เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม

เจาะจุดเด่น "8 แนวการศึกษาทางเลือก" ตัวช่วยเลือกร.ร.ให้ลูก

เชื่อได้เลยว่า คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกใกล้เข้าวัยเรียน คงต้องคิดหนักเรื่องของการเลือกโรงเรียนให้กับลูกไม่น้อย เนื่องจากสมัยนี้ มีโรงเรียนมากมาย และผุดขึ้นอีกไม่รู้กี่แห่ง ทำให้พ่อแม่ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆ กัน โดยเฉพาะการหาโรงเรียนที่ดี มีระบบการเรียนการสอนที่ตรงกับพัฒนาการของลูก

 

การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ (Montessori Method)

       เริ่มเก็บข้อมูลกันที่ แนวการเรียนการสอนแบบ "มอนเตสซอรี่" เป็นหลักการสอนที่ยึดหลักตามพัฒนาการและความต้องการของเด็กวัย 0-6 ปี ซึ่งหัวใจสำคัญอยู่ที่ "สภาพแวดล้อม" โดยมีครูเป็นผู้เตรียมสภาพแวดล้อม ดังนั้นผู้ใหญ่หรือผู้ที่ดูแลเด็กจะต้องมีสัมพันธภาพที่ดี มีความรัก เอื้ออาทร มีเสรีภาพ ให้เด็กมีโอการเลือกและสิ่งที่สำคัญของการเรียนแบบมอนเตสซอรี่ คือ "มือ" เพราะมือคือครูที่สำคัญคนหนึ่ง เด็กสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านมือตัวเอง โดยคุณพ่อคุณแม่และคุณครู เป็นผู้เปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้และทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
       
       แนวการสอน จะเน้นการใช้สื่ออุปกรณ์ให้เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง สร้างความเข้าใจได้ง่ายขึ้น เด็กๆ จะมีอิสระในการหยิบอุปกรณ์ชิ้นใดก็ได้มาทำ เขาอาจจะเลือกหยิบชิ้นที่ยากเกินความสามารถของตัวเอง เมื่อพบว่าตัวเองทำไม่ได้ เขาก็จะนำไปเก็บและหยิบอุปกรณ์ชิ้นใหม่ขึ้นมาแทน ทั้งนี้การฝึกฝนจากอุปกรณ์ที่ง่ายและขยับขึ้นไปสู่อุปกรณ์ที่ยากจะเป็นไปตามพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก โดยกิจกรรมหลักของแนวทางนี้ มีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่มคือ กลุ่มประสบการณ์ชีวิต เพื่อฝึกให้เด็กมีสมาธิ ระเบียบวินัย กิจกรรมในกลุ่มประสาทสัมผัส และกิจกรรมในกลุ่มวิชาการ
       
       
อย่างไรก็ดี การสอนแนวนี้ จะเน้นการเรียนรู้เป็นรายบุคคลและเป็นไปอย่างมีขั้นตอน เพราะเชื่อว่าเด็กปฐมวัยชอบความเป็นระเบียบ แต่จุดอ่อน คือแง่ทักษะในสังคม เด็กจะขาดปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนและครู เพราะเด็กต้องทำกิจกรรมของใครของมัน ปล่อยให้เด็กคิดอย่างอิสระ ทำด้วยตัวเอง ส่วนจุดแข็งที่ทำให้เราเห็นความแตกต่าง คือความเชื่อในเรื่องประสาทสัมผัสทั้ง 5 ซึ่งช่วยพัฒนาการเด็กได้มาก
       
       สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการให้ลูกเป็นเด็กเรียบร้อย แล้วอยากจะเลือกการศึกษาแนวนี้ ควรต้องดูให้ถึงแก่นว่าโรงเรียนที่บอกนั้นได้ยึดหลัก "เด็กเป็นศูนย์กลาง" (Child Center) หรือไม่ และอุปกรณ์ที่ให้เด็กใช้เป็นอย่างไร รวมถึงครูผู้สอนผ่านการฝึกอบรมมานักแค่ไหน
       
       สำหรับโรงเรียนอนุบาลที่นำแนวคิดมาใช้ได้แก่ โรงเรียนอนุบาลกรแก้ว http://www.kornkaew.th.edu และโรงเรียนอนุบาลสาริน www.anubansarin.com
       
