เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย
เมื่อวานได้อ่านบทความของครูเฟียต เรื่องการพัฒนาสำเนียงให้เหมือนเจ้าของภาษา (พี่หน่อยทิพวัลย์ ส่งมาให้อ่าน) เลยเข้าไปหาข้อมูลจากบล็อกส่วนตัวของครูเฟียตเพิ่ม เจอเรื่องนี้น่าสนใจ เลยอยากให้เพื่อน ๆ ได้อ่านด้วย ถ้าใครชอบลองไปหาอ่านเรื่องอื่น ๆ ของครูเฟียตจาก google ได้นะคะ
ขั้นตอนแรกสำหรับคนอยากฝึกฝนภาษาอังกฤษจนสำเร็จ: ตั้งเป้าหมายที่แน่วแน่
วันนี้อยากเล่าถึงกระบวนการที่จะทำให้เราฝึกภาษาอังกฤษให้ประสบความสำเร็จซึ่งมีข้อแนะนำดังนี้ครับ
1) ตั้งเป้าหมายที่แน่วแน่
คุณเคยคิดไหมครับว่า
“ทำไมคุณถึงอยากเก่งภาษาอังกฤษนัก?
ทำไมคุณถึงอยากมีสำเนียงเป็นฝรั่ง?
ถ้าคุณเก่งภาษาอังกฤษแล้ว
อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตคุณบ้างหล่ะ?”
ถ้า คุณพอใจกับสิ่งที่คุณเป็นอยู่พอใจกับสำเนียงของคุณแล้ว ก็จบกัน ไม่ต้องอ่านต่อแล้วนะครับ เพราะมันจะไม่มีแรงจูงใจอะไรให้คุณอยากจะฝึกเพื่อพัฒนาตัวคุณเอง (ก็คุณพอใจอยู่แล้วนี่) แต่ถ้าคุณไม่พอใจกับสำเนียงหรือทักษะภาษาอังกฤษของคุณที่เป็นอยู่มากเท่า ไหร่นี่แหละยิ่งจะทำให้คุณต้องรีบเปลี่ยนแปลงตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
ผมจะยกตัวอย่างยอดนิยมที่คนไทยมักจะอยากเก่งภาษาอังกฤษให้ดูนะครับ
- อยากได้งานดีๆ
เงินเดือนสูงๆ (แน่นอนต้องภาษาอังกฤษดี)
- อยากติดต่อทางธุรกิจกับชาวต่างชาติ(โอกาสรวยสูง)
- จะไปสอบชิงทุน สอบสัมภาษณ์งาน ฯลฯ
- อยากมีเพื่อนเป็นฝรั่ง (บางคนตั้งปณิธานอยากมีสามีหรือภรรยาเป็นฝรั่ง! ไม่ว่ากันครับถ้าจะเอามาเป็นเป้าหมายให้คุณฝึกภาษาอังกฤษ)
- อยากไปเที่ยวประเทศต่างๆ อย่างสนุกด้วยตนเอง ไม่พึ่งทัวร์
- อยากคุยกับฝรั่งที่ทำงานรู้เรื่อง จะได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- บางคนจะได้โปรโมตเลื่อนตำแหน่ง ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นตัววัดอันหนึ่งด้วย
- อยากไปทำงานที่ต่างประเทศ (ไปขุดทอง) เพราะได้เงินเยอะดี
ฯลฯ
แล้ว คุณหล่ะอยากเก่งภาษาอังกฤษไปทำไม? ตอบได้หรือยังครับ
ถ้าหาเป้าหมายได้แล้ว แนะนำให้ตั้งเป้าหมายในเรื่องของระยะเวลาที่อยากจะทำให้ประสบความสำเร็จด้วย ใครที่ยังไม่มีไอเดีย ผมมีข้อแนะนำว่าอย่างต่ำสุดคือประมาณ 3 เดือน อย่างสูงสุดไม่น่าจะเกิน 1 ปีนะครับ ยิ่งระยะเวลาสั้นเท่าไหร่คุณก็ยิ่งต้องทุ่มเทเวลาในการฝึกฝนมากขึ้นเท่านั้น สำหรับคนที่ฝึกทุกวัน(ไม่มีวันหยุดเหมือนคุณต้องกินเข้าทุกวันน่ะครับ) วันละไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง แต่ต้องฝึกอย่างถูกวิธีด้วยนะ คุณจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน ส่วนใครที่มีเวลาฝึกน้อยก็จะใช้เวลานานขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น ฝึกวันละหนึ่งชั่วโมงทุกวัน
