เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม

นำมาฝากผู้ปกครอง เรียนพิเศษภัยเงีบยของลูก

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของแยมเองค่ะ เป็นลูกของพี่สาว ชื่อน้องนัท ลูกของพี่สาวอายุ 8 ขวบ เรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ ก็อย่างที่รู้กันว่ากรุงเทพฯมีการแข่งขันกันสูง เกี่ยวกับเรื่องเรียน น้องนัท ก็ไปโรงเรียนปกติ ตอนเรียนอนุบาล ผลการเรียนของแกก็อยู่ในระดับกลาง ๆ แต่พอขึ้น ป.1 ก็เริ่มไม่มีเวลาเล่นสนุกเหมือนก่อน ตารางการเรียนคือ หลังเลิกเรียน เรียนพิเศษต่อถึง 2ทุ่ม วันเสาร์เรียนภาษาอังกฤษ ครึ่งวัน ไปเรียนภาษาจีนครึ่งวัน วันอาทิตย์ไปเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วงปิดเทอมก็เรียนอีก แต่ไม่มีการเรียนที่รีแล็คให้เลย ไม่มีไปเรียน ว่ายนน้ำ เปียนโน มีแต่วิชาการล้วน ๆ น้องนัทเริ่มไม่เหมือนก่อน ซึ่ม ไม่เล่น ไม่พูดไม่จา กลายเป็นเด็กไม่ร่าเริงเหมือนเดิม แยมก็เข้าไปถามว่า น้องนัทเป็นอะไรไปลูกไม่ราเริงเลย น้องนัทก็ร้องไห้เหมือนเก็บกด ความรู้สึกอัดอั้นตันใจ ก็เริ่มออกมา น้องนัทร้องไห้อยู่นาน แยมก็ปลอบจนแกเงียบแล้วให้แกเล่าให้ฟัง แกบอกว่าน้องนัทไม่เคยได้ไปเดินเล่น ไม่เคยไปเที่ยวสวนสนุก หรือไปเที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ เลย แม่ให้แต่นัทไปเรียนโน้นนี่อยู่ตลอดเวลา แม่ไม่รักนัทหรือคะถึงได้ไม่อยากให้นัทอยู่บ้าน เวลานัทไปเรียนพิเศษกลับมา นัทก็ง่วงนอนแล้ว นัทไม่ได้คุยกับแม่เหมือนก่อน ไม่ได้กอดไม่ได้หอมแก้มแม่ด้วย แล้วแกก็ร้องไห้ใหญ่เลย แยมถามว่าแล้วที่ไปเรียนพิเศษ น้องนัทรู้เรื่องไหมลูกที่น้องไปเรียน น้องนัทก็บอกว่า ไม่รู้เรื่องเลย หนูก็เรียนไปอย่างนั้น แล้วทำไม่ลูกไม่บอกคุณแม่ว่าลูกไม่อยากไปเรียนพิเศษ หนูกลัวแม่เสียใจที่มีลูกไม่ได้เรื่องอย่างหนู หนูไม่อยากให้แม่โกรธ พอแยมได้ฟัง ก็ใจหายว่า คุณเคยถามลูกสังนิดไหมค่ะ ว่าแกต้องการอะไรบ้าง แกต้องการไปเรียนพิเศษไหม ถ้าผลการเรียนของแกไม่ดีก็น่าที่จะมีเงื่อนไขว่าในชั่วโมงเรียนขอให้แกตั้งใจเรียน แต่ถ้าผลการเรียนออกมาไม่ดีลูกต้องเรียนพิเศษนะ ให้เขามีทางเลือกบ้าง ให้มีเวลาได้เล่น ออกกำลังกายบ้าง แยมคิดว่า พ่อแม่รักลูกทุกคนแต่ถ้ายัดเยียดให้มากเกินไป ลูกอาจกลายเป็นเด็กที่ไร้ชีวิตชีวา ไร้ความสดชื่น เรื่องนี้แยมนำมาคุยให้ฟังเพราะเป็นเรื่องที่บางทีเราอาจคาดไม่ถึง ว่าลูกจะรู้สึกแย่แบบนี้ เพราะเรารักลูกอยากให้ลูกได้แต่สิ่งดี ๆ ขอให้คุณถามความเห็นเขาสักหน่อย อาจจะไม่เป็นแบบหลานของแยม คุณยังอยากเห็รอยยิ้มของลูกอยู่อีกไหม หวังว่าที่นำมาฝากอาจทำให้เห็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆว่าถึงหนูจะยังเด็กแต่หนูก็มีหัวใจนะคะ

