เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย
นับตั้งแต่เป็นสมาชิกเด็กสองภาษามาก็เป็นเวลานานเกือบจะปีครึ่งแล้วคะ ตั้งแต่ได้หนังสือเด็กสองภาษามา และเห็นคลิปวิดิโอของน้องเพ่ยเพ่ยก็ตั้งใจว่าอยากให้ลูกสามารถพูดได้หลายหลายภาษาเหมือนน้องเพ่ยเพย่บ้าง ก็ลงมือทำทันที
ตั้งแต่เครั้งแรกเริ่มก็มีความตั้งใจอยากให้ไทคิพูดได้สามภาษาเพราะ งก ฮ่าฮ่า แบบไม่รู้จะเลือกภาษาไหนก่อนดี ก็เลยเริ่มมันพร้อมพร้อมกันเลยนี่แหละ
ภาษาญี่ปุ่น
อันนี้แทบไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะว่าเนื่องจากเราอาศัยอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น และสามีก็เป็นญี่ปุ่น ก็เลยขอยืมเอาความคิดของคุณแม่น้องพลอยชมพุมาใช้คะ แฮะแฮะ ง่ายดีไหมคะ ใช้หลักการที่ว่า ให้สิ่งแวดล้อมเป็นตัวช่วยคะ เพราะที่บ้านอ้อมพูดภาษาญี่ปุ่นกับสามีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเดินออกไปที่ไหนคุยกับใครส่วนใหญ่ก็จะเป็นภาษาญี่ปุ่น ประกอบกับแม่ก็ภาษาญี่ปุ่นไม่ค่อยได้เรื่องก็เลยพอดีได้โอกาส ไม่ต้องสอนคะ ให้ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นตัวช่วย เรียนรู้ตามธรรมชาติตามหลักหนังสือสองภาษา เวลาพูดคุยกับพ่อก็ให้คุยเป็นญี่ปุ่น เพราะสามีพูดภาษาอื่นไม่ได้คะ จำได้ว่าครั้งแรกที่ไทคิพูดภาษาญี่ปุ่นคือประมาณสองขวบนิดนิด อ้อมขึ้นไปตากผ้าบนบ้าน แล้วต้มนำทิ้งไว้ แล้วพอนำเดือดกาต้มน้ำจะร้องวี๊ดดดดด พอไทคิได้ยิน ไทคิก็ตะโกนขึ้นไปบอกแม่ว่า มาม่า โอยุ ไวตะ โย แปลว่า แม่ น้ำเดือนแล้ว ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้ยินไทคิพูดเป็นเรื่องเป็นราว ก็รู้สึกดีใจมากคะ เพราะไม่ค่อยได้สอนภาษาญี่ปุ่นเท่าไหร่แต่ไทคิสามารถพูดได้ เลยคิดว่าเป็นเพราะเขาได้ยินบ่อยบ่อยเวลาอ้อมบอกสามี ให้ปิดแก๊สเวลาน้ำในกาเดือด ไทคิก็เลยจำได้
ตอนดไทคิเล็กเล็กประมาณแปดเดือนก็จะพาลูกไปเล่นที่ศุนย์เด็กเล่นบ่อยบ่อย เพื่อให้เขาชินกับเด็กอื่น ที่นั่นจะมีเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึงประมาณสามขวบ เราก็จะพาเขาไปเกือบทุกวัน เพื่อให้เขาได้ยินภาษาญี่ปุ่นด้วย ได้เล่นกับเด็กอื่นด้วย พอไทคิประมาณสองขวบกว่าก็จะสอนให้เขา พูดภาษาญี่ปุ่นคำว่า เจ๊บนะ ไทคิเล่นอยู่นะ รอก่อนนะ อะไรประมาณนี้เพื่อที่เวลาเขาเล่นกับคนอื่น หรือไปโรงเรียน เขาจะได้สามรถบอกความรู้สึกของตัวเองได้ เพราะถ้าพูดภาษาอังกฤษไป คนอื่นก็จะไม่รู้เรื่อง ตอนแรกแรกอ้อมก็กังวลเหมือนกันคะ กลัวว่าลูกจะพูด ฟังไม่ค่อยได้ ตอนไปสัมภาษณ์ เพื่อจะเข้าเนอสเซอรี่ ครูถามไทคิเป็นภาษาญี่ปุ่นแต่ไทคิไม่ตอบ ครูเลยบอกว่าสงสัยไทคิจะไม่เข้าใจ แต่เราคนเป็นแม่เรารุ้ดีว่าลูกเราเข้าใจแต่คิดว่าเขาไม่เคยเห็นครูเลยกลัวไม่กล้าพูดมากกว่า พอไทคิไปเนอสได้ประมาณสองอาทิตย์ ก็จะคอยถามครูเสมอว่าไทคิเข้ากับเพือ่นได้ไหม ฟังครูรู้เรื่องไหม เพราะบอกครูว่าตัวเอาไม่ได้พูดภาษาญี่ปุ่นกับลูก ครูบอกว่าแรกแรก ไทคิก็มีปรับตัวบ้างรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ตอนนี้เป็นเวลาประมาณหกเดือนแล้วที่ไทคิไปเนอส ตอนนี้ไม่มีปัญหาแล้วคะ รู้สึกว่า ภาษาญี่ปุ่นนี่จะแซงหน้าทุกภาษาที่แม่พร่ำสอนมาเลยคะ
http://www.youtube.com/watch?v=0768Hynrzos
ภาษาไทย
เนื่องจากตัวเราเองเป็นคนไทย ถ้าไม่ถ่ายทอดภาษาไทยให้กับลูกก็รุ้สึกเสียดาย และอีกอย่างเคยเห็นลูกครึ่งญี่ปุ่น พอโตขึ้นก็ไม่อยากไปเมืองไทยเพราะไม่รู้ภาษาไทยคุยกันไม่รู้เรื่องก็เลยไม่อยากไป แฮะแฮะการสอนภาษาไทยก็สบายมากเลยคะ เพราะว่าภาษาไทยเป็นภาษาของเราอยู่แล้วไม่ต้องไปเรียนเพิ่มเติมที่ไหน เพียงแต่ต้องหมั่นพูดกับเขาบ่อยบ่อยก็เท่านั้นเอง สำหรับอ้อม อ้อมไม่ได้แบ่งเวลาแน่นอนที่จะพูดกับลูก แต่จะพูดเวลาที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือไม่ก็พูดตอนเลาสั่งสอนลูก แล้วก็พูดตอนเวลาขึ้เกียจพูดภาษาอังกฤษ เพราะไม่อยากให้ตัวเองเครียดมากอยากสอนไปแบบสบายสบาย แต่ที่เน้น ก็คือ หากมีโอกาสไหนก็ตามที่มีคนไทยอยู่อย่างเช่นไปเจอเพื่อนคนไทย ก็จะพูดภาษาไทยกับลูก เพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ในตอนนั้น เพราะหาโอกาศยากมากที่จะเจอเพือนคนไทย ที่จะทำให้ลุกเราได้เรียนรู้ภาษาไทยโดยธรรมชาตินอกเหนือจากการพูดคุยกับแม่แล้ว เวลาไปเมืองไทย ก็จะให้แต่ไทคิพูดภาษาไทยกับญาติ ส่วนอ้อมก็จะพูดภาษาอังกฤษบ้าง ไทยบ้าง สามีบอกว่าให้พูดญี่ปุ่นกับลูกด้วยเพราะกลัวลุกจะลืม แต่พออ้อมไปเมืองไทยแล้วแทบจะไม่มีหลุดภาษาญี่ปุ่นออกมาเลยคะ เพราะในเมื่อเราได้มีโอกาสใช้ภาาษาไทยก็อยากให้ลูกได้ใช้และได้สัมผัสกับมันเต็มที่ เวลาแค่สองอาทิตย์คงไม่ทำให้ไทคิลืมภาษาไทยหรอกน่า ไม่ได้ไปอยูเลยสักหน่อย ไปแค่สองอาทิตย์เอง ช่วงที่ไคิไปอยู่ไทย ไทคิก็พูดถาษาไทยเยอะมาก ถ้าคนไหนไม่รู้ก็ไม่มีใครคิดว่าไทคิเป็นลูกครึ่งแค่คิดว่าคงพูดไม่ชัดตามภาษาเด็กที่พูดช้า ไม่มีใครถามเลยคะ ว่าไทคิเป็นลูกครึ่งหรือเปล่า เพราะเวลามีคนพูดกับเขา เขาก็สามารถที่จะโต้ตอบได้อาจจะไม่ดีมาก แต่ก็พอรู้เรื่อง
http://www.youtube.com/watch?v=E5gc0pw_M9A
