เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม

โดนต่อต้านการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวถึง 6 เดือนกันบ้างมั้ยคะ

ตอนนี้ลูกชายเรา 4 เดือนกับ 5 วันค่ะ น้ำหนัก 7.52 kgs. กินนมแม่ล้วน ๆ มาตลอดค่ะ และก็ตั้งใจที่จะให้ลูกทานนมอย่างเดียวถึง 6 เดือน เพราะเราเป็นภูมิแพ้มาตั้งแต่เด็ก คิดว่าสาเหตุหนึ่งก็เพราะแม่ไม่มีนมให้ทาน

 

จนเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พ่อแม่สามีขึ้นมาอุ้มลูกชายลงไปข้างล่างตอน 8 โมงเช้า ลูกยังไม่ทันตื่นเต็มตาเลยค่ะ ปกติเราจะได้อยู่กับลูกแค่ตอนเช้าก่อน 9 โมง แล้วก็เลิกงานหลัง 4 ทุ่ม ปกติจะรอให้เค้าตื่นเองตอนประมาณ 8 โมงครึ่ง แล้วเราก็จะเล่นกัน กอดกันตามประสาแม่ลูก พอเค้าทำแบบนี้เราก็รู้สึกน้อยใจนะ เหมือนโดนแย่งเวลาที่เราจะมีให้ลูกน้อยนิดให้ยิ่งน้อยลงไปอีก อีกสักพักเราก็ตามลงไป เค้ากำลังป้อนโจ๊กให้อยู่ค่ะ โจ๊กใส่ไข่ที่ซื้อมาจากร้านแถวบ้าน  ข้าวยังเป็นเม็ดอยู่เลย เราก็คุยกับสามี ว่ายังไม่อยากให้ลูกกินอาหารอื่นเลย นมเราก็มีมากพอให้ลูกกินได้มาตลอด แล้วข้าวกับไข่มันมีประโยชน์เท่านมของเราหรอ แล้วเค้าก็ไปคุยกับพ่อแม่เค้าค่ะ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นค่ะ  เพราะพ่อแม่เค้าบอกว่า เมื่อก่อนก็เลี้ยงสามีมาแบบนี้ ให้กินตั้งแต่ 2 เดือนกว่าด้วยซ้ำ คนอื่นเค้ากินกล้วย กินน้ำผลไม่อะไรกันไปถึงไหนแล้ว เราเองก็ไม่อยากจะพูดเองให้มีปัญหาค่ะ ก็ได้แต่พูดกับสามีอีกครั้งเมื่อวานตอนเช้า ทีนี้นอกจากป้อนตอนเช้าแล้ว ยังป้อนมื้อเย็นด้วยค่ะ

 

เลยอยากขอความคิดเห็นจากสมาชิกหมู่บ้านสองภาษา ว่าเจอเหตุการณ์อย่างนี้จะทำยังไงกันคะ

Views: 1344

Replies to This Discussion

โดยส่วนตัว ... กันไม่โดนต่อต้านค่ะ

1. แต่เลือกที่จะให้ลูกกินนมแม่สลับกับนมผสม แล้วก็เลือกที่จะหยุดเองเมื่อลูกเข้าเดือนที่ 4 แล้วเปลี่ยนจากน้ำอุ่นธรรมดาที่ชงนม มาเป็นน้ำต้มผัก น้ำซุปไก่ น้ำข้าวกล้องงอก ฯลฯ ตามแต่สมควรและผสมกะนมได้ เพราะว่าไม่อยากให้ลูกติดนมเราจนไม่ยอมทานอาหารเสริมอย่างอื่น (เคยเจอเพื่อนเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน พอจะให้อาหารเสริม ลูกไม่ยอมกิน นมผสมก็ไม่กิน หาหลายวิธีก็ไม่ยอมกิน แล้วยังติดนมแม่ต้องดูดจากเต้าอีกด้วย จนเพื่อนเอาเฮลล์บลูบอยใส่ให้ลูกกิน ลูกถึงยอมกิน เราไม่อยากให้น้องเจเป็นอย่างงั้นค่ะ)