การเรียนการสอนแบบวอล์ดอร์ฟ (Waldorf method)
       
       เป็นการสอนที่สอดคล้องกับความต้องการของเด็กๆ ที่ควรได้เล่นอย่างอิสระ มีชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ เน้นให้เด็กๆ รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตัวเองในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก ผ่านกิจกรรม 3 อย่าง คือ กิจกรรมทางกายหรือการกระทำ กิจกรรมทางอารมณ์ความรู้สึก และกิจกรรมผ่านความคิดหรือสมอง โดยเน้นให้เด็กใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสติปัญญา หรือศาสตร์ของศิลปะ
       
       แนวนี้เชื่อว่า "จินตนาการของเด็กคือการเรียนรู้" โดยจะสอนตามพัฒนาการของเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 0-7 ปี ที่ถือว่าเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางร่างกายมากที่สุด เน้นไปที่การเรียนรู้แบบธรรมชาติ ไม่มีการสอนแบบชั้นเรียน ห้องเรียน จะมีมุมต่างๆ ให้เด็กได้เรียนรู้จากการเล่นของธรรมชาติ ใช้ของง่ายๆ พื้นๆ เช่นการวาดรูปด้วยสีน้ำ การปั้นดินเหนียว การปลูกผัก ทำอาหาร ประดิษฐ์งานฝีมือ ล้างจานและทำความสะอาดอื่นๆ
       
       อย่างไรก็ดี การเรียนการสอนในแนวนี้ เป็นการสอนเพื่อพัฒนามนุษย์ให้ได้ถึงส่วนลึกที่สุดของจิตใจ การนำวิธีการสอนแบบวอล์ดอร์ฟ จำเป็นต้องนำทั้งระบบการศึกษาไปใช้ควบคู่กับรูปแบบ ดังนั้นพ่อแม่ต้องพิจารณาความเหมาะสมของสถานศึกษาอย่างรอบคอบก่อนส่งลูกไปเรียนในหลักสูตรนี้
       
       สำหรับโรงเรียนอนุบาลไทยที่นำแนวคิดนี้ไปใช้ ได้แก่ โรงเรียนปัญโญทัย www.panyotai.com โรงเรียนอนุบาลบ้านรัก www.baanrakk.th.edu และโรงเรียนแสนสนุกไตรทักษะ www.tridhaksa.ac.th

การทำกิจกรรมของเด็กๆ /ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
*** เรกจิโอเอมิเลีย (Reggio Emilia Approach

เป็นหลักการสอนที่เชื่อว่า การเรียนรู้เกิดจากการปฏิสัมพันธ์ และบริบทของสังคมที่เด็กอยู่เป็นตัวกำหนด จะต้องเรียนรู้ว่าสังคมรอบตัวเป็นอย่างไร ผลงานที่เด็กทำจึงต้องเกิดจากความสนใจของเด็กที่ลองผิดลองถูกเองทั้งหมด
       
       โดยการศึกษาแนวนี้ เชื่อเสมอว่า เด็กมีความสามารถในตัวอยู่แล้ว ครูจึงมีบทบาทที่จะเข้ามาขยายความสามารถนั้น เปิดโอกาสให้เด็กค้นคว้าเรียนรู้ และความสนใจของเด็กต้องได้รับการสานต่อและเชื่อมโยง ซึ่งมีหลายข้อที่น่าสนใจดังนี้
       

       1. วิธีการมองเด็ก เด็กแต่ละคนมีลักษณะที่เป็นตัวของตัวเอง มีศักยภาพและความสามารถในตัวเองมาตั้งแต่เกิด คุณครูต้องรับรู้ถึงศักยภาพ ส่งเสริม สร้างสิ่งแวดล้อมที่จะสนองตอบต่อศักยภาพเด็กอย่างเหมาะสม
       
       2.โรงเรียนเป็นแหล่งการบูรณาการสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย การดำเนินการจึงต้องคำนึงถึงองค์ประกอบทั้ง 3 คือ เด็ก ครอบครัว และครู สภาพแวดล้อมในโรงเรียน ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นมิตรสำหรับทุกคนที่ได้เข้าสัมผัส
       
