เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม

อยากถามเรื่องสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษค่ะ ว่าเลือกแบบไหนดีกว่ากัน ระหว่างแบบภาษาอังกฤษล้วน ๆกับ แบบมีคำอธิบายภาษาไทยด้วยน่ะค่ะ

สวัสดีค่ะ

 

อยากถามเรื่องสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษค่ะ ว่าเลือกแบบไหนดีกว่ากัน ระหว่างแบบภาษาอังกฤษล้วน ๆกับ แบบมีคำอธิบายภาษาไทยด้วยน่ะค่ะ

 

ตอนนี้ ลูกชายจะ สี่ขวบแล้วค่ะ อาทิตย์หนึ่งเรียนกับครูชาวแคนาดา เริ่มขีด ๆ เขียน พออ่านได้นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่ค่อยยอมพูดภาษาอังกฤษเลยค่ะ

 

เลยคิดว่าคงต้องพึ่งสื่อการเรียนการสอนเสียหน่อยแล้ว สี่ขวบนี่ ยังไม่ช้าเกินไปใช่ไหมคะ

 

เลยอยากรบกวนขอความคิดเห็น เพื่อน ๆ คุณพ่อคุณแม่ กันหน่อยค่ะ

 

รบกวนด้วยค่ะ

 

ขอบคุณค่ะ

 

Views: 520

Replies to This Discussion

ใน case ของลูกชายเขาเรียนกับอาจารย์ชาวฟิลิปปินส์ตั้งแต่ 2.6-3.2 ปี แต่เขาจะเน้น conversation เรียนจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่ 9.00-15.00 น.วิชาที่เรียนก็จะเหมือน อนุบาล 1 ค่ะ จะเรียนวิชาการ 1 ชม. นอกนั้นก็จะเป็นการทำกิจกรรมต่างๆ แต่ตำราที่เรียนจะเป็นภาษาอังกฤษล้วนกลับมาบ้านแม่จะคุยกับเขาเป็นภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวันตามแนวของคุณบิ๊กค่ะ และสื่อการสอนเสริมของแม่ก็จะเป็น DVD การ์ตูน,เพลง,นิทาน ทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษหมดค่ะ แต่เรื่องพูดคุณแม่ต้องอาศัยความถี่เข้าช่วยเราต้องพูดกับเขาทุกวันนะคะคุณแม่ลองทำตามหนังสือของบิ๊กดูนะคะ 4 ขวบยังไม่สายเกินไปหรอกค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
ที่ไหนค่ะ อยากให้ลูกสาวเรียนบ้าง ตอนนี้ลูกสาวอายุ 3 ขวบอ่ะค่ะ แถวบ้านมี enopi กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะให้เรียนดีหรือเปล่า
ตอนนี้ อยู่ที่ญี่ปุ่นค่ะ อาจารย์แคนาดาคนนี้ เปิด โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กเล็ก ในญี่ปุ่น น่ะค่ะ

เลยไม่รู้ว่าแนะนำอย่างไรดีอ่ะค่ะ สงสัย ต้องรอท่านอื่นมาให้คำแนะนำหน่อยเสียแล้วค่ะ
To Khun Samita Srimachaporm
ขอบคุณมากค่ะ คงต้องพยายามสอนลูกให้มากกว่านี้แล้วค่ะ ดีมากเลยได้เรียนทุกวัน ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ลูกสาว 4 ขวบ เหมือนกันค่ะ สอนลูกมา 1 เดือน ทำสิ่งแวดล้อมให้เป็นภาษาอังกฤษ ตอนนี้ลูกสาวเริ่มคุยกับแม่บ้างแล้ว ต้องหาสิ่งที่ลูกชอบให้เจอค่ะ น้องข้าวเหนียวชอบร้องเพลง ก็เลยเริ่มต้นด้วยเพลงค่ะ เป็นกำลังใจให้อีกคนนะคะ
ขอบคุณคุณแม่น้องข้าวเหนียว ค่ะจะพยายามตั้งใจสอนลูกให้มากกว่านี้ค่ะ คุณแม่น้องข้าวเหนียวก็สู่้ ๆ ๆนะคะ
ยอดเยี่ยมเลยครับแม่น้องข้าวเหนียว!
ที่จัดทำสิ่งแวดล้อมให้เป็นภาษาอังกฤษ
จะให้เยี่ยมกว่านั้นต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นแบบอย่างทางภาษาที่ดี (Good language model) ให้กับลูกๆด้วยนะครับ
มีแถมให้ค่ะดิฉันอ่านแล้วชอบมีประโยชน์ดีแต่ยาวหน่อยนะคะ
อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ ควรเริ่มเรียนเมื่อไรดี?