2. (ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ) กันและน้องชายอีก 2 คนไม่ได้โตมาด้วยนมแม่ (อันนี้แม่บอก) แม่ให้นมผสมตลอด ตัวกันก็เกิดก่อนกำหนด กันเกิดตอน 7 เดือนเศษ แต่ก็ผ่านช่วงนั้นมาได้ แข็งแรง และไม่เป็นภูมิแพ้จนถึงวันนี้ค่ะ

3. ด้วยความไฮเปอร์ ... ต้องดูแลร้านอาหารและร้านชุดคลุมท้อง ก็เลยจัดแบ่งเวลาให้นมแม่และนมผสมได้อย่างลงตัว น้องเจก็แข็งแรงดี สูง และพัฒนาการก็สมวัยดีค่ะ กันก็มีเวลาทำอย่างอื่น (เพราะมีเรื่องให้คิดและทำอีกเยอะ รวมทั้งคิดกิจกรรมหรือสอนอะไรที่อยากสอนให้ลูกด้วย ดีกว่าต้องมาพะวงเรื่องนม ทุกเวลามีค่ามากมายค่ะ) ....

อ่านจากเหตุการณ์น่าเห็นใจค่ะ ขอเล่าอีกนิดได้ป่าวคะ :)

ตอนน้องเจ 4 เดือน กันก็จะเริ่มอาหารเสริม แต่มะม๊ากัน (อาม่าน้องเจ) ค่อนข้างจะค้าน คืออยากให้เน้นที่นมมากกว่า จะนมแม่หรือนมผสมก็ได้ (แต่เราก็เลือกใช้ทั้งสองอย่างแต่จัดเวลาให้ลงตัว) ช่วงนั้นยอมรับมาก ๆ ว่าอ่านหนังสือเยอะ และจะตามหนังสือด้วย ก็โดนอาม่าดุเหมือนกันว่ากระเพาะเด็กยังเล็กมาก อาม่าพูดคำเดียวกลัวลูกไม่ได้กินเหรอ ... เค้าอยากให้เริ่มจากน้ำต้มผัก น้ำซุปไก่ น้ำต้มกระดูกหมู เราก็ก็ทัดทานลำบาก ก็ลองตามอาม่าดู ... น้องเจก็กินนมเยอะเหมือนเดิม เยอะกว่าเดิมด้วย (คิดว่าใช้น้ำอื่นแทนน้ำอุ่นธรรมดาน่าจะอร่อยขึ้นมั้ง 555+) และที่เพิ่มมาคือน้ำข้าวกล้องงอก เพราะตอนนั้นกะลังฮิต อ่านดูก็เวิร์คดี จืด ๆ ชงให้กินก็กินดี ก็เลยทำอย่างงี้มาตลอด (เราสลับกะน้ำต่าง ๆ ที่อาม่าทำ บางครั้งก็มีเอาเป็นน้ำฟักทอง น้ำแครอท น้ำมะเขือเทศ บางทีก็ผักรวม ปั่นแล้วทำเจือจางมาผสมนมด้วย) จนจริง ๆ แล้วเคยลังเลว่าจะเริ่มอาหารเสริมยังงัยดี อาม่าไม่ค่อยอยากให้เริ่ม อาม่าอยากให้เริ่มตอนขวบนึง (แต่เราอ่านหนังสือเนี่ย ตอนขวบนึง กินข้าว 3 มื้อแล้ว แต่น้องเจเพิ่งเริ่มได้แค่ครึ่งนึงของมื้อเช้าที่เหลือก็จะเป็นนม ผลไม้ และอาหารเสริมอื่น ๆ แต่ต้องยอมรับว่าวิธีอาม่าค่อนข้างโอเค (เรามายอมรับมาก ๆ ตอนที่น้องเจขวบครึ่ง น้องเจกินได้ทุกอย่างเลย กินเก่งมากด้วย แต่ไม่อ้วนนะ ส่วนนึงเพราะว่าทุกคนที่บ้านไม่ได้สอนให้กินจุกจิก เราจัดเวลากินมื้อหลักและต้องตามนั้น แล้วเสริมนมตลอด) ตอนนี้น้องเจ 4 ขวบกว่าแล้ว กินเก่งเหมือนเดิม เน้นมื้อหลักเป็นเวลา เสริมนม และอาหารว่างตามเวลาเหมือนที่โรงเรียน ไม่ได้กินจุกจิกเหมือนเดิม .. น้องเจตัวสูง หนัก แต่ไม่อ้วน หุ่นดีมากเลย :)

