศิลปะไม่สนุก สู้มะม๊าไม่ได้ ส่วนอิเลคโทนไม่ชอบครู (อาจจะอคติว่าครูบังคับต้องวางนิ้วตรงนี้ อย่างงั้นอย่างงี้ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ครูอยู่แล้ว เพราะอิเลคโทน มันเป็นคีย์ตายตัว ซึ่งกันก็เข้าใจ) ตอนไปรับสมุดพกเทอมที่แล้ว ก็ได้คุยกะครูถึงปัญหาทั้งสองเรื่องนี้ เทอมนี้ครูบอกว่าน้องเจทำศิลปะดีขึ้น สวยขึ้น เร็วขึ้น แต่ว่ายังคงดูเพื่อนก่อน แล้วบอกครูว่าเจ่เจ๊จะทำให้สวยกว่าเพื่อน 555+ ซึ่งครูก็บอกว่าลองทำดู ถ้าสวยจะโชว์ขึ้นบอร์ดแถวบนเลย (กันก็ได้ไปเห็นมาล่าสุด ระบายสีสวยขึ้นจริง ๆ) อยู่ที่บ้านกันก็จะพยายามมีอะไรพวกนี้ให้ทำเพิ่ม ฝึกสมาธิ แต่ก็ระบายดีขึ้นจริง ๆ เพราะเพิ่งให้ทำเมื่อสองวันที่แล้วอะค่ะ) ส่วนอิเลคโทน เทอมนี้ลงเรียนพิเศษไม่ทัน น้องเจยังไม่นิ่งอยู่ดี (ติดเล่น) แต่จำโน๊ตได้ วางนิ้วได้ ส่วนวิชาคอมฯ ครูบอกว่าน้องเจทำได้ดี (เทอมที่แล้วน้องเจมาบ่นให้ฟังว่าคอมฯที่โรงเรียนไม่สนุกเลย ไม่มีเน็ต ไม่มี youtube กันก็ได้แต่หัวเราะ เพราะ อ.1 เค้าสอนแค่ฝึกกล้ามเนื้อมือ แล้วก็ความจำนิดหน่อย แต่น้องเจไปไกลแล้ว 555+ เทอมนี้โอเค เริ่มสนุก ตื่นตาตื่นใจ เพราะคอมฯ ที่โรงเรียนครูเค้าใช้แบบจอใหญ่ touch screen น้องเจก็ตื่นเต้น และทำได้ดี 555+)
แต่จากสถิติที่มีคุณพ่อคุณแม่ขอทดสอบนั้น ผ่านไปเรียน อ.2 ได้หลายคน แต่พอไปเรียนจริง มีแค่ 2 คนเท่านั้นเองที่ต่อไปได้ ที่เหลือขอย้ายมาเริ่มต้น อ.1 ซึ่งกันก็สบายใจที่ครูให้รายละเอียดที่ชัดเจน เราไม่ต้องถามอะไรมาก เพราะบุคลากรของ รร. ค่อนข้างให้ข้อมูลชัดเจนมาก ๆ อยู่แล้วค่ะ (เพราะเค้าเน้นคุณภาพจริง ๆ)
จริง ๆ เคยเสียความรู้สึกที่น้องเจไม่ได้เข้า อ.1 แต่ว่าวันนี้รู้สึกว่าโชคดีมากกว่าที่เราเชื่อและปล่อยให้น้องเจโตไปตามวัยที่ควรจะเป็น ความรู้น้องเจแน่นมาก แล้วก็มีความสุขมากที่ไปโรงเรียน สนุกกะการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งถ้าปีที่แล้วครูให้เข้า อ.1 อาจจะไม่เป็นอย่างงี้อะค่ะ เพราะหนังสือ อ.1 บางเล่มไม่ใช่หนังสือไทย เช่น วิทยาศาสตร์สำหรับ pre-school เป็นของ Malaysia (โอเคแหละ สำหรับเรา ไม่ยากหรอก ง่ายด้วยซ้ำ แต่มันภาษาอังกฤษหมดเลย แต่ลูกเราอะจิ ถ้าพื้นฐานภาษาไม่แน่น มันจะมีปัญหาระยะยาว และมันยากนะ แล้วการบ้านมีทุกวันเลย ยิ่งช่วงไหนหยุดยาว ครูใส่มาเป็นปึกเลย การบ้านบางวิชาจะใช้ความร่วมมือระหว่างผู้ปกครองและลูก ให้แสดงความคิดเห็น คือลูกเขียนไม่ได้ คนที่สอนหรือพ่อแม่นั่นแหละ ต้องคุยกะลูกแล้วเอาคำตอบที่ลูกตอบ เขียนตอบให้ครู บางอย่างอาศัยงานฝีมือด้วย เช่น ดอกไม้ไหว้ครู ฯลฯ อีกหลายกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกว่าบ้านกะโรงเรียนใกล้กันนิดเดียว) เมื่อไหร่ที่ครูมองว่าลูกเราเริ่มมีปัญหา ปัญหาเริ่มซ้ำ ๆ รอรับโทรศัพท์ได้เลย คุยยาวกันเป็นชั่วโมง 5555+