ผศ.ดร. กุลยา ตันติผลาชีวะ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วารสาร
การศึกษาปฐมวัย ปีที่ 2 ฉบับที่ 4 ตุลาคม 2541 หน้า 28 - 34
"อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ ควรเริ่มเรียนเมื่อไรดี" "ตอนนี้ลูกอยู่อนุบาล 3 จะส่งไป Summer Course สำหรับเด็กดีไหมคะ"
"อยากให้ลูกเรียนโรงเรียนฝรั่ง จะได้เก่งอังกฤษ จริงไหมคะ"
"เด็กเรียน 2 ภาษาจะสับสนไหมครับ"

หลากหลายคำถามของผู้ปกครอง แสดงให้เห็นถึงความห่วงใย และให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษ ซึ่งเชื่อว่า เป็นภาษาสำคัญสำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ การใช้คอมพิวเตอร์ และการศึกษาค้นคว้าตำราซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ นับวันภาษาอังกฤษจะมีความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การเตรียมเด็ก การช่วยให้เด็กเรียนรู้และเก่งภาษาอังกฤษจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ผู้ปกครอง : ดิฉันอยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ จะส่งลูกเข้าโรงเรียนเซนต์ ต่าง ๆ ก็ไกลมาก เดินทางลำบาก จะ
ให้อยู่หอพักก็สงสารเพราะยังเล็ก เลยให้เรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน ซึ่งคิดว่าดีที่สุด แต่โรงเรียนที่ลูกเรียนนี้ไม่มีสอนภาษา
อังกฤษระดับอนุบาล กว่าจะได้เรียนภาษาอังกฤษจริงต้อง ป.5 จะช้าเกินไปไหมคะสำหรับการเรียนภาษา

ตอบ การเรียนภาษาอังกฤษ หรือภาษาใด ๆ ก็ตามของเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องเรียนแบบอ่าน คัด เขียน อย่าง
เป็นระบบวิธีการในโรงเรียน เด็กปฐมวัยสามารถเรียนภาษาได้โดยใช้ประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน ตามหลักการเรียน
ภาษาโดยใช้ประสบการณ์เป็นฐาน (whole language) เป็นวิธีการเรียนภาษาจากพื้นฐานประสบการณ์เดิมของเด็ก แล้วบูรณา
การการอ่าน เขียน ฟัง และพูดด้วยการได้เห็น การเข้าไปมีส่วนร่วม การสอนแบบนี้ ครูจะมีรูปแบบของการฝึกภาษา และ การส่งเสริมให้รักการอ่าน จากคำที่เด็กคุ้นเคย ซึ่งผู้ปกครองสามารถสอนเองได้เช่นกันโดยจัดหาอุปกรณ์ สิ่งพิมพ์ หนังสือที่จูงในให้เด็กอยากเปิดอ่านเองได้ ด้วยตัวของผู้ปกครองเอง แล้วนำคำที่เด็กเคยรู้เคยเห็นมาสอน เช่น Bus, Hotel เป็นต้น