ที่เล่ามาทั้งหมดก็อยากสรุปว่า ... แนวทางการเลี้ยงลูกเลี้ยงเด็กของแต่ละครอบครัวก็แตกต่างกันไป อยู่ที่ว่าใครพอใจที่จะเลี้ยงแบบไหน และเน้นไปทางไหนมากกว่าระหว่างนมแม่ นมผสม หรืออาหารอื่น ในสถานการณ์แบบนี้อาจจะหักดิบกับคุณแม่สามียากหน่อย แต่กันก็มองว่าเราก็มองในแง่ดีไว้ก่อน (เพราะแม่สามีเอ็นดูหลานนะ เค้าถึงอยากทำสิ่งดี ๆ ให้) เราก็หาเวลาคุยกะท่านว่าเราขอให้นมแม่กะลูกด้วย มื้อไหน เวลาใดก็ว่ากันไป ส่วนเวลาอื่นเสริมได้ และ (พูดให้ท่านดีใจซักนิดว่า) ให้คุณแม่ช่วยดูนะคะ อะไรทำนองนี้ค่ะ (คือถ้าเป็นกัน กันน่าจะทำอย่างงี้ค่ะ แต่ถ้ามันมากไป ก็ต้องคุยกันนิดนึงทำความเข้าใจกันหน่อยค่ะ) :)
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดี ๆ ค่ะ
จริง ๆ จะว่าไปอ้อมก็ไม่ถึงกับไม่เห็นด้วยกับการเริ่มอาหารเสริมตอน 4 เดือนนะคะ แต่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการที่จะสอนลูกเริ่มทานมากกว่า เพราะที่บ้านสามีจะไม่ทำกับข้าวทานค่ะ ซื้อข้าวกล่องจากร้านแถวบ้านตลอด ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวมันไก่ ไก่ทอดกับข้าวเหนียวอะไรอย่างนี้ แล้วนิสัยการกินของสามีคือจะไม่ค่อยทานผัก ทานเป็นอยู่สองอย่าง ผักบุ้งกับผักกาดขาว ซึ่งนาน ๆ จะกินสักครั้งนึง กินจุกจิก ชอบทานน้ำอัดลม ปรุงก๋วยเตี๋ยวใส่แต่น้ำตาลกับน้ำปลาเยอะมาก ซึ่งตรงข้ามกับอ้อมโดยสิ้นเชิง เพราะแม่จะเลี้ยงอ้อมเหมือนอาม่าน้องเจเลยค่ะ ให้ทานอาหารหลากหลายที่มีประโยชน์ ไม่ทานจุกจิก
อ้อมคิดว่าเรื่องนิสัยการกินก็สำคัญกับสุขภาพค่ะ ต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ไม่งั้นก็จะติดนิสัยไปถึงโตซึ่งจะให้มาแก้กันมันยาก ครั้นจะพูดกับพ่อแม่สามีเองก็จะต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โตแน่ค่ะ เพราะนิสัยทั้งสองคนไม่ค่อยรับฟังเหตุผลของคนอื่น อ้อมเลยไม่รู้จะทำยังไงดี
กันว่าวินัยการกิน ... ฝึกได้จ้ะ ตอนที่คุณแม่สามีเอาอะไรให้กิน ก็คอยดูปริมาณ แต่เวลาลูกอยู่กะเรา เราก็ค่อย ๆ สอนเค้า โดยมีเราเป็น "ต้นแบบ" เช่น เราอยากให้ลูกกินผัก อาจจะเริ่มจากง่าย ๆ ก่อน ชิ้นเล็ก ๆ เรากินให้ลูกดู คุยเลยอร่อยมาก ลองดูนะ ถ้ากินครั้งแรกติดใจ คราวหน้าก็จะขออีก แรก ๆ กันก็กลัวน้องเจไม่กินผักนะ ก็คิดว่าจะทำงัยดีน๊อ ... ก็เอาผักเนี่ยใส่ในโจ๊ก ตุ๋นเลย นิ่ม ๆ หมูชิ้นเล็ก ๆ หมักอร่อย ๆ ... รับรองติดใจ