ก็อาจจะใช้เวลา 6 เดือนจึงจะเห็นผล (ถ้าไม่ท้อแท้จนเลิกฝึกไปซะก่อน) ถ้าฝึกได้แค่ครึ่งชั่วโมง ก็อาจกินเวลาถึง 1 ปี ยิ่งกินเวลานานมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสฝึกจนประสบความสำเร็จก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น เพราะคุณอาจจะถอดใจกลางคันก่อนจะสำเร็จก็ได้
บางคนอาจจะคิดว่าทำไม ต้องฝึกถึงวันละ 2 ชั่วโมง นานจังไม่มีเวลา ผมอยากจะถามคุณกลับว่า คุณใช้ภาษาไทยวันละกี่ชั่วโมงครับ? ใช้ตั้งแต่ลืมตาตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอนเลยไม่ใช่เหรอครับต่อให้นอน 8 ชั่วโมงต่อวันด้วย คุณก็จะใช้ภาษาไทยถึง 16 ชั่วโมงต่อวันเชียว ทำไมไม่เห็นบ่นเลยหล่ะ! ก็แค่ฝึกภาษาอังกฤษวันละ 2 ชั่วโมง มันเทียบไม่ได้กับภาษาไทยที่คุณใช้ในแต่ละวันเลยนะครับ ใครไม่มีเวลา ผมแนะนำให้คุณตัดกิจกรรมบันเทิงบางอย่างออกจากชีวิตคุณไปก่อนสัก 3 เดือน เช่น งดดูละครไทยไป 3 เดือน (บางคนบอกทำยากมาก เพราะติดละครไทยเหลือเกิน ไหนจะ จำเลยรัก ช่อง 3 กำลังมัน สงครามนางฟ้า ช่อง 5 ก็สนุก ตบตีกันมัน...ไม่เถียงครับว่ามันสนุก แต่มันมีประโยชน์กับชีวิตคุณในอนาคตเท่ากับภาษาอังกฤษหรือเปล่าล่ะครับ? ถ้าคุณเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษมากกว่าละครพวกนี้ก็เลิกดูซะ แล้วเอาเวลามาฝึกฝนภาษาอังกฤษดีกว่า...บางคนหัวใสเปลี่ยนจากดูละครไทยไปดู ละครเกาหลีแทน แย่พอกันนะครับ ไม่ได้ทำให้คุณเก่งภาษาอังกฤษขึ้นมา...หันมาดูหนังฝรั่งฝึกภาษาอังกฤษดี กว่า...ขอแค่ 3 เดือนครับ คงไม่ถึงกับต้องไปเลิกที่ถ้ำกระบอกมั้ง ละครสมัยนี้ แป๊บเดียว มันก็ถูกกลับเอามาทำใหม่อีกละ หรือไม่ก็ซื้อวีซีดีเอาไว้ดูตอนคุณฝึกภาษาอังกฤษสำเร็จแล้วก็ไม่เลว..ถ้าอด ใจไม่ดูไม่ได้จริงๆ)
ผมอยากให้ข้อคิดในการตั้งเป้าหมายเรื่องระยะ เวลาอีกอย่างนึงนะครับ บางคนเรียนปี 4 ใกล้จบแล้ว คุณนับวันรอไปสอบสัมภาษณ์งาน ซึ่งถ้าเวลาเหลือน้อย คุณอาจจะฝึกไม่ทันก็ได้ ดังนั้นคุณควรดูว่า คุณจะได้ใช้ภาษาอังกฤษเมื่อไหร่ นั่นคือเวลาที่คุณจะต้องฝึกให้สำเร็จก่อนหน้าโอกาสนั้นจะมาถึงจริงๆ แล้วยิ่งฝึกสำเร็จได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีใช่ไหมครับ ลูกศิษย์ผมบางคนฝึกสำเร็จตั้งแต่ขึ้นชั้นม.3 ซึ่งผมดูแล้วว่าเด็กคนนี้อนาคตเค้าสดใสมากๆ อย่างตัวผมเองกว่าจะฝึกสำเร็จก็ล่อไปจบป.ตรีแล้ว แต่ก็ยังไม่สายเกินไปเพราะผมได้ใช้มันทั้งตอนสอบเรียนต่อป.โท ใช้ตอนสมัครงาน ใช้ตอนทำงานปัจจุบัน แค่นี้ก็โค-ตร คุ้มแล้วครับ เราจะเหนื่อยมากสุดช่วงแรกที่ฝึกฝนแหละครับ แต่ถ้ามันเป็นแล้ว มันจะเป็นเลยไม่ต้องฝึกอย่างเก่าอีกต่อไป เพราะฉะนั้นลำบากแค่ช่วงแรกแล้วคุณจะสบายช่วงหลัง (ช่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ คือภาษาอังกฤษของคุณดีกว่าชาวบ้าน โอกาสดีๆ มันก็วิ่งเข้ามาหาคุณน่ะครับ)
