อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือการให้เด็กได้เจอกับ
เจ้าของภาษาจริง ๆ โดยคุณพ่อคุณแม่อาจจะจัดหาเครื่องมือเช่น เทปเพลง
หนังสือนิทาน หรือวิดีโอภาพยนตร์การ์ตูนที่เป็นภาษาอังกฤษ
เพื่อเพิ่มพูนประสอบการณ์ในการฟังให้กับเด็ก การพูดกับเด็กบ่อย ๆ
หรือการหากลุ่มเพื่อนเล่น
แม้กระทั่งพาเด็กไปเข้าโรงเรียนที่ใช้สอง
ภาษาตั้งแต่แรกเริ่มก็เป็นวิธีฝึกฝนลูกให้มีพื้นฐานทางภาษาต่างประเทศที่ดี
ไปจนโต
แต่หากปัจจัยไม่เอื้ออำนวยในประการหลังนี้คุณพ่อคุณแม่อาจจะทดแทนด้วยการ
หมั่นพูดหรืออ่านภาษาอังกฤษให้ลูกฟังเสมอ ๆ ให้เขาได้คุ้นเคยและโต้ตอบ
ที่สำคัญมากที่สุดคือการสนับสนุนและให้กำลังใจลูกในการพูดภาษาอังกฤษและ
ชี้แนะวิธีการพูดที่ถูกต้อง
บรรยากาศที่สนุกสนานเพลิดเพลินในการอ่านนิทานหรือดูการ์ตูนร่วมกับลูกจะเป็น
กุญแจในการสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเปิดรับภาษาอังกฤษให้กับลูกน้อยของคุณ
บาง
คนสงสัยว่าการให้เด็กพูดสองภาษาพร้อม ๆ กัน จะทำให้เด็กสับสน
แต่การวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า เด็กที่พูดได้สองภาษาตั้งแต่เล็ก ๆ
นอกจากจะไม่สับสนแล้ว ยังจะเป็นคนที่เรียนรุ้อะไรได้เร็ว
และมีทักษะในการแก้ปัญหาได้ดีกว่า ศ.เอลเลน ไบลี่ สต็อค
ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยยอร์คจากแคนาดา
ผู้ศึกษาด้านพัฒนาการทางภาษาในเด็กหลายร้อยคนกว่า 20 ปี
เชื่อ
ว่าการใช้สองภาษาควบกันจะฝึกเด็กรู้จักลำดับความสนใจ
เพราะเขาจะต้องหยุดอีกภาษาหนึ่งไว้ขณะที่กำลังใช้อีกภาษาหนึ่ง
ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า
เมื่อเด็กสองภาษาและหนึ่งภาษาถูกขอร้องให้แก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่ง
เกิดจากเนื้อหาที่ทำให้เข้าใจผิด
จะเห็นว่าเด็กที่พูดสองภาษามีลำดับในการคิดแก้ปัญหาที่ดีกว่าและสามารถมอง
เห็นเนื้อหาที่ทำให้เข้าใจผิดนั้น
ความคิดของพวกเขาจะก้าวหน้ากว่าเด็กที่พูดภาษาเดียวอย่างน้อย 1 ปี
สิ่งที่ตามมาคือทำให้เด็กกลุ่มนี้มีความเป็นผู้นำและเชื่อมั่นในตัวเองเมื่อ
อยู่ท่ามกลางเด็กคนอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีทักษะในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ
ซึ่งมักจะพบว่าเด็กกลุ่มนี้สามารถทำคะแนนวิชาอื่นที่โรงเรียนได้ดีอีกด้วย
นอกจาก
เรื่องราวของน้องพลับที่เป็นตัวอย่างหนึ่งของเด็กไทยรุ่นใหม่ยุค
Multilingual ในคอลัมน์ก่อนหน้านี้แล้ว ครอบครัวของคุณพัชมน ชาวสวน
ก็เป็นครอบครัวไทยอีกครอบครัวหนึ่งที่เห็นความสำคัญของการสนับสนุนให้ลูก ๆ
ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง
เธอมีเทคนิควิธีอย่างไรลองมาอ่านเรื่องราวต่อไปนี้ค่ะ
พ.ต.ต.หญิง
พัชมน ชาวสวน และครอบครัวอันประกอบด้วย คุณธนิศร เมฆนริทธิ์ สามี และลูก ๆ 3