ผู้ปกครองสามารถสอนเด็กได้ง่าย ๆ จากกิจกรรมต่อไปนี้
1. ฝึกเด็กให้รู้จักสังเกตคำที่ปรากฏทั่วไป ชี้ให้ดูพยัญชนะ คำภาษาอังกฤษจากโทรทัศน์ สิ่งของเครื่องใช้ คำ
โฆษณา หนังสือพิมพ์ และศัพท์ที่ปรากฏทั่วไป ผู้ปกครองต้องชี้ อ่านให้เด็กฟัง พร้อมแปล แล้วให้เด็กลองออกเสียง อาจร้องเป็นทำนอง เด็กจะสนุกและเกิดการเรียนโดยอัตโนมัติ ขณะนั่งรถไปตามทางจงใช้โอกาสว่างระหว่างนั่งรถในการสอนภาษาอังกฤษกับเด็กทุกครั้ง เพราะเด็กกำลังตื่นตัวกับประสบการณ์ข้างทาง
2.อ่านให้ฟัง นิทานกับเด็กเป็นของคู่กัน เด็กชอบฟังนิทานและเรียนรู้หลายอย่างจากนิทาน ผู้ปกครองควรอ่าน
นิทานเป็นภาษาอังกฤษและแปลเป็นไทยให้เด็กฟัง การฟังเป็นประจำทุกวันจะทำให้เด็กจำได้ สนุกทั้งนิทาน และได้เรียนรู้ทั้งภาษาอังกฤษ เวลาเล่านิทานที่เหมาะมาก คือ ก่อนนอน ควรอ่านเรื่องซ้ำ ๆ เด็กไม่เบื่อที่จะฟังนิทานซ้ำเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่ประทับใจ การอ่านซ้ำ การเล่าซ้ำจะทำให้เด็กจำเรื่อง จำศัพท์ จำประโยคและสำนวนภาษาเก็บไว้ในใจลึก ๆ ได้
ประการสำคัญเมื่อเล่านิทานจบลง ควรทบทวนศัพท์สัก 2 - 3 คำ
ก่อนจะเลิกเล่า แต่ถ้าเล่าแล้วเด็กหลับไปก่อน ไม่เป็นไร อาจถามทบทวนในวันใหม่ได้ การได้ฟังได้พูดซ้ำ ๆ หลายครั้งเด็กจะจำศัพท์ได้ดี ศัพท์ที่ทวนควรเป็นศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์เด็ก เช่น เล่าเรื่อง หนูกับราชสีห์ ศัพท์ที่ทวน ได้แก่ Rat, Lion, Tree ไม่ใช่ relation, meet ซึ่งไกลประสบการณ์เด็กเว้นแต่คุ้นกับคำง่ายแล้ว จึงเพิ่มเติมคำไกลตัวข้อสำคัญอย่าสอนสะกดคำหรือคาดคั้นให้เด็กท่องศัพท์ เด็กจะเครียดและเกลียดภาษาอังกฤษในที่สุด เด็กอาจท่องตามท่านเป็นนกแก้ว นกขุนทอง เด็กจะฝังความรู้สึกความไม่ชอบอยู่ภายใน จงให้เด็กได้เรียนแบบสนุก เรียนปนเล่นเหมือน คำว่า Plearn (เพลิน) Play + learn ของศาสตราจารย์ ดร.อนันต์ สมุทรวานิช เด็กจะเรียนรู้และจำได้อย่างมีความสุข
3.สร้างความคุ้นเคยด้วยการใช้บทสนทนา ทักทายอย่างง่ายเป็นประจำ เมื่อพบเด็ก เช่น
Good morning, How are you?
What is your name?
Where are you going?
ควรถามซ้ำ ๆ การถามซ้ำทำให้จำได้แล้วจึงขยายประโยคต่อไป จากคำตอบนี้ต้องการบอกให้ผู้ปกครองทราบ
ว่าไม่ต้องหาโรงเรียนให้ยุ่งยากใจ ผู้ปกครองสามารถสอนเองได้ สอนที่บ้าน สอนขณะเดินทาง สอนด้วยตนเอง ไม่ช้าเกินไปในการเรียนภาษาอังกฤษ ถ้าผู้ปกครองใส่ใจ แม้เด็กจะเรียนในโรงเรียนที่ไม่มีการสอนภาษาอังกฤษเลยก็ตาม
ผู้ปกครอง : การเรียนรู้ภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทย ควรปลูกฝังตอนอายุเท่าไรและควรเริ่มสอนอย่างไรลูกจึงไม่
สับสน