พูดถึงโอกาสดีๆ ผมเคยได้รับการติดต่อให้ไปลงเสียงภาษาอังกฤษประกอบวีดีทัศน์เปิดตัวบริษัท แห่งหนึ่ง ซึ่งลูกศิษย์ผมคนนึงแนะนำให้เจ้าของโปรเจกท์มาจ้างผม เค้าเอารถเบนซ์มารับผมไปเข้าห้องอัดเสียง ระหว่างอยู่บนรถเราก็คุยกัน เค้าก็ถามว่าผมจบจากที่ไหน ผมก็บอกป.ตรี จุฬาฯ ป.โท บางมดครับ (ไม่ได้จบนอก) ผมเลยถามเค้ากลับว่าแล้วพี่หล่ะจบไหน? เค้าบอกว่าผมจบจากอเมริกา ผมก็เลยถามเขาต่อว่า อ้าว...แล้วทำไมพี่ไม่ลงเสียงเองหล่ะ? พี่จบนอกแต่กำลังจะจ้างผมที่ไม่เคยเรียนนอกไปลงเสียงภาษาอังกฤษนี่นะ ฟังดูพิลึกชอบกล เค้าก็บอกว่า ก็นักเรียนนอกไม่จำเป็นต้องสำเนียงดีทุกคนนี่นา (ผมเห็นด้วยนะครับ บางคนสำเนียงดีจริงๆก็มี แต่บางคนสำเนียงก็ยังไทยอยู่เพราะไม่ได้ฝึกฝนเปลี่ยนสำเนียงให้เป็นฝรั่งก็ มี) ตอนนั้น ผมแอบภูมิใจเล็กๆ ว่าไม่ต้องเสียเงินไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา (จริงๆ แล้วไม่มีปัญญาหาเงินไปเรียนนอก) ถ้าตั้งใจจริง ก็เปลี่ยนสำเนียงได้ด้วยตนเองในประเทศไทยนี่แหละ ที่ภูมิใจคือขนาดนักเรียนนอกยังต้องมาจ้างผมไปพูดภาษาอังกฤษเลย ไม่เสียแรงที่ลงทุนลงแรงฝึกอย่างหนัก
พูดถึงเป้าหมายที่แน่วแน่ ครูเคทเคยเล่าให้ฟังว่ามีลูกศิษย์ท่านนึงอายุประมาณ 60 กว่ามาขอเรียนภาษาอังกฤษกับครูเคท ซึ่งครูเคทก็ประหลาดใจว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร? ปรากฏว่าเค้าบอกว่าในชีวิตนี้เค้าทำมาได้ทุกอย่างหมดแล้ว ก่อนเกษียณก็เป็นระดับผ.อ.คิดว่าไม่มีอะไรในชีวิตที่ทำไม่ได้ นอกจาก “ภาษาอังกฤษ” นี่แหละที่เรียนมาเท่าไหร่ ก็ยังไม่สำเร็จสักที เลยคิดว่าก่อนตายยังไงก็ขอฝึกภาษาอังกฤษให้สำเร็จให้ได้ ไม่งั้นนอนตายตาไม่หลับ ผมฟังแล้วขนลุกในความมุ่งมั่นของท่านนี้จริงๆ และก็รู้ได้ทันทีว่าเค้าต้องฝึกจนสำเร็จแน่ๆ เพราะมุ่งมั่นไปสู่ความสำเร็จมาก
ผมหวังว่าตัวอย่างพวกนี้จะทำให้คุณเริ่มคิดลงมือฝึกอย่างจริงจังสักทีนะครับ
แล้วไว้จะมาเล่าขั้นตอนต่อๆ ไป อีกทีนะครับ
: มีความกระตือรือร้นไปหาเป้าหมายนั้น
2. มีความกระตือรือร้นเดินทางไปหาเป้าหมายนั้น
ถึงแม้บางทีคุณมีเป้าหมายที่แน่วแน่แล้วก็ตามแต่ถ้าขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงกระตุ้นในการฝึกฝนให้สำเร็จแล้วล่ะก็ คุณอาจจะไปไม่ถึงเป้าหมายนั้นก็ได้ ผมอยากยกตัวอย่างคนที่ไปเรียนต่อที่เมืองนอก ทำไมคนเหล่านี้ถึงพูดภาษาอังกฤษได้แน่นอน(พูดโต้ตอบได้นะครับ สำเนียงอาจจะยังไทยอยู่แต่ก็สามารถสื่อสารกับฝรั่งได้) คุณเคยได้ยินข่าวว่ามีคนไทยไปอดตายในต่างแดนเพราะไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษ สื่อสารกับชาวต่างชาติหรือไม่ครับ? ผมมั่นใจว่าไม่เคยแน่นอน เพราะสัญชาติญาณของมนุษย์เราจะมีการปรับตัวดิ้นรนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ คนไทยที่อยู่ในต่างแดน
