เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม

คุณแม่ๅคิดอย่างไรบ้างคะ กับการให้เด็กเล็ก(ประมาณขวบกว่า)นั่งมอเตอร์ไซด์โดยมีผู้ใหญ่อุ้มและไม่ใส่ หมวกกันน๊อก อีกประเด็นนึงคือผู้ใหญ่เรากับการกินโค้ก, ชา, กาแฟ เป็นเรื่องธรรมดา แต่บ่อยครั้งการกินของเราก็ไปแตะตาเจ้าหนูน้อย บางคนทำหน้าอยากกิน บางคนขอเลย (บางครอบครัวหนักถึงเบียรและสุรา) คุณแม่คิดเห็นอย่างไรคะ กินนิดเดียวไม่เป็นไรหลอก หรือว่าของผู้ใหญ่เด็กกินไม่ได้ โตขึ้นค่อยกินนะ หรืองดบริโภคต่อหน้าเด็ก

ขอฟังความคิดเห็นหน่อยนะคะ แล้วจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต

Views: 343

Replies to This Discussion

ความเห็นส่วนตัวนะจ๊ะ ย้ำว่า ส่วนตัว
1. เด็กเล็กกับการนั่งมอเตอร์ไซด์ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เดินเอาก็แล้วกันนะ
2. โค้ก กับ เจ้าตัวเล็ก ถ้าเลี่ยงได้ เลี่ยงเลยค่ะ เด็กเค้าเห็นเรากินอะไรเค้าก็อยากกินทั้งนั้นแหละค่ะ มีตัวอย่างใกล้ตัวมาก ๆ คือเป็นลูกพี่ลูกน้องกันน่ะค่ะ เค้าให้ลูกเค้ากินน้ำอัดลม คงจะทานบ่อยมาก ตอนนี้เป็นเบาหวานค่ะ โดนตัดลำไส้ทิ้งไป 2 ครั้งแล้ว (เด็กอายุไม่กี่ขวบเองค่ะ)
จริงดิ น่ากลัวอะ
น่ากลัวจังนะคะ แสดงว่าให้ทานปริมาณเยอะพอสมควรนะสิค่ะ
แต่เห็นด้วยอย่างหนึ่งว่า เด็กลำใส้จะอ่อนบางมากกว่าผู้ใหญ่....^^
1. เด็กเล็กกับการนั่งมอเตอร์ไซด์ เห็นด้วยกับการอุ้มค่ะ แต่ถ้าอุ้มนั่งกลางก็คงจะเฉยๆ เพราะเห็นทั่วไปในบ้านเราเพราะทุกครอบครัวใช่ว่าจะมีรถเก๋งหรือรถกะบะขับกันทุกครัวเรือน แต่ควรระมัดระวังเวลาขับรถให้มากกว่าเดิม จะห้ามคงห้ามไม่ได้หรอกค่ะ...เพราะแองเจิ้ลก็ชอบนั่งมอร์เตอร์ไซด์ อาทิตย์หนึ่งประมานสามวัน คุณพ่อเค้าพาขับรถชมวิว มีซีทให้ด้านหน้า แล้วใส่หมวกกันน๊อคด้วยค่ะ...
2. ชา กาแฟ โค้ก....ยกมือยอมรับว่าให้ลูกทานโค้กค่ะ ทานแล้วควรดื่มน้ำตาม ไม่ให้ดื่มเยอะนะ ปริมาณที่เราจำกัด
ถามว่า ดีเหรอให้ลูกทานโค้ก น้ำตาลทั้งนั้น แถมก๊าซคาร์บอนด์อีก .... บางครอบครัวงดโค้กลูก แต่ของว่างลูกขนมลูก ถ้าสังเกตุว่า
บางบ้านให้ลูกทานลูกอม อมยิ้ม ขนมหวาน หรืออะไรก็ตามสมัยนี้ส่วนผสมย่อมมีน้ำตาลโดยส่วนใหญ่ มันก็เหมือนไม่ต่างกัน...
ลูกสาวทานของหวานๆได้ในปริมาณไม่มากนัก อย่างไอศรีมโคนของเดลีควีน สั่งแบบไม่เต็มโคนส่วนใหญ่ ทานครึ่งหนึ่งก็คืนให้เรา ลูกอมแบบถือกินรุ่นมินิ ก็ทานได้แค่ครึ่งเดียว ก็คืนให้ แต่ลูกอมเป็นเม็ดๆ ไม่เอาเลยค่ะ ไม่ให้ทานทุกวัน จะดูว่าวันนี้ลูกทานอะไรไปบ้างแล้วก่อน ถึงจะให้ของหวาน ช๊อคโกแล๊ตก็จะทานแต่ดาร์คช๊อค....มีเยลลี่บ้างเป็นบางโอกาส
ส่วนเค้ก ก็นานๆทานที และแต่ละครั้งทานไม่เยอะค่ะ ส่วนใหญ่ลูกสาวชอบทานครีมชีสมากกว่า...ไม่หวานมาก...
ส่วนกาแฟ ลูกสาวไม่แตะเลย เนื่องจากเราสอนกันตั้งแต่เล็กๆแล้วว่า กาแฟสำหรับเด็กนะ ดื่มไม่ได้ ถามว่าหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กเห็นไม่ได้เหรอ
ตอบตามตรงค่ะ ว่าไม่ได้ สามีดื่มชากาแฟวันละหลายแก้ว เป็นปกติของชาวต่างชาติอยู่แล้ว แต่ชา...ลูกสาวมีดื่มบ้าง