Views: 9115

Reply to This

Replies to This Discussion

จริงๆ ค่ะ เมื่อไหร่ระบบการเรียนการสอนของเมืองไทยจะเลิกการท่องจำและนำไปสอบ เสร็จจากนั้นก็ลืม ไม่ก่อเกิดประโยชน์อะไร เห็นแล้วสงสารเด็กๆค่ะ ต้องทนรับสภาพแบบนี้ต่อไป ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับพ่อแม่ว่า คาดหวังอย่างไรกับตัวเขา คือให้เราอยู่รอดได้ หรือตัองเป็นที่ 1
ป้าขอร่วมออกความคิดเห็นหน่อยนะคะ จริง ๆ เรื่องการเรียนของเด็กนี่ คือ การปฏิรูปการศึกษาทำได้อยากจริง ๆ ค่ะ ส่วนหนึ่ง ก็ต้องโทษยุคดึกดำบรรพกันมาเลยค่ะ การปลูกฝังค่านิยมที่ผิด ๆ เรื่องการแข่งขัน เด็กเกิดก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เพียงแค่เริ่มต้นมีพัฒนาการ ก็ยังถูกนำมาเปรียบเทียบกันเสียแล้ว ว่าใครเก่งกว่ากัน ใครทำได้เร็วกว่ากัน ดีกว่ากัน ป้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้วางรากฐานทางการศึกษา จึงนับเหมือนการตีกรอบ บีบคั้นให้คนในสังคม ต้องมาห่ำหั่นกันเองขนาดนี้ (ทุกวันนี้มันถึงได้เป็นปัญหากันจัง) งานนี้ก็เลยไม่รู้จะไปโทษใครดีนะคะ แต่อย่างไรก็ตามป้าคิดว่า ในเมื่อเราไม่สามารถไปแก้ไขอดีตได้ แต่เราก็ยังทำวันนี้ได้ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใครได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเราเองได้

กรณีที่คุณแยมเล่ามานั้น น้องนัทน่าสงสารมากค่ะ เด็กอายุแค่ 8 ขวบ แต่กลับถูกกดดันบีบคั้นทางอารมณ์มาก อันนี้จะมีผลไปจนถึงเขาโตเชียวนะคะ หากไม่รีบแก้ไข ป้าคนหนึ่งละค่ะ ที่ไม่เห็นด้วยเลยที่ให้เด็กวัยอนุบาล-ปฐมวัย ต้องเรียนพิเศษ มันจะเกิดประโยชน์อะไรละคะ หากเด็กทำไปเพราะถูกบังคับและไม่มีความสุขที่ได้สิ่งนั้น การพัฒนาการเรียนการสอนของเด็กในวัยนี้มันควรจะเป็นไปตามธรรมชาติ ตามที่ควรจะเป็นมากกว่าค่ะ อยากเปรียบเทียบง่าย ๆ (ไม่รู้คนอ่านจะเข้าใจป้าไหมเนี้ย) มีอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อนบ้านนอกชานเมืองเชียงใหม่นั้น (อำเภอรอบนอก) มีการปลูกลำไย , ลิ้นจี้ กันมาก ต่อมามีนายทุนหาปุ๋ยมาให้ ประเภทปุ๋ยเร่งโต ประมาณนั้นละค่ะ เพื่อส่งออก แล้วก็เป็นที่ตื่นเต้น ตื่นตัวกันมากสำหรับเกษตรกรแถวนั้น เพราะผลผลิตที่ได้ ลูกทั้งโตและดก ทำเงินได้อยู่เชียวค่ะ แล้วยังไงรู้ไหมค่ะ สิบปีต่อมา ผลผลิตนั้นด้อยคุณภาพ ผลผลิตน้อยลง แถมดินแถวนั้นก็พาลเสียหายไปด้วย การปลูกพืชพันธ์ไม้ต่าง ๆ ไม่ได้ผลตามที่เคยได้เสียแล้ว สร้างความเสียหายกันไปถ้วนหน้า แล้วจึงต้องย้อนกลับมา เหมือนมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ หันมาใส่ใจธรรมชาติมากขึ้น ต้องมาเริ่มต้นปรับดินใหม่ ปุ๋ยที่ใช้ก็เป็นปุ๋ยที่ได้จากธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี (เพราะมีผลตกค้างไปในผลผลิต-สินค้าตีกลับเพียบ)