(โดยเฉพาะคนที่ไปอยู่กับสังคมที่มีแต่ฝรั่ง ไม่มีคนไทยคอยช่วยเหลือ) เค้าต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด (เป็นสัญชาติญาณของมนุษย์เรา) คือถ้าคุณพูดภาษาอังกฤษติดต่อกับเจ้าของประเทศเค้าไม่ได้ คุณจะอยู่ได้อย่างไร? จะสั่งอาหารกินยังไง? จะอยู่ตัวคนเดียวไม่คุยกับใครเลยได้ยังไง? ถ้าไปเรียนจะเรียนจบได้ยังไง? สิ่งเหล่านี้แหละครับที่เป็นตัวกระตุ้นในเค้าต้องพูดภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสาร กับคนที่นั่นให้ได้เร็วที่สุดเพื่อความอยู่รอด
ข้อคิดอีกอย่างคือ ไม่มีใครไอคิวต่ำเกินไปที่จะเรียนรู้ในการพูดภาษาต่างๆ หรอกนะครับ คุณดูอย่างคนไทยสิครับ
ทุกคนก็พูดภาษาไทยได้ทั้งนั้น ไม่มีคนไทยคนไหนที่เกิดมาแล้วพูดภาษาไทยไม่ได้เพราะโง่เกินไป เพราะฉะนั้น คุณอย่ามาอ้างนะครับว่าที่คุณพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เพราะไม่ฉลาดพอ ผมไม่เชื่อเด็ดขาดทุกคนสามารถพูดได้ทั้งนั้น มันสำคัญที่วิธีการฝึกฝนมากกว่าไม่ใช่ความฉลาดของแต่ละคน ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เพราะการฝึกฝนที่น้อยไป ไม่มีเวลาในการฝึกฝน หรือยังฝึกผิดวิธีธรรมชาติอยู่ ไม่ใช่ความฉลาดไม่พอของคนคนนั้นแน่นอน
คราวนี้คุณลองมองย้อนกลับมาตัวคุณเองที่อยู่เมืองไทย คุณมีเป้าหมายอยากเก่งภาษาอังกฤษแล้ว
แต่ความกระตือรือร้นหล่ะ คุณมีมากเพียงใด? ถ้าคุณพลาดเป้าหมายที่คุณวางไว้จากข้อ 1 อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตคุณ
ถ้าคำตอบคือ “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” คำตอบนี้น่ากลัวครับ เพราะมันแสดงว่าคุณไม่มีความกระตือรือร้นเลย ลองจินตนาการดูนะครับ ถ้าวันดีคืนดีหัวหน้าคุณเดินมาบอกว่า “เราจะย้ายคุณไปทำงานประจำอยู่ที่ต่างประเทศ ให้เวลาคุณเตรียมตัว 2 สัปดาห์” คราวนี้หล่ะแรงกระตุ้นของคุณเพิ่มขึ้นเต็มพิกัด คุณพร้อมที่จะฝึกฝนเต็มที่เลย เพราะถ้าไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้คุณอาจจะถูกไล่ออกเพราะทำให้งานเสีย แต่คุณอย่ารอให้โอกาสอย่างนี้มาปะทะคุณก่อนค่อยเริ่มลงมือฝึกฝนเลยนะครับ เพราะมันจะทำให้คุณเครียดมากๆ ยิ่งถ้ามีเวลาฝึกน้อยมากๆ คุณอาจจะทำไม่สำเร็จทันเวลา
แล้วความสูญเสีย (เช่น เสียงาน ฯลฯ) อาจจะตามมา