ของพวกนี้เราต้องจำกัดปริมาณ ถ้าจะให้ลูกทาน บ้านไหนสอนไม่ทานเลยก็ยิ่งดีค่ะ
การที่เราอธิบายตามตรงกับเค้า สอนเค้าว่าทำไมทานไม่ได้ กินไม่ได้ ดื่มไม่ได้ จะดีมากค่ะ
สามีเคยให้ลูกดื่มกาแฟ ตอนที่เค้าอยากรู้อยากลอง ถามแดดดี๊ว่า แดดดี๊ดื่มอะไร(ทุกเช้า) พ่อเค้าก็ยื่นแก้วให้ลองชิม
หลังจากวันนั้นก็ไม่แตะเลย รู้อย่างเดียวว่า กาแฟของแดดดี๊และมั๊มมี๊ และเมื่อไหร่มีถ้วยกาแฟเค้าจะไม่ไปแตะ เพราะรู้ว่าแก้วร้อน
ตอนนี้ลูกสาวก็จะสามขวบแล้ว ตอนที่ให้ชิมนั้น น่าจะเกือบขวบนุงได้นะคะ...

ส่วนเหล้าเบียร์ สามีให้ลูกลองหมดค่ะ(ในปริมาณแตะปลายลิ้นให้เค้ารับรู้ว่านี่คืออะไร ใช้นิ้วก้อยแตะให้เค้าชิมรสชาติ) เด็กอยากรู้อยากเห็น ยิ่งปิดยิ่งทำให้เด็กอยากลอง
สามีจะไม่ปกปิดลูก ให้เขาเจอตอนนี้ดีกว่าวัยรุ่นแล้วเขาเก็บกดอยากลอง...
มีช่วงหนึ่งที่ลูกสาวชอบทานไวน์ ตอนอยู่บ้านคุณย่า อากาศหนาว ทั้งหลานและลูกสาวจิบไวน์กัน ตอนนั้นขวบกว่า
แต่ให้แค่สองสามจิบเด็ก... ที่โน้นเค้าไม่ถือ เนื่องจากอากาศค่อนข้างหนาว เรื่องดื่มไวน์ดื่มเบียร์เป็นเรื่องปกติ

นุ้ยว่า เห็นด้วยกับสามีค่ะ ให้เค้าเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่มีงอแงขอดื่ม
เวลาทานโค้ก เราบอกให้ทานน้ำตาม เค้าก็ทำตามโดยดี
บางครั้งก็ไม่แตะ จะขอน้ำเปล่าอย่างเดียว....