อย่างถ้าเป็น Case ที่คุณอ้อมเล่าว่าให้กินโจ๊ก คุณอ้อมก็ลองคุยกะคุณแม่สามีดูจิ .. (ถ้าคุณอ้อมตุ๋นโจ๊กหรือทำอาหารเป็นนะ) ก็บอกว่าคุณแม่คะ อ้อมทำให้ แล้วฝากคุณแม่ป้อนเหมือนเดิม (คุณแม่ก็มองเราในแง่ดีด้วย ลูกเราก็ได้รับสารอาหารที่ดีมีประโยชน์ด้วย)

คุณอ้อมก็เริ่มใส่ฟักทองนิดนึงให้โจ๊กมีสีสัน แล้วฝากให้คุณแม่สามีป้อนเหมือนเดิม กันว่าขี้คร้าน เค้าจะทำให้ด้วยความเต็มใจ พอน้องเริ่มทานได้ ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนผักไปเรื่อย ๆ ตำลึงบ้าง แครอทบ้าง มะเขือเทศบ้าง ผักกาดขาวบ้าง ฯลฯ ตุ๋นนิ่ม ใส่เนื้อปลาชิ้นเล็ก ๆ บ้าง หรือจะใส่ไข่บ้าง คือน้องยังอายุน้อยอยู่ เราก็ใส่แต่น้อย พอเริ่มโต เราก็เพิ่มปริมาณ เริ่มเพิ่มผักจาก 1 อย่างเป็น 2 อย่าง โตอีกหน่อย อาจจะไม่ต้องตุ๋นจนยีเข้ากะโจ๊กแล้ว หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าแล้วตุ๋น ก็นิ่มเหมือนกัน น้องก็จะได้คุ้น ประยุกต์ได้กะอาหารทุกอย่างเลย >>> เทคนิคไม่ซื้อข้าวกล่อง ... โดยคุณอ้อมเป็นคนทำงัย แต่บอกคุณแม่ช่วยป้อนน้องนะค๊า ... 5555+