ดังนั้นผมแนะนำให้คุณลองหาแรงกระตุ้นเอาเองนะครับ จะได้มีความกระตือรือร้น โดยอาจจะจินตนาการถึงความหายนะที่จะเกิดขึ้น หากคุณไม่สามารถฝึกฝนภาษาอังกฤษให้สำเร็จได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด หาให้ได้นะครับ ถ้าหาไม่ได้มันมักจะทำให้คุณไม่มีความกระตือรือร้นแล้วจะทำให้ล้มเหลวในการ เดินไปหาเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ในที่สุด
ขั้นตอนที่ 3 สำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จในการฝึกฝนภาษาอังกฤษ: หาเวลาในการฝึกฝนภาษาอังกฤษ
3. มาหาเวลาฝึกภาษาอังกฤษกันเถอะ
คนไทยร้อยละ90 ขึ้นไป(จากโพลของผมเอง) อยากเก่งภาษาอังกฤษกันทั้งน้าน แต่มีเพียงไม่ถึง 10% ที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน ดังนั้น 80% ขึ้นไปคือพวกฝันลมๆ แล้งๆ ว่าอยากเก่งภาษาอังกฤษ แต่ไม่ได้ฝึกฝน แล้วจะเก่งได้อย่างไร? (นอกจากไปเกิดใหม่เป็นลูกฝรั่งน่ะครับ) วันนี้ผมอยากจะพูดถึงเรื่องเวลาในการฝึกฝนภาษาอังกฤษ ผมมักจะพร่ำบอกกับลูกศิษย์ผมทุกคนว่า ผมช่วยแนะนำพวกคุณได้นะว่า คุณฝึกฝนถูกวิธีหรือไม่? คุณควรจะฝึกอย่างไรให้สำเร็จ? แต่สิ่งหนึ่งที่ผมช่วยเหลือพวกคุณไม่ได้คือเรื่องของการหาเวลาในการฝึกฝน นั่นเอง ซึ่งงานนี้ตัวใครตัวมันครับ เพราะแต่ละคนก็ใช้ชีวิตแตกต่างกันไป ผมคงไม่เข้าไปนั่งจัดเวลาให้นักเรียนแต่ละคนได้
สิ่งที่ผมแนะนำคือ คุณควรจะหาเวลาฝึกให้ได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ถ้าอยากเห็นผลภายใน 3 เดือน อย่าเพิ่งพูด “โอ้โห...ใครจะไปหาเวลาได้ตั้งวันละ 2 ชั่วโมง” เพียงแค่ 2 ชั่วโมงใน 24 ชั่วโมงของแต่ละวันเองไม่มากหรอกครับ ลองดูภาษาไทยสิ คุณใช้ภาษาไทยวันละกี่ชั่วโมง แล้วจะไม่เก่งภาษาไทยได้ยังไง? ดังนั้นถ้าคุณใช้ภาษาอังกฤษได้มากขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเก่ง(เหมือนภาษาไทย)มากขึ้นเท่านั้น คุณมี 2 ทางเลือกครับ
1) คือตัดกิจกรรมบางอย่างในชีวิตคุณออกไปเพื่อให้มีเวลาว่างมาฝึกภาษาอังกฤษมาก ขึ้น ผมแนะนำเช่น
การดูละครตอนหัวค่ำ 1 เรื่องก็ 2 ชั่วโมงแล้ว ดังนั้นเอาเวลาติดละครหลังข่าว มาฝึกภาษาอังกฤษเพื่ออนาคตอันสดใสดีกว่าดูละครสนุกชั่วครู่ พูดง่ายแต่ทำอาจจะยากมากกกก (สำหรับบางคนที่ติดละคร) ส่วนทางเลือกที่
2) สำหรับคนที่ไม่อยากตัดกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้นออกจากชีวิตคุณ คือคุณต้องนอนดึกขึ้นกว่าเดิม 2 ชั่วโมงเพื่อฝึกภาษาอังกฤษ ถ้าคุณไม่เลือกทั้ง 2 อย่าง ก็คงหาเวลาฝึกฝนภาษาอังกฤษไม่ได้ และคงต้องฝัน(กลางวัน)ต่อไปว่าจะเก่งภาษาอังกฤษได้ในที่สุดผมเจอมา เยอะครับคนอยากเก่งแต่ไม่อยากฝึก เพราะคนไทยชอบอะไรที่สำเร็จรูป ไม่ค่อยทุ่มเทจริงๆ