นั่นอาจเพราะความโลภธรรมดา ของ "มนุษย์" ค่ะ คนไม่เคยมีก็อยากได้อยากมี เห็นคนอื่นเขาทำได้ ก็ไปแข่งกับเขา เลียนแบบเขา แต่ลืมคำนึงถึงผลที่จะตามมาไงค่ะ การศึกษาบ้านเราก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ และเป็นมานานแล้วซะด้วย หลายโรงเรียนอนุบาลปัจจุบันจึงเลือกจัดการเรียนการสอนแบบ Montessori คือ เน้นการเรียนจากธรรมชาติพื้นฐานของเด็ก ให้อิสระ ให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง จากสภาพแวดล้อม จากการทำกิจกรรม แต่ไม่เน้นให้ทำ "การบ้าน" จุดเด่นของ Montessori นั้น คือทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรา สามารถนำมาเป็นสื่อการเรียนการสอนได้หมด ทั้งครู-เด็ก (หรือผู้ปกครอง) สามารถเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันได้ บางโรงเรียนก็นำหลักธรรมคำสอนแบบไทย ๆ ตามหลักพุทธศาสนาเพิ่มเข้าไปด้วย ก็ทำให้ได้หลักสูตรผสมผสานไปอีกแบบนะคะ

ที่เล่านี้เพียงแต่ ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ป้าเคยถามเขาว่า ทำไมไม่ให้ลูกเรียน รร.แบบนี้ ป้าเชียร์มาก หลานป้าก็เรียนแบบนี้ เด็กไป รร. มีความสุขมาก วัยอนุบาลคุณจะเอาอะไรไปยัดใส่สมองเขาให้มากมายจริงไหมค่ะ คนที่เลี้ยงลูกเองหากอยู่บ้านก็สามารถสอนเองได้ค่ะ แต่หากไม่สามารถหรือ เวลาไม่พอก็ต้องไป รร.เร็วขึ้นเท่านั้นเอง ตอนหลานสาวอายุ 2 ขวบกว่า แกร่ำร้องอยากไป รร. พอพาไป ทุกวันก็ต้องสนุกกับเรื่องเล่าของน้องค่ะ วัน ๆ ไม่ได้ไปเรียนอะไร เหมือนเล่นนะคะ เด็กก็สนุกสิค่ะแบบนี้ เช้าเข้าแถว สวดมนต์ ปฏิญาณตน เสร็จแล้ว ก็เดินกันไปเป็นแถว ไปดูเป็ดว่ายน้ำที่สระ เอาอาหารไปโปรยเลี้ยงเป็ด-ไก่ เดินต่อไปดูโรงเพาะเห็ด ซึ่งเด็ก ๆ ได้มีส่วนร่วมปลูก สาย ๆ เข้าห้องเรียนไปทำกิจกรรมในห้องตามรายวิชา ฝึกขีด ๆ เขียน ๆ ไปตามเรื่อง เน้นฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก ให้แข็งแรง เตรียมพร้อมสำหรับการเรียนรู้ในวันข้างหน้า ใกล้เที่ยงเดินเป็นแถวไปกินข้าว ล้างจานเอง (ตามแต่จะทำได้ เพราะยังไงก็มีแม่ครัวมาเก็บไปจัดการล้างอีกรอบ) เสร็จแล้วก็เข้าห้องน้ำ แปรงฟัน เข้านอน ตื่นมาก็ทำกิจกรรมอีกเล็กน้อย แล้วก็เล่นที่ Playground รอเราไปรับกลับบ้าน แถมมีออกไปทัศนศึกษานอกสถานที่อีกด้วย

แต่ก็มีผู้ปกครองหลายคนก็จำเป็นต้องย้าย รร. ให้เด็ก เหตุผลหรือค่ะ ก็อย่างคุณอรดาว่ามั้งค่ะ เขาก็ห่วงบุตรหลานของเขาว่า ในเมื่อสังคมโลกกว้างภายนอก มันเป็นแบบปัจจุบัน มันไม่ได้สวยงามสนุกอย่างนี้ได้ตลอด เขาเกรงว่าเด็กจะตามการเรียนเพื่อนไม่ทัน หากต้องเข้าเรียนตามหลักสูตรปกติ เลยไปถึงสอบเข้ามหาวิทยาลัย รวมไปถึงการใช้ชีวิต (อยู่อย่างเอาตัวรอดให้ได้) ในโลกปัจจุบัน