โตหน่อยกินผักเป็น กินอะไรได้หลากหลายทีนี้ก็ง่ายแล้ว แต่อย่าทำแบบ อะไรก็กินไม่ได้ อันนี้ไม่ได้ อันนั้นไม่ได้ ... เจอมาอีกแล้ว กับลูกเพื่อน ลูกอยากกินไก่ทอด แค่ชิ้นนิดเดียวเอง พ่อของลูกไม่ให้ (เพื่อนก็เลยไม่ให้) อยากกินแคร๊กเกอร์ ก็เป็นแบบเดิมอีก เฟรนช์ฟรายด์ ไม่ให้ อะไรก็ไม่ให้ ทีนี้ปัญหาเกิดที่ลูกเลย ไม่กินอะไรซักอย่าง กินแต่เนยถั่วกะขนมปัง แล้วก็ ซีเรียลอีกนิดหน่อย ตอนนี้อายุ 3 ขวบกว่า (ห่างกะน้องเจ 6 เดือน) ตัวเตี้ย เล็ก น้ำหนักน้อยมากกว่าน้องเจเจอะมาก (ลูกคนโตของเพื่อนคนนี้ ตัวเท่ากะน้องชายเค้าแค่อายุขวบครึ่ง แล้วน้ำหนักน้อยกว่าน้องโลกว่าเลย) ส่วนน้องเจ 4 ขวบ สูงเกือบ 120 ซม. หนักประมาณ 20 กก. แล้ว .... ตอนแรก ๆ ที่เพื่อนเล่าให้กันฟังเรื่องของกินลูกนะ กันบอกว่าเด็กเนี่ยมันกินอะไรไม่ได้เยอะมากหรอก บางทีอะไรที่เป็นมื้อหลักก็กินให้ตรงเวลา ไก่ทอดกินได้ กินแค่ไม่ถึงครึ่งชิ้นไม่ถึงกับทำให้เจ็บคอหรือป่วยอะไร เค้าไม่ให้ลูกกิน ... ตอนนั้นที่กลับมาไทย มาไหว้พระที่ชลบุรี กันพาครอบครัวเพื่อนไปกินข้าว กันเห็นเลยว่า เด็กมีปัญหาจริง ๆ ขณะที่เราเอาทอดมันกุ้งให้ลูกกินกะข้าว ลูกเรากินอย่างอร่อยเลย ส่วนลูกเค้าไม่กินเลย พอเริ่มกิน เด็กก็เล่น (ไอ้เล่นเขี่ยข้าวเนี่ยไม่มีปัญหาเลยนะ เอาแค่พองามก็พอ แต่ขอให้กิน แต่ครอบครัวเค้าไม่ใช่นะ) วันนั้นขนาดน้องเจกินเองนะ กันป้อนลูกคนเล็กให้เค้า ลูกคนโตเริ่มเขี่ยข้าว ไม่กินทอดมันกุ้ง ไม่กินปลากระพงทอดน้ำปลา จะกินแค่ขอบกรอบ ๆ (ถ้าเป็นกัน กันจะไม่ห้ามนะ เพราะถือว่าลูกยอมกิน) พ่อเค้าดุทันที ให้กินอย่ามัวแต่เล่น อย่าทำข้าวหก ตลอดเป็นชั่วโมงที่นั่งตรงนั้น มีแต่คำว่า "อย่า" และ "ห้าม" ... น้องเจกินเกือบหมดเริ่มบอกเราว่าเดี่ยวกินข้าวเสร็จอยากกินไอศกรีม เราก็สัญญานะ กินเสร็จเดี๋ยวพาไปเลือก :) ลูกเพื่อนได้ยินอย่างงั้นก็อยากกินมั่ง เพื่อนเริ่มพูดบ้างบอกว่าอย่าพูดให้ลูกเค้าได้ยิน เดี๋ยวไม่ยอมกินข้าว พ่อก็สัมทับนะว่าให้กินข้าว ห้ามกินไอศกรีม (อีกแล้ว) ...... วันนั้นการกระทำของเพื่อน ขัดใจเราอย่างแรง ลูกเริ่มไม่มีความสุข เริ่มโวยแล้ว .... เราเลยบอกว่ากะลูกเพื่อนว่า "น้องโคลคะ กินให้อี๊ดูซัก 3 - 4 คำก่อนนะ เดี๋ยวอี๊ทิมาพาไปเลือกไอติมกะน้องเจ" (เพื่อนค้อนและเตะเท้าเราอย่างแรง แต่เราก็ยังพูดกะน้องโคลอย่างงั้น) น้องโคลยอมกิน กินครบ 4 คำ กันบอกน้องเจไปรอที่ตู้ไอติมเดี๋ยวมะม๊าตามไป น้องเจก็ไปรอ กันไปจูงน้องโคล แล้วพาไปเลือก ได้มาคนละถ้วย น้องเจกินอย่างมีความสุข น้องโคลเองก็ดูมีความสุขดี (แต่เพื่อนเริ่มจะแบ่งจากลูกครึ่งนึง ... กันเลยบอกให้เพื่อนไปเอาใหม่) ลูกมีความสุขดีแล้วปล่อยเลยตอนนี้ ยอมกินแล้ว กินหมดถ้วย มาขออีก พ่อเริ่มดุอีก ... กันเลยบอกเพื่อนว่า "โอกาสทองแล้วนะแก ลูกแกไม่เคยขอกินอีก ในไอติมก็มีนม ให้ลูกแกกินดิ พาไปเลือก" เพื่อนยอมขัดใจสามีพาลูกไปกิน เด็กก็ยังเด็กนะ กินได้นิดเดียว อย่างที่บอก เค้ากินแค่เค้าอิ่ม น้องโคลกินอีกถ้วยไปได้แค่ 2 - 3 คำเท่านั้น เท่ากับว่ากินข้าวได้ 4 คำกะไอติมอีกถ้วยนิด ๆ" ... จริง ๆ ถ้าอยู่ใกล้บ้านเราหน่อย จะพาน้องโคลมากินข้าวกะน้องเจทุกวัน กันว่าปัญหานี้น่าจะดีขึ้น

ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน ... เพื่อนบอกว่ากันเป็นเพื่อนคนแรกที่สามีเค้าชวนไปเที่ยวบ้าน ... หลัง ๆ เค้าก็ยิ้มให้กันอย่างมีไมตรีมากขึ้นด้วยอะแหละ (คงไม่ใช่เรื่องน้องโคลคนเดียว แต่น้องเชสลูกคนเล็กก็ด้วย ก็ตอนไปไหว้พระ แทนที่เราจะถอดรองเท้าให้น้องเชส กันใช้วิธีเดียวกับน้องเจตอนเด็ก ๆ คือ ให้น้องเชสนั่งตักกัน แล้วสอนน้องเชสถอดรองเท้าเอง โดยกันทำท่าไม่มีแรง ถอดไม่เป็น น้องเชสก็ถอดแล้วก็ไปวางที่ชั้นตามที่เราบอกได้ด้วย) :)

เล่าให้ฟังเป็นประสบการณ์และอุทาหรณ์ล่ะ ... จริง ๆ มีอีกหลายเรื่อง (และหนักพอกัน) จากเพื่อน ๆ หลายคน เอาไว้ถ้ามีกระทู้ไหนที่คล้าย จะเข้าไปเล่าเพิ่ม ... (และภาวนาทุกทีว่าเราจะทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุด ... อย่าให้มันเกิดเหตุการณ์อย่างงี้กะลูกเราเล้ยยยย :P เรื่องบางเรื่อง ไม่มีในตำรา ต้องอาศัยเทคนิคและสติแก้ปัญหาเฉพาะหน้าล่ะ ... สู้ ๆ ค่ะ!)
ลืมเล่าอีกนิด .... ผู้ใหญ่ใจดีหลายคนไม่รู้ว่าน้องเจชอบกิน "สุกี้" .... พอเห็นกันตั้งหม้อ ก็รอดูว่าน้องเจจะยอมกินผักมั๊ย น้องเจกินผักทุกอย่างเลย สุกี้เนี่ยดีที่สุดเลยนะ ได้ครบทุกหมู่อาหารเลย ไม่มันด้วย :) น้องเจชอบให้เอามักโรนีมากินกะสุกี้ บอกว่าจะทำเป็นซุป บางทีก็มีบะหมี่หยกด้วย อาหารง่าย ๆ ที่น้องเจช่วยมะม๊าทำได้ด้วยการใส่เนื้อ ใส่ผัก ใส่ไข่ แล้วก็กินดีมีความสุขจริง ๆ ค่ะ ..... จริง ๆ เป็นเมนูสุขภาพแนะนำสำหรับทุกคนในบ้านนะ (เรากินกันบ่อย เพราะเราไม่อยากให้ลูกอ้วน 555+) แต่ว่าก็ไม่ปฏิเสธนะว่าเคยให้ลูกกิน Junk Food แต่น้องเจก็กินน้อยมากกกก (เหมือนกะว่าพาไปกินก็เสียของ แต่พาไปให้รู้ กินนิดหน่อยไม่เป็นไร เพราะกลับมาบ้าน มี "นม" รออยู่" 55555+)
สู้ตายเลยค่ะแม่น้องเจ แต่ทำไงดีล่ะคะทีนี้ เรื่องทำกับข้าวนี่ ส่วนตัวขอบายเลยค่ะ เขินจัง -.-
แล้วอีกอย่างอาจฟังดูเหมือนเป็นข้ออ้างนะคะ แต่ทุกวันนี้ตื่นมาก็อาบน้ำซักผ้า ออกไปทำงาน 9 โมง กลับมา 4 ทุ่มกว่าเจ้าตัวเล็กก็ตาแป๋วรอหม่าม๊ากล่อมนอน แล้วค่อยมีเวลาไปอาบน้ำล้างขวดนมก็หมดแรงซะแล้ว มองนาฬิกาอีกทีก็เวลานี้แล้วค่ะ เกือบตีสอง TOT
ทุกวันนี้อยากจะเลิกทำงานในห้างซะด้วยซ้ำไป จะได้มีเวลาให้กับลูกเต็มที่ แต่ก็หลาย ๆ อย่างค่ะที่ต้องคิดทบทวนให้ดีก่อนจะตัดสินใจ