ครูเต่าแนะนำว่าอยากให้น้องเจเรียนเตรียมอนุบาล (แต่กันห่วงว่าวิชาการน้องเจเยอะมาก กลัวมีปัญหากะเพื่อน) ตอนนั้นน้องเจก็ช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับหนึ่งอย่างที่ครูเต่าบอก แค่ยังไม่ยอมเข้าห้องน้ำเอง และติดว่ายังติดกระดุมเสื้อเองไม่เป็น นอกนั้นพอทำได้ เพราะสอนใส่ถุงเท้า รองเท้าอะไรเองนานแล้ว เวลาจับใส่ถุงเท้าหรือรองเท้าอะไรพวกนี้ กันจับน้องเจนั่งใส่ด้วยตลอด ไม่เคยใส่ให้โดยที่น้องเจไม่มีส่วนร่วม 5555+ (อ.1 เค้าจะสอนเรื่องเก็บที่นอน พับผ้าห่ม ฯลฯ อีกเยอะเลย) ส่วนเรื่องเรียนครูเต่าบอกว่าไม่เป็นปัญหา เพราะเด็กยังไร้เดียงสา ไม่มีอิจฉา แต่จะเห็นคนเก่งเป็น hero ซึ่งโดยส่วนใหญ่เด็ก ๆ จะชื่นชมครู ที่ครูให้เรียนเตรียมเพราะอยากให้มีพื้นฐานภาษาที่แน่นด้วย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ครูบอกอีกว่าถ้าเรียนไปแล้ว คุณแม่มั่นใจว่าน้องสามารถ pass ไป อ.2 ได้ ให้แจ้งกะครูประจำชั้นตอนก่อนหมดเทอม 2 ทาง รร. ยินดีเปิดให้น้องลองทดสอบด้วย
ส่วนเรื่องความพร้อมของเด็ก (คือเข้าน้องเตรียมฯ กันไม่รู้เค้าทดสอบอะไรค่ะ) เพราะว่าตอนนั้นที่พาน้องเจไปเข้าเนี่ย ขอเข้า อ.1 แต่ว่าอายุน้อยกว่าเกณฑ์ไป 2 เดือน ครูเต่า (รอง ผอ.) ขอทดสอบน้องเจคือพาน้องเจเข้าไปห้องเย็น พูดคุย เล่น ต่อบล็อค เรียงบล็อค เรียงสี ทุกอย่างเป็นไปอย่างธรรมชาติ แล้วก็สังเกตพฤติกรรมว่าช่วยเหลือตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน เวลาจากพรากพ่อแม่มีปฏิกิริยายังงัย (คือใจกันคิดอยู่แล้วว่ายังงัยก็คงไม่ pass ข้ามไป อ.1 ให้หรอก แล้วก็เป็นอย่างงั้น) ครูเต่าให้ความเห็นว่าน้องเจได้หมดเลย เรียงบล็อค ไล่สี บอกสีทั้งไทยและอังกฤษ นับจำนวน ฯลฯ (ที่กันไม่รู้ ครูเล่าแค่คร่าว ๆ) แต่ติดที่อายุ เพราะถ้าไปอยู่ อ.1 เลยจะต้องช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับนึง ไม่ร้องไห้ ใส่เสื้อ กางเกง ถุงเท้า รองเท้า เข้าห้องน้ำเองได้ เข้าใจสัญลักษณ์ประจำตัวเด็ก (ของน้องเจคือ owl ครูเค้าจะสอนเด็กและฝึกให้เด็กจำของใครของมัน ไม่เหมือนกัน ถึงเวลาต้องเก็บเข้าล็อคเกอร์ของตัวเองได้) แล้วก็จะเรียนเยอะกว่าเตรียมอนุบาลเยอะมาก (ดูจากปีนี้ของน้องเจนะคะ)
ตอนที่น้องเจไปเข้า รร. เค้า test พ่อแม่จากแบบทดสอบ ซึ่งที่ครูเอ้ที่อยู่ห้องธุรการจะเอามาให้กรอก คิดว่าน่าจะดูความพร้อมของพ่อแม่ ทัศนคติ จิตวิทยา และความร่วมมือของผู้ปกครองค่ะ เพราะว่าบางทีจะมีกิจกรรมให้พ่อแม่ร่วมหลายกิจกรรม และกิจกรรมเหล่านั้นจะส่งผลทางจิตใจกะลูก กันว่าเรียนที่นี่ดีอย่างคือเรียน ๆ เล่น ๆ ก็จริง แต่ลูกเราได้อะไรเยอะ มีความสุขดี ซุกซนไปตามวัย มีคดีความกะเพื่อนบ้าง ทุกอย่างก็จะถูกดูแลอย่างใกล้ชิดโดยครูประจำชั้น ไม่มีดุ ด่า ว่า ตี หรือทำร้ายจิตใจใด ๆ ทั้งสิ้น (หัวใจดวงน้อย ๆ ของเด็ก ๆ ได้รับการถนุถนอมอย่างดี 5555+) ทุกเรื่องส่งถึงพ่อแม่ผู้ปกครองค่ะ ยิ่งน้องเตรียมเนี่ย สมุดสื่อสารฯ เงี้ย ครูเขียนกันมือหงิกเลย เพราะต้องเขียนเล่าพัฒนาการให้ทุกวัน ;)