อันนี้แล้วแต่คุณพ่อคุณแม่จะพิจารณาแล้วกันนะคะ......^^

ปล....ทั้งหมดนี้ไม่ได้ให้ลูกทานทุกวันนะ ลูกไม่ร้องกิน อยู่บ้านส่วนใหญ่ทานน้ำเปล่ากับน้ำผลไม้ 100% =="
เห็นด้วยกับคุณนุ้ยนะคะ เราอาจจะให้ลูกชิมหรือทานได้ แต่อย่ามากและอย่าบ่อย และควรจะให้ข้อมูลกับลูกไปด้วยว่าอะไรเป็นอะไร เพราะจริง ๆ แล้วเราจะห้ามโน่นห้ามนี่ทุกอย่างไม่ได้ เพราะบางทียิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ (อันนี้คิดเอาเองเพราะลูกยังเล็กเลยยังทานของพวกนี้ไม่ได้)คิดอีกทีถ้าเราให้ลูกได้สัมผัสกับทุกอย่างในปริมาณที่พอเหมาะก็อาจจะดีเหมือนกันนะคะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก

มีตัวอย่างอีกแล้วค่ะ (ก็ญาติ ๆ กันนี่ละค่ะ)
คนนึงเลี้ยงลูกอย่างประคบประหงมทุกอย่างไม่ให้โดนแดดโดนลมอยู่แต่ห้องแอร์ ถ้าจะออกนอกบ้านคือสวนสาธารณะอะไรประมาณนั้นของกินทุกอย่างต้องทำเองเท่านั้น ขนมพวก snack ที่ขายทั่วไปไม่เคยให้ลูกทานเลย ยกเว้นพวกขนมสด ๆ เท่านั้น

อีกคนเลี้ยงแบบลูกทุ่งมาก กินทุกอย่างที่ขวางหน้า (เอาแบบย่อ ๆ นะคะ)

สรุปคือลูกของคนแรกค่อนข้างจะขี้โรคน่ะค่ะ โดนอะไรนิดหน่อยก็ไม่สบาย ส่วนลูกของอีกคนทรหดมาก โดนอะไรก็บ่..ยั่น

เอ..อันนี้เราก็คงต้องใช้วิจารณญานกันอีกแล้ว.. แต่จริง ๆ แล้วมันคงมีองค์ประกอบอื่นอีกมากก็ได้นะคะ รู้สึกจะเขียนยาวไปแล้ว...
แนะนำให้แม่ท่านนั้นอ่านหนังสือเล่มนี้ด่วน "โรคแม่ทำ"

ทุกอย่างต้องเดินบนทางสายกลาง และไม่ประมาท
ยุว่าpointมันไม่ใช่น้ำตาลแต่มันคือคาแฟอีนและเฮโลอีนที่ผสมมามากกว่า อาหารอย่างอื่นมีน้ำตาลมากกว่านี้อีก
เรื่องของเรื่องก็คือ เราฝากลูกให้แม่สามีดู แล้วเค้าต้องไปทำกับข้าวเลยฝากให้พี่สาวสามีดิฉันดูแทน เนื่องจากว่าดิฉันเคยกำชับนักหนาว่าไม่ให้น้องนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์ มันอันตราย พอดีดิฉันไม่อยู่เลยเอาสักหน่อย แต่ความลับไม่มีในโลก ดิฉันกลับมาเห็นพอดี เค้ารีบเอาลูกเราลง แล้วปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้ทำ ดิฉันไม่มีพยาน เลยไม่อยากจะเถียงด้วย ดิฉันเลยบอกแม่สามีว่าจะหาคนรับใช้มาให้ ต่อไปไม่ต้องทำกับข้าวแล้ว ให้คนรับใช้ทำ แล้วช่วยดูน้องตลอดได้ไหม เพราะน้องซนมาก ดิฉันกลัวเรื่องอุบัติเหตุ แม่สามีรับฟัง หายไปสักพักเค้ามาบอกว่าเราไม่ต้องเรื่องมากจ้างคนรับใช้หรอกเด็กคนเดียว ผลัดกันดูก็ได้ เรื่องมอเตอร์ไซด์ลูกเค้าไม่ได้พาหลานนั่ง และถ้านั่งจริงก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร หลานเค้า3คนนั่งไปโรงเรียนทุกวัน ไม่เห็นจะเป็นอะไร ดิฉันคิดมากไปหรือเปล่า รอให้เด็กตกลงมาก่อนค่อยโวยวายได้ไหม ถ้าเรื่องมากนักก็เอาลูกกลับไปเลี้ยงเอง ฟังแล้วดิฉันบอกตรงๆว่าอึ้ง ดิฉันถามแม่ๆในคำถามเดียวกันว่าได้ไหมคะ สุดท้ายดิฉันก็เอากลับมาเลี้ยงเองคะ ดิฉันแอบดีใจที่เค้าพูดอย่างนี้ในวันที่ลูกดิฉันอาการยังครบ32 ถ้าต่อไปเกิดเหตุการณ์อะไรจากความประมาทของเค้า ดิฉันคงทำใจยอมรับคำว่าขอโทษจากเค้าไม่ไหว เค้ายังรักและปกป้องลูกเค้าจากเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่เค้าไม่คิดจะปกป้องลูกเราจากอันตรายร้ายแรง สุดท้ายลูกของเราก็คือลูกของเรา ไม่ว่าความผิดพลาดของใครเราก็ต้องรับผลของมัน ก็ลูกเรานิจะยังไงเราก็ต้องรับทั้งผิดทั้งชอบ เลยมาตั้งกระทู้ถามเพราะอยากรู้บรรทัดฐานของคนในสังคมว่า เรามันเกินไปรึเปล่ากับการไม่ให้ลูกนั่งมอเตอร์ไซด์