ผสมด้วยน้ำข้าวกล้องงอกน่าสนใจมากค่ะ จะลองทำตามดู

เพิ่งไปอบรมเรื่องการเริ่มให้อาหารเสริมกับเด็ก ถ้าเริ่มให้อาหารเร็วเกินไป กระเพาะอาหารเด็กยังไม่พัฒนาสมบูรณ์จะเป็นผลเสียกับเด็ก ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติได้ และอาหารเริ่มต้นที่ให้ควรจะเป็นข้าวบดไม่ปรุงแต่งรส เพราะจะทำให้เด็กติดรสชาดได้ค่ะ ถ้าไงลองหาข้อมูลเพิ่มเติมเอาบทความไปให้พ่อแม่สามีดูได้มั้ยค่ะ ไม่รู้เค้าจะยอมฟังรึเปล่า แต่ก็อย่ายอมแพ้นะคะ ยังไงนมแม่ก็ดีที่สุด ช่วงขวบปีแรกควรให้นมแม่เป็นหลักส่วนอาหารให้เป็นเสริมค่ะ
คุณ Kaew ... ตอนแทนเลยว่าไม่ยอมดูแน่นอนค่ะ ผู้ใหญ่สมัยเก่าก็จะอิงการเลี้ยงลูกในแบบที่เค้าเคยทำ แล้วก็อ้างเดิม ๆ เหมือนที่หลายกระทู้เคยเขียนมาแล้ว :) แต่ถ้าหาเทคนิคดี ๆ (กันเรียกเองว่า ... ปิดประตูตีแมว แบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น 5555+) กันมองว่าเรื่องไหนที่ผ่อนผัน (ได้) บ้าง เหมือนให้ผู้ใหญ่ได้มีส่วนร่วม เค้าน่าจะทำ (บ้าง) ค่ะ เพราะจริง ๆ คุณแม่สามีก็ไม่ได้จะอะไรหรอก กันว่าเค้าก็แค่รักหลาน อยากมีส่วนร่วมช่วยเลี้ยง ดังนั้น เรื่องนิดหน่อย ... ใช้เทคนิคดี ๆ เราก็น่าจะเป็นลูกสะใภ้ที่น่ารักในสายตาคุณแม่สามีได้ (คุณแม่สามีก็จะได้เอ็นดูเราด้วย) ... ไม่งั้นขัดไปขัดมามาก ๆ คนบางคนไม่พูด มันกลายเป็น "คลื่นใต้น้ำ" เวลาเกิดปัญหาขึ้นมา คนกลาง ... ก็คือ "สามี" ก็ลำบากใจ คนหนึ่งก็แม่ คนหนึ่งก็เมีย ;) กันว่าเกือบจะทุกบ้านที่ลูกสะใภ้อยู่กะคุณแม่สามีจะมีปัญหาเหล่านี้ค่ะ

