เว็บเด็กสองภาษาทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย ตอนนี้มีอะไรใหม่ๆเพิ่มครับ
ลูกสาวอายุ 2 ขวบ 9 เดือน แล้ว เค้าพูดและฟังภาษาไทยได้ รู้เรื่องและเข้าใจหมดแล้ว สามารถพูด ENG ได้เป็นคำๆ ไม่เป็นค่อยได้เป็นประโยค
จากที่ได้ศึกษาวิธีการต่างๆ ที่ผู้มีประสบการณ์แต่ละท่านได้นำมาเขียนไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และได้ลองนำไปปฏิบัติอยู่ 2 สัปดาห์ พบว่ามีข้อสงสัยอยากขอคำแนะนำดังนี้
1. เมื่อเราพูด Eng ( แต่ยังไม่ได้ตลอดเวลานะค่ะ ใช้วิธี OTOL ) แต่มีบางประโยคที่เรานึกไม่ออกก้พูดไทยกับลูกไปเลย บางครั้งเราพูด eng เค้าก็พูดไทย พอเราให้เค้าพูด eng อีก เค้าก็ถามว่า แม่พูดว่าอะไร ที่นี้เราควรจะตอบเค้าอย่างไรดี จะอธิบายเป็นไทยได้หรือไม่ค่ะ
2. คำศัพท์บางคำถ้าเค้ารู้พอเราพูด eng เค้าก็ฟังเฉยๆ แต่ตอบกลับเป็นไทย ควรแก้ไขอย่างไร
3. บางคำเราพูด eng แต่เค้าไม่รู้ความหมายเค้าถามแม่ มันคืออะไร เราจะแปลให้เค้าฟังได้หรือไม่ หรือว่าควรจะทำอย่างไรดี ส่วนใหญ่จะเป็นพวกคำกริยา เช่น finish (พูดตอนอาบน้ำเสร็จแล้ว ) เค้าถามแม่ทันที finish คืออะไร
บางเหตุการณ์ เช่น Give me some milk please พอกินหมดบอกว่าจะขออีก แม่สอนให้พูดว่า I want some more please เค้าเถียงทันทีทีว่า some milk นะ ไม่ใช่ some more แม่อึ้ง่ะ พูดไม่ออกเลย เหตุการณ์อย่างนี้แม่จะทำอย่างไรดี
ดูการ์ตูนถ้าเป็นคายุ เค้าจะไม่ชอบบอกว่าเบื่อฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าเป็น Gogo จะชอบมากกว่าเพราะเป็นประโยคสั้นๆ
Tags:
Permalink Reply by Pat on March 20, 2011 at 3:54pm 1. พยายามอธิบายเป็นภาษาอังกฤษ ใช้ศัพท์ง่ายๆอธิบาย (เท่าที่จะทำได้)
2. พูดกลับซ้ำประโยคที่เค้าพูดมาแต่เป็นภษาอังกฤษค่ะ Do you mean ........ You want to say this.............
3. พยายามแปลเป็นภาษาอังกฤษ หรือใช้วิธีทำให้ดูว่าที่พูดหมายถึงอะไร
เช่น finish (พูดตอนอาบน้ำเสร็จแล้ว ) เค้าถามแม่ทันที finish คืออะไร Finish mean you done taking shower. You finish your shower. You're all clean now.