จังๆ เรียกว่าไม่มีวินัยในการฝึกน่ะครับ มีเยอะ เมื่อก่อนผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นคนที่มีข้ออ้างให้กับตัวเองว่าไม่มีเวลาฝึกเพราะเรียนหนักมาก ต้องทำวิทยานิพนธ์ด้วย ครูเคทให้การบ้านมาฝึกก็ไม่ฝึก พอเห็นเราไม่มีพัฒนาการก็เลยถามว่าให้บอกมาว่าวันๆ นึงเราทำอะไรบ้าง ถึงแม้เราจะเรียนหนัก แต่ก็เทียบไม่ได้กับครูเคทที่ทำงานเยอะมาก เรายังพอมีเวลาดูหนัง ดูละคร ไปช็อปปิ้ง ซึ่งครูเคทก็ให้สติว่า ถ้ายังคิดว่าภาษาอังกฤษสำคัญกับชีวิตเราในอนาคต ก็ต้องเจียดเวลาให้กับมัน ถ้าไม่มีเวลาให้กับภาษาอังกฤษแสดงว่าเราเห็นความสำคัญกับการดูหนัง ดูละคร มากกว่าภาษาอังกฤษสิ
ขอบคุณมากครับ...ครูเคท ถ้าไม่มีวันนั้นที่ครูเคทเตือนสติผม ก็คงไม่มีผมในวันนี้แน่ๆ ผมอยากให้คุณผู้อ่านนำเอาสิ่งนี้กลับไปคิดดูนะครับ
หลังจากผมได้ สติ(ที่จะต้องฝึกฝนภาษาอังกฤษทุกวัน)กลับมา ผมก็ฝึกฝนทุกวัน อาจจะไม่ถึงวันละ 2 ชั่วโมง ได้ฝึกสักครึ่งชั่วโมงก็ยังดี จนติดว่าต้องทำทุกวันเหมือนที่คนเราต้องกินเข้าทุกวันเลยครับ ถ้าวันไหนไม่ได้ทำจะรู้สึกเหมือนมันขาดอะไรไปสักอย่าง ถ้าคุณสนุกกับการฝึกฝน ไม่คิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องจำใจทำ ทำจนติด แล้วคุณก็จะสำเร็จในที่สุดครับลองดูนะครับ
ผมอยากยกตัวอย่างลูก ศิษย์ในใจผมที่ผมมักจะพูดถึงอยู่บ่อยๆ ลูกศิษย์คนนี้หน้าตาออกจะเป็นนักเลงด้วยซ้ำ ตอนเรียนอยู่ผมก็ไม่เห็นวี่แววว่าเค้าจะสำเร็จนะ แต่พอตอนสอบช่วงกลางหลักสูตร คนนี้เข้าห้องมาสาย เพื่อนๆ เค้าพูดบทละครให้ครูเคทฟังกันหมดแล้ว แต่พอคนนี้พูดออกมา ทุกคนในห้อง (รวมถึงผมกับครูเคทด้วยครับ) ถึงกับตะลึง! เพราะเสียงที่ได้ยิน ถ้าไม่เห็นหน้านึกว่าฝรั่งมาพูดให้ฟังเลยครับ พอซักถามว่าฝึกยังไงถึงเปลี่ยนสำเนียงเป็นฝรั่งได้ภายใน 6 สัปดาห์ เค้าฝึกหนักมากๆ อย่างพูดตามหนัง วันธรรมดาเค้าจะดู 1-2 เรื่องทุกวัน ส่วนเสาร์และอาทิตย์เค้าจะดู 4-6 เรื่อง คือเรียกว่าดูแล้วพูดตามทั้งวัน คือมีลูกฮึด ลูกบ้าในการฝึกมากๆ ให้การบ้านอะไรไปเค้าจะทำ 2-3 เท่าจากที่สั่งไปเลย ผมและครูเคทจึงไม่แปลกใจว่าเค้าจะทำสำเร็จได้ภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ แต่อยากให้มีคนไทยอย่างนี้เยอะๆ
จัง (ซึ่งจากประสบการณ์...หายากมากๆ)
อย่า ลืม หันกลับมาวิเคราะห์เวลาของคุณเองนะ ว่าจะจัดการหาเวลาว่างในการฝึกฝนภาษาอังกฤษในแต่ละวันได้อย่างไร? ใครยุ่งมากๆ ก็เจียดเวลาสักวันละครึ่งชั่วโมงก่อนนอนฝึกภาษาอังกฤษเพื่ออนาคตอันสดใสของ คุณเอง ก็ยังดีนะครับ
Comment
© 2024 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก. Powered by
You need to be a member of หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ to add comments!
Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้