ตอบ การเรียนรู้ที่มากกว่า 1 ภาษา เป็นสิ่งจำเป็นหรือเป็นประโยชน์สำหรับคนในโลกปัจจุบัน นอกจากภาษา
ปากของพ่อแม่แล้ว การได้เรียนภาษาอื่นยิ่งเป็นการดีสำหรับเด็ก โดยเฉพาะการเรียนโดยธรรมชาติจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเช่น ลูกไทยในครอบครัวจีน ถ้าอาหม่า อากงจะใช้ภาษาจีนกับลูกก็ควรให้ถือเป็นปกติ และสนับสนุนให้พูด เด็กก็ได้เรียนรู้ อีก 1 ภาษา หากปู่ย่า ตายาย เป็นฝรั่งก็ควรให้ลูกได้ฝึกได้เรียนภาษาฝรั่งไปด้วย แต่หลักการที่สำคัญเมื่อกลับมาใช้ภาษาพ่อแม่ พ่อแม่ก็ต้องสอนและใช้ภาษาของตนให้ถูกต้อง ถ้าจะกล่าวถึงภาษาอื่นก็ให้ถูกต้องด้วยเช่นกัน การเรียนภาษาโดยธรรมชาติจากครอบครัวนี้เรียนเมื่ออายุเท่าไรก็ได้ แต่ถ้าเรียนในโรงเรียนควรเริ่มได้ตั้งแต่อนุบาลเด็กเล็ก 3 ขวบขึ้นไป เพราะเป็นวัยของการเรียนรู้ที่งอกงามและรวดเร็ว เด็กจะเริ่มเรียนรู้ภาษาจากศัพท์ ประโยคแล้วตามด้วยเรื่องราวยาว ๆ การได้ฟังการพูดที่ดีถูกต้อง จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้กฎไวยากรณ์ การออกเสียงของเด็กและคำต่าง ๆ มาจากการเลียนแบบการพูดของคน
รอบข้าง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ถ้าจะพูดกับเด็กจะต้องตระหนักต่อการใช้ประโยคที่ถูกต้อง มีไวยากรณ์ที่เหมาะสมกับวัยเด็กไม่ควรใช้ภาษาไม่สวยกับเด็ก

ผู้ปกครอง : เด็ก 3 ขวบเรียนในโรงเรียนนานาชาติ แต่พอกลับบ้านพ่อแม่สื่อสารด้วยภาษาไทย เด็กจะเกิดความสับสนหรือไม่ วัยนี้เหมาะหรือไม่ถ้าจะเรียนในโรงเรียนนานาชาติ

ตอบ ไม่เป็นปัญหาสำหรับเด็ก เพราะเด็ก 3 ขวบมีวุฒิภาวะที่จะเรียนภาษาได้แล้วเริ่มใช้ประโยคได้ เด็กอาจเก่งภาษาหนึ่งมากกว่าอีกภาษาหนึ่ง หรือเก่งเท่ากันทั้งสองภาษา คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องห่วงเพียงแต่ว่า คุณพ่อคุณแม่ใช้ภาษาของตนให้ถูกต้องก็แล้วกัน กับข้อคำถามว่าวัยนี้เหมาะจะเรียนโรงเรียนนานาชาติหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ว่าจะให้เรียนเพื่ออะไร ถ้าเป็นเพราะว่าครอบครัวต้องไปต่างประเทศบ่อย หรือมีเจตจำนงค์โดยแท้ว่าต้องการให้ลูกเก่งภาษาที่สองโดยใช้สิ่งแวดล้อมทางภาษาก็อาจให้เข้าเรียนได้ แต่ถ้าให้ลูกเรียนเพื่อสนองความต้องการคุณพ่อคุณแม่เพราะรู้สึกเท่ห์ดี ทัดเทียมเพื่อนบ้าน ไม่ควรให้เรียน เหตุผลเพราะคุณพ่อคุณแม่จะไม่ตระหนักต่อการใช้ภาษาของเด็ก ทำให้เด็กสับสนทางภาษา ไม่มั่นใจตนเอง มีภาพลักษณ์กับตนเองไม่ดี เช่นไปลุ้นให้เด็กใช้ภาษาต่างประเทศมากเกินไป หรือปล่อยปละละเลยภาษาตนเองทำให้ใช้ภาษาสับสนได้