ลองดูค่ะ ...... หาวิธีที่ดี่ที่สุด ที่เหมาะสำหรับคุณอ้อมและครอบครัว กันว่าไม่ยากเกินไปที่จะดูแลเรื่องนี้ (จะบอกว่าลูกยิ่งโต ปัญหาที่เข้ามามีให้แก้อีกเยอะเลย ...)
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ดีใจมากค่ะที่ได้รู้จักคุณแม่ที่มีความมุ่งมั่นที่จะให้นมแม่อย่างเดียวใน 6 เดือนแรก เห็นด้วยที่สุดค่ะ เพราะเราเองก็มีความตั้งใจแบบเดียวกัน และก็ทำได้ด้วยค่ะ และตั้งใจจะให้นมแม่ต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าลูกจะเลิกเองค่ะ เนื่องจากผลของการที่ลูกทานนมแม่อย่างเดียวทำให้เค้าแทบจะไม่ป่วยเลย เคยป่วยเป็นไข้หวัด มีน้ำมูก 1 ครั้ง แต่หลังจากนั้น พ่อเป็นหวัด แม่ก็ติดพ่อมา แต่ ลูกชายมีอาการคัดจมูกอยู่ประมาณ 1 คืนแล้วก็เป็นปกติ เราจึงมั่นใจว่า นมแม่สิแน่จริงค่ะและตอนนี้ลูกชายอายุ 1ขวบ 3 เดือนแล้ว เรายังให้นมแม่อย่างเดียว ร่วมกับอาหาร 3 มื้อ มีผัก ผลไม้ ร่วมด้วยตลอด เค้ากินเก่งค่ะ เพียงแต่ต้องพยายามหาเมนูใหม่ๆ แบบดัดแปลง เอาเอง พยายามสังเกตลูกของเราว่าเค้าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ลูกชายมีสุขภาพแข็งแรง พัฒนาการดี สดใส ร่าเริง ช่างสังเกตและจดจำ สิ่งต่างๆได้รวดเร็วค่ะ ขอให้แค่มีความเชื่อมั่นในสิ่งดีๆที่จะให้ลูกของเรา บางครั้งก็ต้องปล่อยๆเรื่องของคนรอบๆตัวไปบ้าง ถ้าไม่หนักหนามาก เพื่อไม่ให้สุขภาพจิตเสียนะคะ สู้สู้นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ใช่ค่ะ เห็นด้วยกะแม่น้องนาม ... เครียดมากก็ไม่มีความสุข ดีที่สุดคือหาจุดตรงกลางให้เจอ ทุกอย่างอยู่ที่ความพอดี ทุกอย่างก็อยู่ที่แต่ละครอบครัว บางความคิดเห็นเราว่าดี เหมาะกะเราก็ลองปรับดู บางความเห็นมองว่าไม่เหมาะกับเรา ก็รับฟัง บางทีความคิดเห็นแต่ละคนก็อาจจะไม่โดนใจเราเท่าไหร่ แต่สำคัญต้องเข้าใจว่าสถานการณ์แต่ละวัน แต่ละครอบครัว ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ไม่เหมือนกัน (บางครั้งดูคล้าย แต่ก็ไม่ซะทีเดียว กันเชื่ออย่างงั้น) คนที่รู้ดีที่สุดคือตัวเรา ... :) ...... ถ้าเราเข้าใจตรงจุดนี้ กันว่าคำตอบรออยู่ค่ะ :)
55555+
ในความโชคร้ายก็ยังมีสิ่งดีๆแฝงอยู่ยังงัยเวลามีปัญหาอะไรที่หนักๆก็อย่าเพิ่งหมดหวังเพราะยังมีโอกาสดีๆรออยู่เสมอๆค่ะ ^ ^ ขอให้แม่ทุกคนบนโลกใบนี้มีความสุขนะคะ ^ ^

RSS

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service