ส่วนเรื่องชา กาแฟ และโค้ก เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เห็นมาจากครอบครัวนี้ และเคยปรามกันมาแล้ว ก่อนจะมีเรื่องมอเตอร์ไซด์ คือดิฉันห้ามลูกทานโดยเด็ดขาด ขนาดสามีเป็นคนติดโค้กก็จะไม่ทานให้ลูกเห็น เพราะเรามีประสบการณ์ตรงเหมือนดิฉันก็คือ เราไม่เคยเห็นเด็กเล็กดื่มโค้กมาก่อน และเคยอ่านforward mailเกี่ยวกัยโทษของมันในผู้ใหญ่ เด็กๆบ้านนี้ชอบกินโค้กมาก ตั้งแต่เล็กๆแต่ไม่อ้วนและสูงน้อยกว่าเกนณ์ ในคนน้องเมื่อทานเสร็จชอบเอาหัวโขกพื้น มันเป็นเรื่องตลกมากสำหรับผู้ใหญ่ในตอนนั้น พอมีลูกดิฉันจึงได้มีโอกาสอ่านตำราเลี้ยงลูก ถึงได้รูว่าไอ้คาเฟอีนมันมีผลกับสมองเด็กหลายเท่านัก นึกสงสารหลานขึ้นมาจับใจว่าวันนั้นเค้าคงทรมานจากพิษของมันมากจนต้องเอาหัว โขกพื้นน่ะ เลยเอาให้สามีอ่าน แล้วโยงเรื่องให้ฟังว่ามันน่าจะเกี่ยวกันไหม แต่อย่างไรก็ตามมันไม่มีผลดีกับเด็กลูกเราไม่ทานนะ เค้าก็เห็นด้วยและปฎิบัติตาม ดิฉันก็เล่าสิ่งที่ได้รับรู้มาให้แม่หลานฟัง เค้าบอกว่าเค้ารู้แล้ว เด็กมันขอกินจะให้ทำยังไง แล้วเค้าก็ให้กันกินต่อไป ดิฉันจะว่าไงได้ลูกเค้าก็ปล่อยให้กินกันต่อไป จนมีอยู่วันนึงเค้าซื้อชาดำเย็นมาแล้วมาชวนลูกดิฉันว่าทานไหม มีหรือเด็กจะปฏิเสธ ดิฉันห้ามไม่ทันก็กินไปอึกนึง งอแงทั้งวันเลย เค้าง่วงนอนแต่นอนไม่ได้ มันคงบีบหัวใจ ดิฉันเลยให้ทานแต่น้ำเยอะ หลังจากฉี่มาแล้วประมาณ2-3ชั่วโมงก็ดีขึ้น หลังจากหลับไปแล้วก็ตื่นขึ้นมาร้องอย่างไม่มีสาเหตุและไม่เคยเป็นมาก่อนอยู่ นานสองนาน ตั้งแต่วันนั้นมาก็ระวังมากแล้วลูกไม่เคยมีอาการดังกล่าวอีก นี่เป็นอีกหนึ่งเหตูการณ์ที่แอบเคืองและผู้ใหญ่ก็คิดเอาเองว่ามันเล็กน้อย ก็เด็กมันพูดไม่ได้นิ ได้แต่ร้อง เลยไม่มีใครรู้ว่าไอ้เรื่องเล็กของผู้ใหญ่ มันเรื่องใหญ่ของเด็ก เด็กวัยนี้ใครๆก็อยากเล่นทั้งวันทั้งนั้น มีใครอยากจะปวดหัวมั้ง แล้ววัยนี้เค้าแยกไม่ออกหรอกว่าอะไรอันตรายอะไรไม่อันตราย ให้เค้ากินวิกซอลเค้าก็กิน จริงไหม
ปกติแล้วก็ไม่ได้หวงลูกมาก จะเล่นดินเล่นทราย ตากแดด เล่นน้ำนานๆก็ไม่เคยว่า เพราะถือว่าไม่สบายก็หายได้ แต่มอเตอร์ไซด์นี่พลาดแล้วพลาดเลย ไม่มีใครคาดเดาหรือการันตีผลที่จะเกิดขึ้นได้ ในบางครอบครัวที่จำเป็นอันนี้ก็เห็นใจ แต่ครอบครัวดิฉันมันห่างไกลคำว่าจำเป็นมาก เป็นความสนุกส่วนตัวของป้าเด็ก ที่สนุกเกินไปหน่อย หนักไปทางประมาทด้วย
อืม เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่ค่ะ...
เมื่อก่อนเคยคิดเคยวางแผนว่า จะเลี้ยงลูกไม่ให้กินของพวกนี้
ไม่ให้กินอาหารที่มีส่วนผสมของผงชูรส ไม่ทำนั้นทำนี่ให้ลูกเกิดการเสี่ยง...