อีกประการหนึ่ง โรงเรียนนานาชาติไม่ใช้โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ แต่โรงเรียนนานาชาติเป็นโรงเรียนที่จัดขึ้นเพื่อให้เด็กต่างชาติ ต่างวัฒนธรรม ที่ต้องมาอาศัยอยู่ ณ ประเทศหนึ่งได้ศึกษา ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่ต่างไปจากตนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางการเรียน ไม่ได้มุ่งให้เรียนภาษาอังกฤษ ดังนี้การเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ จึงไม่ได้ยืนยันถึงการเรียนรู้ทางภาษาอย่างแท้จริง

ความคุ้นเคย ความเคยชินและความสม่ำเสมอในการใช้ภาษาจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ภาษาได้เท่า ๆ กับการเรียนในโรงเรียนจริง ถ้าผู้ปกครองต้องการให้เด็กรักภาษา ไม่จำเป็นต้องให้ลูกไปเข้าโรงเรียนนานาชาติที่ต้องเครียดกับการปรับตัวอีกอย่างหนึ่งด้วย เพราะจะมีเด็กหลากหลายชาติ หลายภาษามาเรียนร่วมกัน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของพ่อแม่และพร้อมที่จะปรับให้เป็นความเพลิดเพลินสำหรับเด็ก ๆ

ผู้ปกครอง : สมัยนี้ภาษาอังกฤษมีความจำเป็น ต้องรู้อ่าน เขียน พูด ดิฉัน คิดว่า คนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง
ไม่กล้าพูด เพราะเราไม่คุ้นปากคุ้นหู หรืออาจเป็น เพราะเราเรียนกับครูไทยใช่หรือไม่ สมควรไหมว่า เราควรจ้างฝรั่งมาสอนลูกเสียแต่เล็กเลยจะได้คุ้นกับสำเนียงภาษา

ตอบ : จุดประสงค์ของการเรียนภาษาทุกภาษา มุ่งที่เขียน อ่าน พูด และสื่อสารได้อย่างเข้าใจถูกต้องเหมือนกัน แต่การที่เด็กไทยเรียนภาษาที่สองแล้วยังไม่คล่องนั้นเป็นเพราะการจูงใจในการเรียนมากกว่า มีทฤษฎีการเรียนรู้หลายทฤษฎีที่บอกว่าคนเรียนรู้ได้ เช่น บางทฤษฎีบอกว่า ถ้าถูกวางเงื่อนไข เช่น ขู่บังคับลงโทษต้องท่องให้ได้ จำให้ได้ถ้าไม่ได้ถูกตี แต่บางทฤษฎีบอกว่าการให้รางวัลจะทำให้คนเรียนรู้ดี บางทฤษฎีเน้นการให้กำลังใจ ซึ่งหลากทฤษฎีหลากวิธีการ แต่การเรียนภาษาขึ้นอยู่กับบรรยากาศของการเรียนและความคุ้นเคยมากกว่า เพราะการเรียนภาษาเป็นการเรียนที่เกิดโดยธรรมชาติ หากผู้นั้นสนใจ

