เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม

ตามไปดูเบื้องหลังสร้างสังคมรักการอ่านใน "สิงคโปร์"

http://manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000099115

 

เมื่อ พูดถึง "สิงคโปร์" เป็นประเทศเพื่อนบ้าน และหนึ่งในสมาชิกประชาคมอาเซียนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีสถิติ การอ่านค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับไทย โดยมีสถิติการอ่านหนังสือปีละ 40-50 เล่มต่อคน ขณะที่ครอบครัวไทยยังให้ความสำคัญกับการอ่านน้อยมาก
       
       ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากนัก กลับมีฐานะทางเศรษฐกิจดี และประเทศพัฒนาอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญยังโดดเด่นเรื่องความมีระเบียบวินัยของคนในประเทศ นั่นเพราะส่วนหนึ่งมาจากนโยบาย" ส่งเสริมการอ่าน" นั่นเอง
       
       ข้อเท็จจริงข้างต้น เกียง-โก๊ะ ไล ลิน ผู้อำนวยการโครงการริเริ่มด้านการอ่าน คณะกรรมการห้องสมุดแห่งชาติสิงคโปร์ (Singapore National Library Board) หนึ่งในผู้ผลักดันและสนับสนุนนโยบายส่งเสริมการอ่านของสิงคโปร์ และในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการทำงานส่งเสริมการอ่านมายาวนานกว่า 35 ปี เผยให้ฟังว่า รัฐบาลสิงคโปร์ ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมการอ่าน โดยมีคณะกรรมการหอสมุดแห่งชาติสิงคโปร์เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำนโยบายส่ง เสริมการอ่าน ซึ่งนอกจากห้องสมุด เทคโนโลยีสารสนเทศ และการบริการที่สะดวกแล้ว ต้องไม่ลืมว่าหัวใจหลัก คือ การสอนให้ประชาชนรักการอ่าน รู้จักวิธีการเลือกหนังสือ เพื่อส่งเสริมความรู้และการพัฒนาตัวเอง
       
       สำหรับโครงการส่งเสริมการอ่านของประเทศสิงคโปร์นั้น ผู้อำนวยการโครงการริเริ่มด้านการอ่านท่านนี้บอกว่า มีหลากหลาย เน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัยอย่างกว้างขวาง โดยมีโครงการที่น่าสนใจและเป็นตัวอย่างที่ดี เช่น National Kids Read Program เป็น โครงการที่เปิดรับสมัครอาสาสมัครเพื่ออ่านหนังสือ เล่านิทานให้เด็ก ๆ ในชุมชนตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษา โดยเน้นให้เด็กได้มีส่วนร่วม สนุกสนานกับเรื่องเล่า เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษในเรื่องเล่า และได้ข้อคิดดีๆ จากเรื่องเล่าหรือนิทานที่ฟัง เพราะเมื่อเด็กสนุกก็จะทำให้พวกเขาอยากที่จะเปิดหนังสืออ่าน และมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือว่าไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ รวมทั้งเด็กๆ ยังได้รับความรู้ใหม่ ๆ ที่จะนำไปใช้ในด้านการเรียนและใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย
       
       นอกจากนี้ ยังมี โครงการ 10,000 & More Father Reading ซึ่ง เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมส่งเสริมการอ่านที่ได้รับการตอบรับอย่างดีในสิงคโปร์ เป็นกิจกรรมที่สนับสนุนให้คุณพ่อจากทุกอาชีพอ่านหนังสือให้ลูกฟัง หรืออ่านหนังสือกับลูก ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความผูกพันระหว่างพ่อกับลูกผ่านการอ่านหนังสือ โดยกิจกรรมนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2550 มีผู้เข้าร่วมและได้ประโยชน์กว่า 60,000 คน


อีกทั้งยังมีกิจกรรมต่อเนื่องในชื่อว่า Read a story with my Dad เป็น การแข่งขันวิจารณ์หนังสือ โดยมีโรงเรียนอนุบาล และศูนย์ดูแลเด็กเข้าร่วม โดยห้องสมุดแห่งชาติจะมีการ์ดแจกให้เด็กๆ จากนั้นให้เด็กๆ นำกลับไปที่บ้านให้พ่ออ่านให้ฟัง เมื่ออ่านเสร็จแล้วก็ส่งการ์ดกลับมาที่ห้องสมุดแห่งชาติ เพื่อเลือกการ์ดและให้รางวัล ผู้ที่ได้รับคัดเลือกก็จะมาที่ห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือและทำกิจกรรมร่วมกัน จากนั้นบรรดาคุณพ่อจะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และประสบการณ์การอ่านหนังสือให้ลูกๆ ฟัง และจัดทำหนังสือเพื่อเผยแพร่ต่อไป