ภาษาอังกฤษ
การเรียนรู้ทั้งสองภาษาที่ผ่านมารู้สึกว่าง่ายเหลือเกิน คราวนี้มาถึงภาษาที่ยากเหลือเกินสำหรับแม่ในการสอน นั่นก็คือภาษาอังกฤษคะ เพราะแม่เองก็ไม่ใช่เนทิฟสปีคเกอร์ ไม่มีโอกาสอาศัยอยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เริ่มสอนภาษาอังกฤษครั้งแรกก็ตอนไทคิหนึ่งขวบแปดเดือน ก่อนหน้านั้นจะคุยภาษาญี่ปุ่นกับลูกเพราะว่าสามีไม่ให้คุยภาษาอื่นกลัวลูกพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ อ้อมพาไทคิกลับไปเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยตอนไทคิอายุหนึ่งขวบแปดเดือน ได้มีโอกาสพบกับหนังสือเด็กสองภาษาโดยบังเอิญ แค่เห็นคำว่าเด็กสองภาษาปุ๊ปก็สะดุดตาปัป รีบหยิบขึ้นมาอ่านพออ่านคร่าวคร่าวก็รีบซื้อกลับบ้านเลยคะ ระหว่างทางทีนั่งรถกลับบ้านก็ อ่านรวดเดียวจนจบ และก็คิดว่านี่แหละแนวทางที่เราเฝ้ารอมานาน เหมือนสวรรค์มาโปรดจริงจริง เรารู้แล้วว่าจะต้องสอนลูกอย่างไรไม่รอช้าก็เริ่มพูดภาษาอังกกฤษกับลูกทันที ตอนนที่กัลับเมืองไทยตอนนั้นไปอยู่ไทยประมาณหนึ่งเดือน ช่วงเวลาประมาณสองอาทิตย์แรกที่ไปอยู่ไทย ไทยคิพูดภาษาไทยออกมาคำแรก ว่า ขอ กับคำว่า กระเป๋า พอมานั่งคิดดู จรากการอ่านหนังสือเด็กสองภาษา ที่เขียนว่าต้องสร้างสิ่งแวดล้อมทางภาษาให้เขา ก็เห็นจะจริงเพราะก่อนหน้านั้น แทบไม่ค่อยได้พูดภาษาไทยกับไทคิเลย พอไทคิไปอยู่ไทยได้ประมาณสองอาทิตย์ ไทคิก็สามารถพูดภาษาไทยได้นิดหน่อย ก็เลยเห็นว่าเป็นจริงตามที่หนังสือเขียนว่าสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญมากในการสร้างเด็กสองภาษา
พอเริ่มสอนภาษาลูกก็มีคำถามมากมายตามมาว่า แล้วสำเนียงจะเป็นอย่างไร ถ้าแม่พูดผิดผิดถูกถูกจะเป็นอย่างไร แล้วจะหาคำพูดถาษาอังกฤษที่ฝรั่งเขาใช้พูดกันมาจากไหน โอ๊ยปัญหาร้อยแปดพันเก้า แต่พอได้เข้ามาเป็นสมาชิกของเว๊ปสองภาษาปัญหาต่างต่างก็หมดไป มีเพื่อนเพื่อนที่นี่คอยให้กำลังใจ มีห้องภาษาอังกฤษ จึงทำให้เบาใจไปได้ ส่วนเรืองของสำเนียงและความถูกถูกผิดผิดก็คิดว่า ต่อให้ลูกเราไปเรียนตอนโตก็ใช่ว่าจะไม่พูดผิดผิดถุกถูก หรือว่าจะมีสำเนียงดีเหมือนเจ้าของภาษา ถ้าหากว่าไม่มีโอกาสได้ไปอยู่เมืองนอก หรือคลุกคลีกับเจ้าของภาษาแล้วละก็คงยาก เมือคิดเช่นนั้นจึงเริ่มสอนลูก ถึงแม้สำเนียงจะไม่ดี อาจมีผิดผิดถูกถูกไปบ้างแต่เชื่อว่าเมือเขาโตขึ้นและได้มีโอกาศเรียนภาษาอังกฤาจากครูที่นอกเหนือจากพ่อแม่ ก็เชื่อว่าเขาจะสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดตรงที่เราสอนได้ ไม่ใช่ว่าเราจะสอนลูกแบบผิดผิถูกถุกนะคะ แต่เนื่องจากเราไม่ใช่เจ้าของภาษาต่อให้เราพยายามเท่าไหร่ก็ตามแน่แน่นอนมันก็ย่อมต้องมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างเป็นเรืองธรรมดา ก็เหมือนเราตอนเเรียนภาษาอังกฤษขนาดเรียนภาษาอังกฤษจากครูที่ไม่ได้สอนแบบถูกถูกผิดผิด เราก็ยังพูดแบบผิดผิดถูกถูกอยู่เลย ดังนั้นก็เลยไม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่คะ เพราะเชื่อว่าเมือเขาได้มีโอกาสเรียนรู้มากขึ้นเขาก็จะแก้ไขข้อผิดพลาดตรงนั้นได้ อ้อมจะสอนภาษาอังกฤษไทคิประมาณ เจ๊ดสิบ เปอร์เซน ไทยสามสิบเปอร์เซน เพราะอยู่ที่นี่แถบจะหาโอกาสคุยหรือได้ยินได้ฟังฝรั่งคุยกันหรือคนคุยกันเป็นภาษาอังกฤษนั้นยากมาก ดังนั้นเราจึงต้องสร้างสิ่งแวดล้อมให้เป็นภาษาอังกฤษให้กับลูกคะ ก่อนนอนก็จะอ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้ฟังเกือบทุกวัน เพราะหนังสือนี่ก็สำคัญมากช่วยให้เขามีจินตนาการและได้ศัพท์ใหม่ใหม่จากหนังสือ นอกจากนั้นก็พยายามคุยกับลูกบ่อยบ่อย ความถี่ในการสื่อสารก็เป็นสิ่งสำคัญคะ ไม่ว่าภาษาไหนก็ตามถ้าเราสอนให้เขาอ่านอย่างเดียวโดยไม่พูดคุยกับเขา มันก็ยากที่จะทำให้เข้าสามารถใช้ภาษานั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติคะ
http://www.youtube.com/watch?v=-eMruu6SCPg
มันยากจริงจริงที่จะต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษกับลูกต้องเรียนรู้ไปกับลูกทุกทุกวัน บางครั้งก็รู้สึกว่าเหนื่อยเหลือเกืน แต่พอเข้ามาดูในเวปเด็กสองภาษาก็ทำให้มีกำลังใจลุกขึ้นสู้เสมอ ตอนเริ่มต้นใหม่ใหม่ตั้งความหวังไว้ว่าลูกจะต้องพูดได้อยางเจ้าของภาษา แฮะแฮะหวังมากไปไหมคะ แต่ก็คิดว่าคนเราต้องหวังให้สูงไว้ก่อน ได้ไม่ได้อีกเรื่องจะได้มีความพยายามมากมาก เมาถึงวันนี้ ถึงแม้ว่าไทคิจะพูดอังกฤษ่สำเนียงไทยแต่ก็ดีใจมากที่ลูกสามารถพูดฟังได้บ้าง ถ้าไม่เริ่มตอนนั้นก็คงไม่มีวันที่แม่ชื่นใจอย่างวันนี้ ขอบคุณคุณบิ๊กเจ้าชองหนังสือเด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้ และเพื่อนเพือนในเวปทุกคน ที่ทำให้มีกำลังใจทุกครั้งที่รู้สึกท้อคะ และขอเป็นกำลังใจให้กับผู้เริ่มต้นทุกท่านนะคะ สู้สู้และพัฒนาไปด้วยกันคะ
taiki 3years 4 months
Comment
' />
' />
© 2024 Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก. Powered by
You need to be a member of หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ to add comments!
Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้