การที่เด็กไทยไม่ชอบภาษาอังกฤษ บางคนเขียนได้ อ่านได้ไม่กล้าพูด ขาดความมั่นใจ เป็นเพราะกลวิธีการสอนภาษาอังกฤษของเราส่วนใหญ่เน้นการท่องจำแบบบังคับไม่ใช่จากอยากทำเอง และครูพร่ำว่ายาก ไม่พยายามทำยากให้เป็นง่าย และสุนทรีย์ ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว เด็กเกิดมาพร้อมกับความสามารถที่จะเรียนรู้ภาษา การสร้างประโยค การบอกความหมายคำที่ถูกต้อง เด็กเรียนรู้ภาษาจากครอบครัวอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถฝึกหัดเขียนได้ตามแบบของตน โดยไม่ต้องเข้าเรียน การเรียนภาษาที่ดีต้องให้เด็กเกิดความรู้สึกที่ดีต่อภาษาใหม่ที่เรียน การหัด อ่าน เขียน ต้องให้เป็นไป ตามความพร้อมของเด็กซึ่งเด็ก 3 ขวบก็เรียนภาษาได้แล้ว การให้ความรัก ความอบอุ่น สร้างความสนใจ ในการอ่านการเขียน เป็นสิ่งสำคัญเรียนภาษาจะสนุกถ้าไม่ทุกข์กับภาษา การเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยจะดีมาก ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าของภาษาสอน สำเนียงภาษาเด็กอาจเรียนรู้และปรับได้เมื่อโตขึ้น เราควรเน้นการสื่อภาษาที่ดีที่สุดมากกว่า พูดภาษาได้สำเนียง เหมือนที่สุด เพราะภาษาที่ 2 ไม่ใช่ภาษาปากของพ่อแม่จึงยากที่จะทำให้เหมือนจริง เว้นแต่อยู่ในบรรยากาศเจ้าของภาษาตั้งแต่แรกเกิด เด็กอาจฝึกได้เมื่อเขาโตขึ้น การสร้างการเรียนรู้ทางภาษา ต้องเริ่มจากการให้เด็กเรียนรู้จากคำที่ใช้พูดในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเป็นคำที่เด็กนึกเป็นภาพได้ และเป็นคำคุ้นตา เด็กจะเข้าใจและสร้างกรอบแนวคิดจากคำได้ เช่น dog cat เป็นต้น ถ้าเด็กสามารถเริ่มเรียนภาษาจากสิ่งที่เด็กพูดออกมาได้อย่างเข้าใจ และเห็นภาพในใจเด็กเป็นรูปธรรม เด็กจะพอใจมาก อยากออกเสียง อยากพูด ข้อสำคัญถ้าเด็กพูดไม่ชัด ไม่ถูกต้อง อย่าล้อเลียน แต่ผู้ปกครองต้องออกเสียงทวนใหม่ให้ถูกต้องชัดเจน เด็กจะฟังและรับรู้ได้

สรุป ข้อความรู้เกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษ
ปัญหาการเรียนภาษาที่ 2
ภาษาที่ 2 หมายถึงภาษาอื่นที่มิใช่ภาษาแม่ของบุคคลคนนั้น สำหรับเด็กไทยการเรียนภาษาอังกฤษของเด็กไทย
นับเป็นการเรียนภาษาที่ 2 เมื่อเด็กเข้าชั้นเรียนเด็กจะรู้สึกเครียดด้วยไม่คุ้นเคย อึดอัดกับการเรียน เพราะมีทั้งศัพท์ใหม่ไวยากรณ์ใหม่ ที่ต้องสร้างความเข้าใจและสื่อสารให้ได้เป็นความกังวลสำหรับเด็กทุกคน การถ่ายทอดวามรู้สึกว่ายากความน่ากลัวทำให้เป็นปัญหาการเรียนภาษาที่ 2 ของเด็ก ซึ่งไม่แต่ภาษาอังกฤษ อาจเป็นภาษาจีน หรือภาษาอื่น ๆ ด้วย

การปฏิบัติของผู้ปกครอง
เด็กมีโอกาสเรียนรู้ภาษาที่ 2 ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น หรือภาษาอื่น ๆ ที่ผู้ปกครอง
ต้องการ และการเรียนจะง่ายขึ้นถ้าสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวย เช่น เป็นลูกหลานคนจีนอยู่ในบ้านคนจีนก็จะเรียนภาษาจีนได้ง่ายขึ้น อยู่ในบ้านที่ใช้ภาษาต่างประเทศย่อมเรียนภาษาต่างประเทศได้ง่ายขึ้น อยู่ในบ้านที่ใช้ภาษาต่างประเทศย่อมเรียนภาษาต่างประเทศได้ง่ายขึ้น เป็นต้น