       
       และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ โครงการ Read! Singapore หรือ โครงการมาอ่านหนังสือกันเถอะ เป็น โครงการรณรงค์การอ่านทั่วประเทศ เพื่อมุ่งปลูกฝังการรักการอ่านในชุมชนทั่วประเทศ เสริมความผูกผันของคนในชุมชน และจุดประกายจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ให้กับคนสิงคโปร์ ริเริ่มโดยคณะกรรมหอสมุดแห่งชาติสิงคโปร์ โดยทำงานร่วมกับภาครีกว่า 100 แห่ง มีการจัดการอภิปรายและกิจกรรมการอ่านมากกว่า 16,000 ครั้ง กิจกรรมนี้จะมีการจัดขึ้นนาน 12-14 สัปดาห์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยที่ผ่านมามีผู้ร่วมโครงการแล้วกว่า 160,000 คนภายในปี 2553

เมอร์ไลออน หรือ สิงโตทะเล สัญลักษณ์ของคณะกรรมการการท่องเที่ยวของสิงคโปร์

"การอ่านเป็นนิสัยที่ดีที่สุดในการ บ่มเพาะสติปัญญา แม้ในโลกปัจจุบันผู้คนนิยมใช้อินเตอร์เน็ตมากขึ้น แต่ก็ยังมีกลุ่มคนรักการอ่านหนังสือผุดขึ้นมากมายทั่วโลก อย่างโครงการหนึ่งเล่มหนึ่งเมืองของสหรัฐอเมริกา ขณะที่เรามีโครงการมาอ่านหนังสือกันเถอะ!สิงคโปร์ ซึ่งโครงการนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะสามารถดึงกลุ่มเป้าหมายจากหลากหลายอาชีพมาจัดตั้งชมรมการอ่านเฉพาะ กลุ่มขึ้น เช่น กลุ่มคนขับรถแท็กซี่ ครู ช่างทำผม เจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพ พนักงานโรงแรมและบริการ กลุ่มผู้สูงอายุ เยาวชน ประชาชนทั่วไป หัวหน้าองค์กรรากหญ้า รวมถึงเจ้าหน้าที่พลเรือน และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ปัจจุบันมีชมรมการอ่านเฉพาะกลุ่มขึ้นมากกว่า 90 แห่ง"

       
       "ดังนั้นเราดีใจที่เห็นคนทุกกลุ่มหันมาสนใจการอ่าน และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จก็มีการไปอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำอีก เพราะประเด็นที่พูดคุยกันมีหลากหลาย น่าสนใจ ทำให้เราสนใจและกลับไปอ่านหนังสือเล่มนั้นเพิ่มเติม ที่สำคัญคือ เราเห็นว่าคนที่มาทำกิจกรรมร่วมกันมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นอกจากจะส่งเสริมการอ่านแล้ว ยังเป็นการสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ส่งเสริมความสัมพันธ์ของคนแต่ละกลุ่ม แต่ละชุมชนอีกด้วย" เกียง-โก๊ะ ไล ลิน กล่าว
       
       ทั้งนี้ ผู้อำนวยการโครงการริเริ่มด้านการอ่าน ยังกล่าวย้ำอีกว่า การ ส่งเสริมให้ประชาชนทุกวัยทุกอาชีพ และทุกครอบครัวหันมาสนใจการอ่านหนังสือ ไม่ใช่แค่การให้อ่านหนังสือแล้วจบไป แต่เมื่ออ่านหนังสือเสร็จแล้ว ยังมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่หลากหลายจากหนังสือที่อ่านเรื่อง เดียวกัน ทั้งนี้เพื่อมุ่งพัฒนาให้คนสิงคโปร์มีทักษะการคิดแบบวิพากษ์วิจารณ์ มีความคิดสร้างสรรค์ และกล้าแสดงออก ถือเป็นการสร้างวัฒนธรรมการอ่านขึ้นในชุมชนทั่วประเทศ
       
       นี่คือตัวอย่างประสบการณ์การส่งเสริมการอ่านของประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ ที่แสดงให้เห็นการสร้างคนคุณภาพ และสังคมน่าอยู่ด้วยนโยบายส่งเสริมรักการอ่าน โดยอาศัยความรู้ และความร่วมมือจากหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล เอกชน และคนในประเทศที่จะช่วยกันขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการอ่านให้ประสบความ สำเร็จ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพของคน และสังคมให้น่าอยู่ต่อไป
       
       แต่พอย้อนกลับมามองประเทศไทย หลาย ๆ ฝ่ายคงตั้งคำถามกันว่า บ้านเรามีนโยบายส่งเสริมรักการอ่านไม่ต่างไปจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ทำไมตัวเลขการอ่านของเรายังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศ อื่น ๆ เช่น เวียดนามอ่านหนังสือเฉลี่ย 60 เล่มต่อปี สิงคโปร์อ่านหนังสือเฉลี่ย 40-50 เล่มต่อปี มาเลเซียอ่านหนังสือเฉลี่ย 40 เล่มต่อปี ในขณะที่ประเทศไทยอ่านหนังสือเฉลี่ย 2-5 เล่มต่อปีเท่านั้น
       