Permalink Reply by พี่ฟ้าใส น้องไออุ่น on March 23, 2011 at 12:49pm ฟังเยอะๆ ค่ะ อาจจะเป็นการ์ตูนของเด็กที่ง่ายๆ ก่อน พอเราเริ่มคุ้นหู สำเนียงเราก็จะค่อยๆ ดีขึ้นค่ะ
อ้อใช้วิธีฟังเพลงเด็ก การ์ตูนเด็กในรถค่ะ พอนานๆ เข้ามันจะซึมซับเอง
เรื่องการพูดต้องฝึกฝนค่ะ พูดบ่อยๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แรกๆ ถ้านึกคำศัพท์ไม่ออกก็เลี่ยงไปใช้คำที่ใกล้เคียง ที่ง่ายๆ
พยายามบังคับตัวเองให้ไม่พูดไทยค่ะ อ้อใช้วิธีนี้ คำไหนติดก็มาหาความรู้เพิ่มในเว็บนี้เป็นหลัก หรือไม่ก็ถาม Google
คุณแม่ไม่ต้องห่วงเลยค่ะเพราะลูกชายคนโตปีนี้เรียนอยู่ ม.2 สำเนียงเขาพูดเหมือนฝรั่งเลย พอเด็กเขาเข้าโรงเรียนเขาก็จะเรียนรู้และพัฒนาตัวของเขาเองเพราะตามโรงเรียนส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้วิชาภาษาอังกฤษเขาจะมีอาจารย์ชาวต่างชาติมาสอนชั่วโมง conversation ส่วนแกรมม่าจะเป็นอาจารย์คนไทยสอน เพราะตอนนี้ภาษาอังกฤษบางคำเราไม่แน่ใจว่าออกเสียงถูกหรือเปล่าก็จะถามลูกคนโตค่ะ ปีใหม่ที่ผ่านมาหลานเขยมาจากอังกฤษเราคุยกับเขาได้แต่เขาฟังเราเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างส่วนลูกชายคนโตเขาคุยกันเหมือนไปอยู่เมืองนอกด้วยกันมาเลยค่ะ อาจจะเป็นพราะว่าเขาได้พูดและฟังอาจารย์ต่างชาติเขาบ่อยๆ ทุกๆ วันและทำให้เขาเกิดความเคยชินในสำเนียง ไม่ต้องกังวลค่ะ
ขออนุญาตให้คำแนะนำตามประสบการณ์จากการสอนและพัฒนาเด็กนานาชาติ, เด็กพิเศษด้านภาษา, และเด็กไทยในอเมริกา
เพ็ญเข้าใจคุณแม่ที่ว่า มีความประสงค์ที่จะให้ลูกเรียนรู้ภาษาอังกฤษแต่เยาว์วัยนอกเหนือจากภาษาไทย
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแห่งการสื่อสารทั่วโลก โรงเรียนเอกชนหรือรัฐบาลในเมืองไทยให้ความสำคัญมาก
โดยปัจจุบันนี้ เด็กต้องเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ 2 ขวบขึ้นไปเพื่อที่ว่าเวลาเข้าเรียนอนุบาล จะได้เรียนไวและเรียนทันเพื่อน
ยิ่งเรียนรู้ภาษามากเท่าไหร่ ก็จะช่วยสร้างฐานะการงานได้มาก หรือที่ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่
บางคนก็อยากให้เด็กฉลาดวัยในภาษาอื่นๆและสอบได้ดีหรือสอบผ่านเมื่อเข้าโรงเรียน
ซึ่งหลักความจริงแล้ว หลักการเรียนรู้ภาษาอื่นๆหรือภาษาอังกฤษนั้น ขึ้นอยู่กับการพัฒนาการของเด็กแต่ละคน
บางคนก็อาจจะมีการพัฒนาการเรียนรู้ช้ากว่า ซึ่งอาจจะเกิดจากเซลล์ในสมองหรืออารมณ์ แต่ก็ยังแก้ได้บ้าง
หากหมั่นฝึกฝนอย่างมีความสุขแต่เยาว์วัยและไม่รังเกียจภาษาอื่นๆ
เพ็ญจึงอยากจะขอร้องให้คุณพ่อคุณแม่และผู้ใหญ่ทุกคนเห็นใจและเข้าใจในตัวเด็กบ้างนะคะ
อย่าลืมนะคะว่า "นี่คือภาษาที่สองของเด็ก" จำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่จะต้องเรียนรู้การหัดพูด เมืองไทยเก่งในการเรียนรู้แกรมม่า
บางคนฝึกพูดตอนอายุใกล้ 40 ปีก็ยังไม่สายเกินไปนะคะ ยังไงๆแกรมม่าก็ยังอยู่ในความทรงจำบ้างค่ะ พี่สาวดิฉันไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษมา 31 ปีเต็มๆ พอกลับไปเรียนภาษาอังกฤษเพียงแค่ 1-3 ปี เธอสามารถพูดได้ 65-85%
ก่อนที่จะสอนภาษาอะไรก็ตาม ผู้ใหญ่หรือผู้สอนต้องคอยสังเกตและคำนึงถึง (อย่าลืมไปว่า "นี่คือภาษาที่สองของเด็ก")
1. พื้นฐานในการพัฒนาการตามวัยของเด็กแต่ละคน ไม่ว่าจะสอนภาษาใดๆก็ตาม เช่น
- เด็กเบบี้จะพัฒนาเรียนรู้และโต้ตอบภาษาด้วยเสียง อู้อี้ แอ้ แอ้ และเลียนแบบด้วยการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์
ได้โดยจาก การฟัง, การมองหน้าและท่าทางปฏิกิริยาบทของผู้ใกล้ชิดหรือผู้ใหญ่...