เฮ้อ..พูดแล้วหนื่อยใจค่ะ (เขียนมาซะยาวอีกละ) แต่ยังไงเสียนะคะ หากสังคมเราเปิดกว้างขึ้น ลดภาวะการแข่งขันลง น่าจะดีกว่านี้มากเชียวค่ะ ป้ายังย้ำความคิดเดิมของตัวเองว่า "การศึกษาต้องค่อยเป็นค่อยไป ตามสภาพความพร้อมของแต่ละบุคคล" ค่ะ
เห็นด้วยค่ะป้าสุภา อ่านที่ป้า-สุภาเล่ามาแล้วสนุกจังเลยกับกิจกรรมของเด็กอนุบาลนะคะ ที่จริงถ้าเราเริ่มต้นอนุบาลที่ดีแบบนี้ จริงๆรร.ประถมหรือมัธยม น่าจะมีแบบนี้บ้างนะคะ แต่สังคมปัจจุบันคงจะเป็นไปได้ยากกกกกกกกก
มีแต่การแข่งขันไม่มีที่สิ้นสุด น่าเห็นใจหลานของคุณแยมค่ะ ก็ไม่รู้ว่าถึงทีลูกเราตอนนั้นจะเป็นยังไง
เห็นด้วยกับป้าสุภาค่ะ เมื่อก่อนลูกก็เรียนแบบ Montessori ค่ะ เขามีความสุขมาก กลับมาจะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟังตลอด ครูก็ใส่ใจเด็ก ๆ มาก จนลูกติดครู แต่พอย้ายโรงเรียนมาเรียนอนุบาลตามเกณฑ์ ดูลูกไม่ค่อยมีความสุขเท่าที่ควร บ้างครั้งร้องอยากกลับไปเรียนโรงเรียนเดิม ที่เรียนใหม่มีการแข่งขันกันมากค่ะ เด็ก ๆ เรียนพิเศษทุกคน บางคนเรียนทุกวันเหมือนน้องนัท ส่วนลูกเรายังขี่จักรยานเล่นอยู่เลย สุดท้ายกลัวลูกเรียนไม่ทันเพื่อนในห้องเลยต้องส่งเรียนพิเศษวันเสาร์ครึ่งวัน (ตามความสมัครใจของลูก)
ตอบแม่น้องเนยค่ะ จริง ๆ กิจกรรมมีมากกว่านั้นเยอะเลยค่ะ สนุกจริง ๆ ค่ะ ฟังหลานกับมาเล่าทุกวัน ไม่ค่อยซ้ำกันเลย บางวันเช้าเข้าครัวไปช่วยแม่ครัวหุงข้าว ช่วยในที่นี้ เขาก็แค่ให้เด็กตักข้าวสารมาใส่หม้อนะคะ แล้วตอนซาวข้าวเด็ก ๆ ก็ได้เอามือลงไปกวน ๆ (สนุกเขาล่ะ) บางบ่ายก็ลงดำนากันเลยค่ะ หว่านเม็ดข้าวบ้าง (เด็กได้รู้ที่มาที่ไป เหน็ดเหนื่อยแต่สนุก) บางบ่ายก็ทำขนมกัน แพนเค้กบ้าง อบขนมเค้ก แล้วเด็ก ๆ ก็เอาของแต่งหน้าเค้กเอง ราดท๊อปปิ้งเอง เลอะเทอะแต่มันน่าสนุกจริง ๆ ค่ะ น้องชอบมาก
ถามป้าสุภาคะ ว่าโรงเรียนที่เล่าคือรุ่งอรุณหรือไม่ อยากให้ลูกไป แต่ไกลบ้านมากมีที่คล้ายกันที่อื่นแนะนำไหมคะ ขอบคุณค่ะ
ตอบคุณ Sirichan ค่ะ พอดีป้าอยู่เชียงใหม่น่ะค่ะ รร.ที่คุณถามนี่ กทม. หรือเปล่าค่ะ แต่ยังไงหากสนใจ รร.แนว Montessori นะคะ ลอง search หาจากกูเกิ้ลได้ค่ะ จำได้ว่ามีหลายโรงอยู่ แล้วลองพาน้องไปดู รร.ก่อนนะคะ หาที่ใกล้เรามากที่สุดประหยัดพลังงานในการเดินทางดีค่ะ

รร.ที่จัดการเรียนการสอนแบบนี้ มีแนวทางไม่ต่างกันมากนักหรอกค่ะ แต่ยังคงมาตรฐานหลักสูตรจากกระทรวงศึกษานะคะ ลองดูค่ะ
ในฐานะที่ผมอยู่ในวงการการศึกษา(ผู้ช่วยศาสตราจารย์) ขอไม่ออกความคิดเห็นยาวมากครับ เดี๋ยวของขึ้น เอาเป็นว่าที่ทุกท่านพูดนั้นถูกต้องทุกอย่างครับ การศึกษาไทยล้มเหลว และก็จะล้มเหลวต่อไปอีกนานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนๆๆๆๆๆๆครับ

RSS

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service