เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย
Tags:
1 เมื่อวานนี้ ตอนลูกตื่น พ่อก็ไปประชุมแล้ว (เกิดขึ้นแล้ว ทั้ง2เหตุการณ์)
-> Yesterday when you woke up, daddy had gone to a meeting already.
2 พรุ่งนี้เช้า กว่าลูกจะตื่น แม่ก็ออกไปทำงานแล้ว
-> By the time you wake up tomorrow morning, I'll be gone to work.
3 สัตว์อะไรไม่มีหาง what animals have no tail หรือ what animals don't have tail.
-> ได้ทั้ง 2 แบบครับ (หากถามถึง animals หลายๆ ตัวว่ามีหางไม๊ น่าจะใช้ tail เติม s ครับ)
4 การใช้prevent กับprotect เช่น use umbella to prevent us from getting wet. การเลือกใช้มีหลักการมั้ยคะ
-> Protect จะหมายถึง ป้องกันคน หรือ สิ่งของ จากอันตราย, ความเจ็บป่วย, อะไรต่าง ๆ หรือสถานการณ์ที่ไม่ดี จะใช้ "protect someone/something from/against [noun]"
แต่ Prevent จะหมายถึง ป้องกันบางสิ่ง "ไม่ให้เกิดขึ้น" หรือ คน "ไม่ให้ทำบางอย่าง" ซึ่งบางสิ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย หรือ ไม่ดี และจะใช้รูปแบบต่างกันคือ "prevent someone/something from [verb+ing.]" ครับ
5 เสื้อนี้หลวมไป ต้องเย็บเข้า ,สั้นไป ต้องขยายออก
-> This shirt is too big. It must be taken in. / The shirt is too short. It must be lengthened.
(take in = แก้เสื้อผ้าให้เล็กลง, let out = แก้เสื้อผ้าให้ใหญ่ หรือยาวขึ้น; lengthen = ทำเสื้อผ้าให้ยาวขึ้น, shorten = ทำเสื้อผ้าให้เล็กลง)
6 อร่อยกว่า กลิ่นดีกว่า
-> It tastes better/it's more delicious. It smells better/nicer.
7 แม่รักลูกแบบไม่มีเงื่อนไขค่ะ
-> I love you unconditionally. หรือ My love for you is unconditional.
8 โทรศัพท์ดังและวางสายไปแล้ว คำว่า วางสายแล้ว พูดอย่างไรคะ
-> The phone rang and stopped.
9 ข้อดี ข้อเสีย ของการมีลูกช้า ก็คือ (ต้องการเล่าให้ลูกฟังค่ะ)
-> The good and bad things about having a kid/child late in life are.....
ขอบคุณครับคุณชุติมา ผมเรียนจบมหาลัยที่สอนด้วยภาษาอังกฤษเป็นหลัก (แต่ไม่ใช่นานาชาตินะครับ) และก็ได้ทำงานเอกชนที่ต้องค้าขายกับต่างชาติ เลยได้ใช้ประจำ จริง ๆส่วนตัวชอบภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กเพราะเคยไปเปิดหนังสือภาษาอังกฤษสวย ๆ ที่มีภาพ แล้วก็เลยชอบ เลยทำให้ตัวเองคิดว่าโตขึ้นมาต้องอ่านพวกนี้ให้ได้ ก็เลยเป็นเหตุการณ์ที่จุดประกายเล็ก ๆ ตั้งแต่นั้นมา เวลาเราชอบอะไรซักอย่าง มันก็ทำให้เราหมกมุ่นกับมันได้โดยไม่เครียด และท้าทายดีด้วย เป็นอย่างนี้ล่ะครับ :)
ขอถามข้อ 2 ค่ะ
By the time you wake up tomorrow morning, I'll be gone to work.
ใช้รูปประโยคแบบไหนค่ะ
เป็นแบบนี้ครับ (ไม่ทราบตอบตรงคำถามหรือเปล่า หากไม่ตรง รบกวนถามอีกทีนะครับ)
- By the time you wake up tomorrow morning, I'll be gone to work. = I'll have gone to work before you wake up tomorrow. คือใช้ Future perfect tense เพื่อต้องการบอกว่า ก่อนเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในอนาคต (ในที่นี้ = before you wake up tomorrow) อีกเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้น และจะสิ้นสุดลงก่อนแล้ว ครับ
I'll have gone to work before you wake up tomorrow. คือใช้ Future perfect tense
เป็นเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต หรือจะเกิดขึ้นแน่นอนในอนาคต ใช่ไหมค่ะ
จะเป็นรูป Subject + will + have/has + v3
เช่น My parents will have been married for ten years in August.