คน น้องเอ็นดู อายุ 13 ปี, น้องดีดี – 4 ปี และน้องไพรซ์ – 1 ปีครึ่ง
เป็นครอบครัวหนึ่งที่เลือกใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในการสอนลูก ๆ ตั้งแต่เล็ก
เพราะเห็นว่าเด็ก ๆ
ในวันหน้าคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนิน
ชีวิตในสังคม คุณพัชมนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ
โดยทำหน้าที่เป็นล่ามแปลให้กับ “สถาบันฝึกอบรมระหว่างประเทศ
ว่าด้วยการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย” (International Law Enforcement
Academy – Bangkok หรือ ILEA-Bangkok)
องค์การระหว่างประเทศซึ่งทำหน้าที่ฝึกอบรมด้านวิชาการให้กับกลุ่มเจ้า
หน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานในเมืองไทยและนานาชาติ
ก่อน
หน้านี้คุณพัชมนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำแผนกองค์การตำรวจสากล
กองการต่างประเทศของกรมตำรวจ และเป็นตำรวจหญิงไทยเพียง 1 ใน 2 คนของประเทศ
ที่เคยเข้ารับการฝึกอบรมกับองค์กร FBI ประเทศสหรัฐอเมริกามาแล้ว
เรียกได้ว่าคุณพัชมนใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในการทำงานมาตลอด
กว่าจะมาเป็นขนาดนี้คุณอาจจะเหนือความคาดหมายเล็กน้อยหากได้ยินเธอยืนยันว่า
เธอได้พื้นฐานที่ดีจากการเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนและมหาวิทยาลับใน
ประเทศไทยเรานี้เอง
“ดิฉันเรียนจบจากม.รามคำแหง
เอกภาษาศาสตร์ภาษาอังกฤษ โทสื่อสารมวลชน
เรียนมัธยมจากโรงเรียนประจำจังหวัดที่ จ.สิงห์บุรี ค่ะ
มาจากครอบครัวคนธรรมดาอยู่ต่างจังหวัดไม่ได้ร่ำรวย
พ่อแม่ก็ไม่มีการศึกษาสูง สื่อการสอนที่จะช่วยกระตุ้นก็ไม่มี
ถึงจะเป็นเด็กเรียนแต่ไม่ได้ขยันเรียนมากไปกว่าคนอื่น แต่ทำไมเราถึงพูด ฟัง
และเขียนภาษาอังกฤษได้ดีมากกว่าคนอื่นอีกหลา ย ๆ คนในรุ่นเดียวกันทั้ง ๆ
ที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษค่อนข้างช้า คือประมาณ ป.5
เคยนึกย้อนหลังดูก็จับได้ว่าสิ่งที่ต่างจากคนอื่น ๆ
อยู่ตรงจุดเริ่มต้นบางจุดคือ
ครูที่มาสอนภาษาอังกฤษเราแต่ละขั้นตอนมีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน
คนแรกที่มาสอน ABCD จะเน้นพูดออกสำเนียงให้ชัดแบบฝรั่งจริง ๆ
ไวยกรณ์ไว้ทีหลังก็ได้
ส่วนคนที่สองเน้นเรื่องศัพท์
เป็นคนที่เล่าอะไรสนุก ๆ ทำให้เราอยากรู้ว่าอันนั้นอันนี้แปลว่าอะไร
ชอบหากิจกรรมที่ทำให้เด็กท่องศัพท์ได้
ส่วนคนที่สามจะเป็นคนสอนไวยากรณ์ที่เคร่งครัดมาก
และบุคลิตของครูสอนภาษาอังกฤษต้องเป็นคนที่ทันสมัย เก๋
ดูคล่องแคล่วว่องไวดึงดูดให้เราชอบ
ทำให้คิดว่าถ้าเราพูดภาษาอังกฤษได้เราต้องเก๋อย่างนี้แน่เลย
การที่ได้เรียนกับครูเหล่านี้ทำให้เรามีพื้นฐานแน่นและชอบเรียนภาษาอังกฤษไป
โดยปริยายค่ะ”