- เด็กเตาะแตะวัย 12-18 เดือน พัฒนาการออกเสียงแค่ 1-2 คำสั้นๆ เช่น milk, more, go, no, Dada, MaMa
- เด็กเตาะแตะวัย 18-24 เดือน พัฒนาการพูดประโยคสั้นๆ หรือแค่ 2 คำสั้นๆขึ้นไป ที่อาจไม่ตรงตามแกรมม่า
เช่น no more, want more, me want more, go there, carry me, here,
- เด็กวัย 2-3 ปี พัฒนาการพูดประโยคได้อย่างน้อย 3 คำขึ้นไป เช่น I want more, some more milk please,
I don't want that, did you see that, I want it, I don't want it, I love you
2. วัย 0-4 ปี การเรียนรู้แกรมม่าหรือการเขียนและการอ่านยังไม่เน้นมากนัก และไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ก็ไม่จำเป็นที่จะไปเน้นการออกเสียงให้ชัดเหมือนเจ้าของภาษานั้นๆ ก็เหมือนกับการร้องเพลง ควรใช้เสียงอันไพเราะของตัวเองเปล่งเสียงออกมา ให้ความภูมิใจและรักเสียงกับสิทธิของตัวเด็กเองหรือผู้ใหญ่เองก็ตาม
สิ่งที่สำคัญสำหรับเด็กก็คือ ขอให้เด็กได้พัฒนาการฟัง, เข้าใจความหมายของคำและประโยค, รู้จักโต้ตอบหรือแสดงออกและสามารถพูดได้, เด็กออกเสียงได้มากน้อยแค่ไหน, พัฒนาคำศัพท์ตามวัยได้ถึงไหน
3. คำที่เหมาะสมตามวัย เช่น เด็กควรจะเรียนรู้อะไรก่อน..สอนคำอะไรบ้างตั้งแต่เกิด..
4. ความถนัดในการเรียนรู้ภาษาของเด็ก เช่น เด็กบางคนถนัดหรือรับรู้ได้จากการอ่าน, บางคนรับรู้ได้จากการมองภาพและให้อ่าน,
บางคนก็ถนัดและรับรู้ได้จากการสัมผัส
5. การพัฒนาของตัวเซลล์ในสมองมีมากพอที่จะให้เด็กรับรู้ที่จะเรียนภาษาหรือเข้าใจภาษาได้มากน้อยแค่ไหน
6. เด็กมีอารมณ์ที่จะเรียนรู้หรือพร้อมหรือเปล่าในเวลานั้น
7. ผู้ใหญ่มีเทคนิคในการสร้างความสนใจในการเรียนรู้ภาษาในตัวเด็กได้อย่างไร
เด็กมีความสนใจมากน้อยอย่างไร หรือว่าไม่อยากที่จะเรียนรู้จากการถูกบังคับจนเด็กรังเกียจที่จะเรียนรู้ภาษา
เพ็ญหวังว่าข้อคำแนะนำดังกล่าวข้างต้นอาจจะช่วยคุณแม่ได้บ้างนะคะ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของครูเพ็ญค่ะ ต้องของฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ด้วยคนนะค่ะ
© 2025 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.
Powered by