อย่างไรเล่า ปัจจุบัน อะไรๆก็สารพิษ อะไรก็มีสิ่งเจือปน
เลยเดินทางสายกลางค่ะ ไม่กลัวต่อข่าว แต่จะป้องกัน

ชาดำอย่างที่อ่านมา ไม่ค่อยซีเรียสมากเนื่องจาก ชาบางตัวก็มีประโยชน์ต่อร่างกายไม่น้อย
หากเลือกที่จะกิน เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว...

ไม่งั้นเราก็จะกลายเป็นคนจิตตก ทำอะไรก็ไม่มีความสุข หวาดแระแวงไปหมด...

ของที่ว่าแพงมีประโยชน์ บางครั้งทานมากๆ ก็อาจเป็นโทษ ควรทำแบบพอควร พอใช้นะคะ...
ชาน่ะถ้าทานร้อนมีประโยชน์มาก แต่ถ้าทานเย็นก็มีโทษมากเหมือนกัน

เค้าอยู่ในความดูแลของเราแค่ไม่กี่ปี หลังจากนี้เค้าก็จะเลือกกินเลือกดื่มของเค้าเอง ในฐานะคนเป็นแม่ มันคือความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงต่ออนาคตของเค้า เรื่องเล็กๆน้อยๆที่เราไม่เคยให้ความสำคัญอาจมีผลมากมายเมื่อเค้าโตขึ้น เด็กวัยนี้ทุกประสบการณ์จะถูกเก็บไว้ในรูปของจิตใต้สำนึก และเวลาในช่วงนี้ก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว อยากจะให้คุณแม่ๆจดจำเวลาเหล่านี้ไว้ให้ดีๆ เวลาที่เค้าโตขึ้นแล้วทำอะไรไม่ถูกใจเรา เราจะได้มีคำตอบเวลาเราด่าเค้าว่า "ทำไมแกถึงเป็นอย่างนี้"
คิดถึงเรื่องโค้กแล้วเหนื่อยใจจังค่ะ
คุณยายชอบซื้อโค้กมาให้หลานกินบ่อยๆค่ะ หลานเองก็ชอบ
พอเราห้ามยาย ยายก็โกรธ
....

RSS

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service