       3. ครูและเด็กเรียนรู้ไปด้วยกัน การเรียนรู้ที่มีคุณค่าสำหรับเด็กไม่ใช่การสอนจากครูที่เป็นการบอกเล่าโดยตรง แต่เป็นการจัดสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้
       
       4. ครูต้องปฏิบัติตัวเป็นนักศึกษา ค้นคว้า วิจัย และสำรวจ พูดง่ายๆ คือ ครูต้องเป็นมากกว่าครู เพื่อนำพาเด็กไปสู่การเรียน ที่ก้าวหน้า พัฒนาสติปัญญาในขั้นต่อไป
       
       สำหรับโรงเรียนอนุบาลไทยที่นำแนวคิดนี้ไปใช้ ได้แก่ โรงเรียนมณีรัตน์ www.maneerut.com
       
       *** การเรียนการสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language Approach)
       

       แนวการสอนนี้ ถูกนำมาสอดแทรกไปกับการเรียนรู้ภาษา ทั้งการพูด การเขียน และการอ่าน เป็นการเรียนรู้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ เด็กจึงไม่มีความรู้สึกว่ายากลำบากในการเรียน เพราะเด็กเกิดมาพร้อมกับความสามารถที่จะเรียนรู้ภาษา
       
       โดยในห้องเรียน จะต้องมีกิจกรรมที่มีความหมายต่อเด็ก มีลักษณะสร้างสิ่งแวดล้อมให้เด็กคุ้นกับหนังสือ ควรมีหนังสือให้เด็กเลือกอ่านตามความสนใจ อ่านหนังสือให้ฟังทุกวัน ให้เด็กเล่าเรื่องจาก การพูด การเขียน การวาด หรือการแสดง โดยยึดเด็กเป็นศูนย์กลางสอนเด็กตามระดับความสามารถที่แตกต่างกัน ซึ่งครูจะมีบทบาทมากในการกระตุ้นให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่เป็นภาษา กระตุ้นให้เด็กลองเขียน ผิดๆ ถูกๆ ให้กำลังใจ ส่วนพ่อแม่ต้องสร้างเจตคติให้ลูกรู้จักการสื่อสาร รักในการพูด อ่าน เขียนไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่ตั้งเป้าเอาไว้ว่า ลูกอยู่อนุบาล 3 แล้วจะต้องอ่านออกเขียนได้ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด
       

       สำหรับโรงเรียนอนุบาลไทยที่นำแนวคิดนี้ไปใช้ ได้แก่ โรงเรียนทอรัก www.taurakschool.net และ โรงเรียนอนุบาลวัฒนาสาธิต www.wattanasatitschool.com
ให้เด็กได้สัมผัสประสบการณ์จริงนอกห้องเรียน
*** การเรียนการสอนแบบโครงการ (Project Approach)
       

       หลักคิดของแนวการสอนแบบนี้ เป็นการกระตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา พัฒนาการทางสังคมของเด็ก หากเด็กจะเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หัวข้อนั้นๆ ไม่ได้มาจากครู แต่มาจากตัวของเด็กเอง เป็นแนวการสอนที่ดึงศักยภาพเด็กออกมา เพราะฉะนั้นเด็กเก่งก็สามารถช่วยเด็กอ่อนได้ ในขณะที่เด็กอ่อนก็ไม่รู้สึกแปลกที่ไม่เป็นการเรียนแบบแพ้คัดออก ทั้งยังเน้นให้เด็กคิดเอง ที่สำคัญเด็กได้เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ หู ตา มือ ปาก และความรู้สึก
       
       อย่างไรก็ดี ในประเทศไทยนั้นมีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกันคือ 1.รูปแบบโครงการที่ให้เด็กตั้งสมมติฐานในสิ่งที่สนใจอยากเรียนรู้ จากนั้นให้ทดลองว่าเป็นไปตามที่คาดคะเนไว้หรือไม่ 2.รูปแบบ Reggio เป็นโครงการที่ไม่มีโครงสร้างจำกัดมากนัก และ 3.โครงการแบบมีกระบวนการครบทั้ง 5 ขั้น คือ อภิปรายกลุ่ม ออกภาคสนาม การนำเสนอประสบการณ์เดิม การสืบค้น และการจัดแสดง อย่างไรก็ดี การเรียนแนวนี้ ก็มีข้อจำกัดถ้าหากไม่มีการพาเด็กออกภาคสนามหรือทัศนศึกษา จะทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง
       