การปฏิบัติของผู้ปกครองเพื่อการเรียนภาษาที่ 2 ของเด็ก กระทำได้ดังนี้
1. ใช้ภาษาที่ 2 ผสมผสานไปกับการสนทนาตามปกติอย่างเป็นธรรมชาติโดยให้เด็กเข้าใจ เช่น พาเด็กไปเที่ยว
สอวนสัตว์ แล้วพูดกับเด็กว่า “หนูชอบดูเสือไหม Do you like to see tiger? “ แล้วกระตุ้นให้ตอบกลับ ถ้าเด็กไม่ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษแต่ตอบเป็นภาษาไทยว่าชอบ ให้ผู้ปกครองทวนคำศัพท์ที่ต้องการ เช่น tiger แล้วพูดภาษาไทยตามว่า“เสือใช่ไหม” พร้อมให้กำลังใจด้วยการยิ้ม และแสดงความรักเด็กจะซึมซับและเรียนรู้ศัพท์จากท่านไปแล้ว

2. ใช้ภาษาที่ 2 อย่างสม่ำเสมอโดยผู้ปกครองกำหนดแผนในใจว่าจะให้เด็กรู้อะไรอย่างไร และก้าวหน้าไปอย่าง
ไรโดยไม่รีบร้อนเพราะท่านสามารถสอนลูกได้ทุกวันและนานกว่าครูในโรงเรียน

3. อ่านภาษาอังกฤษจากหนังสือให้เด็กฟังอยู่เสมอ อาจเป็นหนังสือนิทาน เปิดอ่านพร้อมเด็กแล้วชี้ให้เด็กดู ควร
มีภาพประกอบ หากเป็นหนังสือพิมพ์เลือกอ่านเฉพาะหนังสือตัวโตมีภาพประกอบ อย่าอ่านยาวเพราะเด็กจะเบื่อ อ่านสั้น ๆ เป็นภาษาอังกฤษวันละคำ

4. อย่ากดดันเด็ก ให้ท่อง ให้จำ เด็กแต่ละคนมีความเฉพาะของตน มีความสนใจสั้น อย่าทำให้ภาษาที่ 2 สำคัญ
กว่าภาษาแม่ จะต้องทำให้ภาษาทั้งสองมีความสำคัญเท่ากัน หรือกำหนดให้ภาษาแม่เป็นอันดับ 1 ภาษาที่ 2 เป็นอันดับ รองข้อสำคัญการสอนภาษาต้องเน้นการกระตุ้นให้เด็กอยากเรียน อยากรู้ ด้วยตัวของเด็กเอง

5. ให้ใช้โอกาสที่ว่างที่สุดในการสอนภาษาเด็ก เช่น ในขณะเดินทางไปโรงเรียนก่อนนอน หรือบนโต๊ะอาหาร
ซึ่งเป็นเวลาผ่อนสบาย การเรียนรู้สิ่งใหม่จะง่ายขึ้น ในกรณีที่พ่อแม่ไม่สะดวกใจจะสอนภาษาอังกฤษเด็กด้วยตนเอง เนื่องจากไม่ว่าง ไม่ถนัด ไม่คล่อง อาจจำเป็นต้องใช้ครูหรือโรงเรียนช่วย แต่ก็ไม่จำเป็น เพราะเด็กสามารถพัฒนาและเรียนรู้ได้ตามระบบโรงเรียนปกติที่ทางการกำหนด

สอนภาษาเด็ก ให้จำนั้นง่าย (ลืมเร็ว)
สอนภาษาเด็ก ให้เข้าใจนั้นยาก (แต่จำนาน)
จงสอนภาษาเด็ก ให้เข้าใจติดปาก (เข้าใจ และจำ)
แม้สอนยาก แต่จำได้นาน (ต้องใช้เวลา แต่จำได้นานและเข้าใจ)
สอนภาษาเด็ก ให้จำนั้นง่าย (ลืมเร็ว)
สอนภาษาเด็ก ให้เข้าใจนั้นยาก (แต่จำนาน)
จงสอนภาษาเด็ก ให้เข้าใจติดปาก (เข้าใจ และจำ)
แม้สอนยาก แต่จำได้นาน (ต้องใช้เวลา แต่จำได้นานและเข้าใจ)


ชอบจัง

RSS

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service