       รับฟังแนวทางส่งเสริมการอ่านของประเทศเพื่อนบ้านกันไปแล้ว ในฐานะคุณพ่อคุณแม่ และท่านผู้อ่านคิดเห็นกันอย่างไรต่อการพลักดันนโยบายส่งเสริมรักการอ่านของ รัฐบาลไทย หรือมีสิ่งใดที่ควรเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อให้การอ่านของครอบครัวไทยเป็นไปได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้ามาแลกเปลี่ยนกันได้ทางกล่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างนี้ครับ ทีมงานยินดีน้อมรับด้วยความขอบคุณมากครับ

Views: 1246

Reply to This

Replies to This Discussion

รัฐบาลไทยควรหันมาให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังซะที เท่าที่ผ่านมาก็เป็นโครงการชั่วคราว อย่างสร้างห้องสมุดประชาชน ไว้แล้วก็ไม่ได้รับการสานต่อ ปล่อยทิ้ง หลาย ๆห้องสมุดประชาชนไม่มีการพัฒนาต่อยอดแต่อย่างใด

เห็นทีพึ่งรัฐบาลไม่ได้แล้ว ต้องหันมาใส่ใจกันเองแล้วหละ  โดยเริ่มจากในครอบครัวเราเอง และในสังคมเราอย่างที่เป็นอยู่ในครอบครัวของหมู่บ้านเด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้นนี่แหละเป็นจุดเริ่มที่ดีสำหรับลูก ๆ และเด็ก ๆ รุ่นต่อ ๆ ไป

 

 

เห็นด้วยค่ะ การที่จะปลูกจิตสำนึกให้รักการอ่านควรเริ่มที่ครอบครัวเห็นผลที่สุดค่ะ อ่านดูแล้วเศร้าในแทนประเทศเราเลยค่ะ

คือคิดว่าการสนับสนุนให้รักการอ่านของรัฐบาลไม่จริงจังนัก เพราะคนที่เข้ามาบริหารประเทศส่วนใหญ่ก็เข้ามาเพื่อแก้กฏหมายอำนวนประโยชน์ให้พวกพ้องตัวเอง จริงๆ แล้วคลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์เป็นของรัฐที่ให้เอกชนเช่า ถ้ารัฐจะเอาจริงเอาจังบังคับให้ทุกช่องทีวี มีรายการส่งเสริมการอ่านในช่วง ไพร์มไทม์ ของทุกวัน วันละ 5 นาทีก็สามารถทำได้ แต่กล้าทำไหมล่ะ.....คะ

 

หรือจะบังคับเอาดาราของช่องมาทำท่ารักการอ่านก็ยิ่งจะช่วยเป็นตัวอย่างให้เยาวชน จะยิ่งดีใหญ่จะได้เป็นกระแสเป็นเทรนให้เด็กและวัยรุ่นทำตาม เหมือนที่เดินตามก้นดาราใช้ BB ใช้แบรนด์แนมกันท่วนทั่ว

 

ส่วนตัวคิดว่ามีวิธีการส่งเสริมการอ่านตั้งเยอะแยะที่นักวิชาการไทยสามารถเสนอแนวคิดได้ แต่รัฐจะเอาด้วยแต่ไหน เพราะเวลา 5 นาทีในช่วงสำคัญนั้นมันมีมูลค่าสูงลิ่ว แต่ก็ไม่ได้สูงเกินกว่าคุณค่าของเด็กและเยาวชนในประเทศ แต่ถ้าเด็กฉลาด ประชาชนฉลาด จะเหลือใครมาเลือกพวกตูเข้าไปบริหารประเทศกันล่ะ 555555

 

ดังนั้นช่วยตัวเองกันต่อไปเถอะพ่อแม่พี่น้อง อย่างดีก็ตั้งกลุ่มกันเอง เดี๋ยวพอทำสำเร็จจะมีมือยาวๆ มาสนับสนุนแล้วช่วยป่าวประกาศให้ เพื่อไปอ้างประมาณว่านี่เป็นโครงการที่รัฐให้ความสำคัญและสนับสนุนนะ.... อิ อิ

ช่วยกันเริ่มที่บ้านคะ

รัฐบาลไม่ได้เอาจริงเอาจังกับการศึกษา หรือแม้แต่ระบบการปฎิรูปการศึกษา โดยภาพรวมอาจจะเป็นไปได้ยาก ต้องเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ จากครอบครัวของเรา หมู่บ้านของเรา เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยชอบอ่าน แม้แต่เด็กที่บ้านเอง เวลาทำรายงาน ก็ copy and past เคยอ่านกันมั้ย

การปลูกจิตสำนึกเป็นเรื่องสำคัญ การชี้ให้เห็นแสดงให้เห็นคุณค่าของการอ่านเป็นสิ่งสำคัญ  ต้องช่วยกัน เริ่มต้นจากตัวเรา ค่ะ

พ่อและแม่หรือผู้ปกครอง ควรจะเป็นแรงผลักดันแรกที่ส่งเสริมการอ่านให้เด็ก ต่อจากนั้นเป็นโรงเรียน และสังคม ที่จะช่วยกันประคับประคองเรื่องการอ่าน ทำให้เป็นนิสัยหรือเรื่องปกติค่ะ

RSS

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service