ตอนสมัยที่น้องเจไปเข้า นักเรียนใหม่ไม่เยอะขนาดนี้ค่ะ ไม่ได้มีให้เลือก mini eng. กะ bilingual เพราะว่าตอนนั้นเค้าบังคับเตรียมอนุบาลเป็น mini eng. ทั้งหมด และจะเลือกตอนเข้า อ.1 ว่าจะต่อเป็น mini eng. หรือ bilingual พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็จะให้ลูกเรียน bilingual (น่าจะเหตุผลที่ว่าค่าเทอมต่างกันแค่หมื่นเดียว แต่ว่าถ้ามีครูต่างชาติในห้องทั้งวัน เด็กจะซึมซับภาษาอังกฤษมากกว่า และคุ้มกว่าอะค่ะ) ทาง รร. ก็เลยต้องเพิ่มห้อง bilingual ซึ่งครูแคลร์บอกกันว่าปีที่แล้วเทอม 2 ห้อง watermelon ที่น้องเจเรียน เป็นเตรียมอนุบาลที่นำร่องหลักสูตร bilingual ค่ะ เทอมนั้นนับว่าโชคดีมาก มีครูต่างชาติสอนคู่ครูแคลร์เลย ในสายตากันน้องเจก็เลยเร็ว (แต่ไม่เคยเจอเพื่อนน้องเจนะ ก็เลยไม่รู้ว่าในห้องเค้ามีพัฒนาการยังงัยกัน) แต่เท่าที่ครูแคลร์เคยบอกคือเด็ก ๆ จะฟังได้ เข้าใจอะค่ะ
ปีนี้นักเรียนสมัครเยอะ สงสัยเพิ่มห้องอีกแน่เลย นี่กันก็ได้จดหมายจองที่เรียน อ.2 แล้ว ปีหน้า อ.2 มี 3 แล้วห้องค่ะ
คิดถึงค่ะ เลยแวะเข้ามาคุยด้วย
น้องโอมต้องพูดเก่งขึ้นแล้วแน่ๆเลย เอาใจช่วยอยู่นะคะ
มีไร เขียนมาคุยกันนิดนะคะ
ขอบคุณค่ะ
แอนเพิงเข้ามาเห็นว่าคุณแก้ว อัพเดทความคืบหน้าของน้องในหน้าความเห็นนี้ค่ะ
แอนยังใช้เว็บไม่คล่องค่ะ จะหาหน้านี้หลายทีแล้วว่ามีใครเข้ามาเขียนหรือไม่
บางทีก็เจอ บางทีก็ไม่เจอค่ะ ตลกตัวเองจริงๆ :)
คุณแก้วจ๋า น้องมีความคืบหน้า เข้าใจตามที่คุณแม่พูดแล้ว ดีใจด้วยค่ะ
ถ้าคุณแก้วอยากให้น้องพูด คุณแก้วต้องไม่รู้ใจค่ะ
อย่างที่คุณแก้วเล่าว่า พอบอก sleep น้องก็ก้มหัวลงนอน
ตรงนี้อยากให้คุณแก้วถามน้องต่อไปค่ะว่า what are you doing?
แล้วคุณแก้วก็ทำท่า sleep พูดให้เขาฟังว่า สะ -ลีบ
สะ -ลีบ พูดสัก 5 ครั้ง ทำอย่างนี้ทุกครั้งค่ะ พูดชัดถ้อยชัดคำนะคะ น้องจะะได้ฟังถนัด
เล่นกันอย่างนี้ทุกวัน ประมาณสักอาทิตย์หรือ 2-3 วัน คุณแม่ลองแกล้งเว้นคำหลังค่ะ
สะ ....... ถ้าน้องยังไม่พูด ก็เฉลยให้น้องฟังได้ค่ะ
แล้วทิ้งคำหลังให้น้องต่อบ่อยๆค่ะ
ทำอย่างนี้สำหรับทุกคำที่สอนค่ะ เช่นเดียวกับ go up and go down ค่ะ
ทุกคร้้งที่ขึ้น ให้เขาพูดว่า up อัพ อัพ ค่ะ
เขียนมาเล่าเรื่อยๆนะคะ :)
ดีใจด้วยกับพัฒนาการน้องค่ะ :)
ขอบคุณนะค่ะที่ชมปัณปัณ
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะค่ะ น้องปัณปัณกับแม่พึ่งมาเป็นสมาชิกใหม่ค่ะ
ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
Welcome to
หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้
Sign In
Or sign in with:
--oO--
สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด
Events
หนังสือในชุดเด็กสองภาษา
© 2024 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก. Powered by
Badges | Report an Issue | Terms of Service