       สำหรับโรงเรียนอนุบาลไทยที่นำแนวคิดนี้ไปใช้ ได้แก่ โรงเรียนอนุบาลธีรานุรักษ์ www.teeranurakschool.com โรงเรียนวรรณสว่างจิต www.wsc.ac.th และโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ http://kukai.ac.th
       
       *** นีโอ-ฮิวแมนนิสต์ (Neo-Humanist Education)
       

       เป็นการเรียนการสอนที่นำศาสตร์ทางตะวันออกกับความทันสมัยของตะวันตกมาผสมผสานเข้าด้วยกัน มีการให้เด็กๆ ฝึกสมาธิ ทำโยคะโดยมีเสียงเพลงประกอบ และได้รวบรวมวิธีการสอนใหม่ๆ เข้าไปด้วย โดยให้ความสำคัญกับ ความเก่ง ความฉลาด ที่เป็นศักยภาพที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ พร้อมกับเชื่อว่าความเป็นคนที่สมบูรณ์เกิดจากศักยภาพที่สำคัญทั้ง 4 ด้าน คือ
       
       ด้านร่างกายจะต้องแข็งแรง ด้านจิตใจ ถ้าร่างกายแข็งแรงแต่จิตใจกลับอ่อนแอ เด็กก็จะขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ด้านการมีน้ำใจ มีความรักและความเมตตาให้กับคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน และสุดท้ายด้านวิชาการ จะต้องมีความรู้ไว้พัฒนาการตนเอง แนวคิดนี้เชื่อว่าการเรียนรู้ของเด็ก 95 % มาจากสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาการเด็ก อีก 5 % เป็นเรื่องกรรมพันธุ์ที่ได้รับจากพ่อแม่ ซึ่งในหมู่นักการศึกษากลับมองว่า หลักความเชื่อเช่นนี้ ค่อนข้างชี้ชัดเกินไป เพราะในวิถีของเด็กยังมีปัจจัยอีกมากที่ส่งผลต่อการเรียนรู้
       
       สำหรับโรงเรียนอนุบาลที่นำแนวคิดนี้ไปใช้ คือ โรงเรียนอมาตยกุล โทร.02-972-8894-5 หรือ 02-986-1663
       
       *** การเรียนการสอนแบบไฮ/สโคป (High/Scope Approach)
       
       เป็นการเรียนที่ใช้หลักการให้เด็กริเริ่มกิจกรรมด้วยตัวเอง ได้ลงมือปฏิบัติ และเลือกสื่อที่เกี่ยวข้องกับการเรียน โดยมีครูเป็นผู้สนับสนุนและกระตุ้นให้เกิดการทำกิจกรรม เน้นกระบวนการเรียนรู้ 3 ขั้นตอน คือ การวางแผน, การปฏิบัติ และการทบทวน โดยต้องระวังว่ากระบวนการต้องมาจากความคิดของเด็กๆ ไม่ใช่การชี้นำของครูผู้สอน
       
       สำหรับโรงเรียนอนุบาลที่นำแนวคิดนี้ไปใช้ ได้แก่ โรงเรียนเกษมพิทยา (แผนกอนุบาล) www.kasempit.th.edu
       
       *** การเรียนการสอนแบบวิถีพุทธ (Buddhist Education)
       
       ส่วนแนวการเรียนการสอนสุดท้าย เป็นแนวคิดที่ทีมงานได้เคยนำเสนอไปแล้ว ถ้าพ่อแม่ท่านใดสนใจแนวทางวิถีพุทธ สามารถเข้าไปอ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ ส่งลูกเข้าเรียน "วิถีพุทธ" ใครว่าเด็กจะล้าหลังคร่ำครึ!
สำหรับบ้านไหนที่สนใจแนวโรงเรียนทางเลือกแบบใด และหากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อไปตามโรงเรียนได้ หรือติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0-2269-1091-50


ขอบคุณข้อมูลจาก ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มิถุนายน 2553 15:14 น. http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000086994

ยูทูเบบี้

Views: 225

Reply to This

Replies to This Discussion

Ten Ten ก้อมองหาโรงเรียนอยู่ครับ ปวดหัวเหมือนกันไม่รู้จะเลือกแบบไหนดี

RSS

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service