คือ Future Perfect Tense จะใช้ในกรณี:
1. อธิบายถึงเหตุการณ์หนึ่งที่จะจบลง ก่อนเวลาหนึ่ง หรืออีกเหตุการณ์หนึ่งในอนาคต เหมือนประโยคว่า Before you wake up tomorrow, I'll be gone. หรือ The ferry will have left by now. = เรือคงออกไปแล้วหล่ะ (คือเรือออกไปแล้ว ก่อนที่เราจะไปถึงท่าเรือ)
2. อธิบายถึงเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และจะต่อเนื่องเลยช่วงเวลาที่พูดถึงในอนาคต อันนี้ก็เหมือนกับประโยคที่คุณรัชนียกมาครับ My parents will have been married for ten years in August.
ขออนุญาติถามด้วยคน
Subject + will + have/has + v3 ทำไมกลายเป็น Subject + will + be + v3 ได้ล่ะ
ผมดูยังคิดว่า present future + passive . อดสงสัยไม่ได้
จริง ๆ ตอนที่อธิบาย ผมไม่ละเอียด และตกหล่นไปหน่อย คือ I'll be gone ตั้งใจจะบอกว่า มีความหมาย เหมือนเป็น Future perfect tense (= I'll have gone) แต่มีรูปแบบประโยคFuture Simple tense ธรรมดา เพราะ be + gone จะมีหมายถึง "ไม่อยู่แล้ว" ดังนั้น:
By the time you wake up, I'll be gone. = By the time you wake up, I'll have gone.
(จะไม่นิยมใช้ I'll have been gone เพราะ ความหมายของ be gone จะสื่อไปในทาง perfect tense ด้วยตัวเองอยู่แล้ว)
"gone" ที่มาจาก go เป็นกริยาที่ไม่ต้องตามด้วยกรรม (intransitive verb) ดังนั้น จะไม่สามารถใช้เป็น "passive voice" ได้ เพียงแต่ที่ใช้หลัง be ได้เพราะใช้เป็นแบบ adjective เพราะ gone เป็นได้ 2 รูปแบบ คือ:
1. Past participle verb (verb ช่อง 3) ใช้กับ perfect tense (= ไปแล้ว)
2. Adjective ใช้ตามหลัง verb to "be" (=ไม่อยู่แล้ว/หายไปแล้ว หรือ เสียชีวิตไปแล้ว)
แบบที่ 2 ก็ใช้ และเจอกันบ่อย ๆ ในชีวิตประจำวันเช่น:
- My toy is gone. Do you know who has taken it away?(= ของเล่นไม่อยู่แล้ว/หายแล้ว แม่รู้ไม๊ใครเอาไป?)
- Don't be gone (for) too long. (= อย่าหายไปนานนะ)
- She's has been gone for years, but he still thinks of him often.
(= เธอตายไปหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังคิดถึงเขาบ่อย ๆ)
ขอบคุณครับ
เข้าใจก็เพราะตรงนี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
"gone" ที่มาจาก go เป็นกริยาที่ไม่ต้องตามด้วยกรรม (intransitive verb) ดังนั้น จะไม่สามารถใช้เป็น "passive voice" ได้ เพียงแต่ที่ใช้หลัง be ได้เพราะใช้เป็นแบบ adjective เพราะ gone เป็นได้ 2 รูปแบบ คือ:
1. Past participle verb (verb ช่อง 3) ใช้กับ perfect tense (= ไปแล้ว)
2. Adjective ใช้ตามหลัง verb to "be" (=ไม่อยู่แล้ว/หายไปแล้ว หรือ เสียชีวิตไปแล้ว)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่งจะรู้ว่า gone เป็น intransitive verb ตอนเรียนไม่เคยจำไอ้พวกนี้ได้เลย มีเยอะเกินท่องไม่ไหว สอบเกือบตกประจำ อิอิ
ยังไงก็ขอบคุณที่ให้ความกระจ่างอีกรอบนะครับ
© 2024 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก. Powered by