แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ's Posts - หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้
2024-03-29T06:06:14Z
แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ
https://go2pasa.ning.com/profile/31z2h25bqr20o
https://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1959379577?profile=RESIZE_48X48&width=48&height=48&crop=1%3A1
https://go2pasa.ning.com/profiles/blog/feed?user=31z2h25bqr20o&xn_auth=no
เด็กๆคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่า UKคือ.? USคือ.?
tag:go2pasa.ning.com,2017-02-02:2456660:BlogPost:1321034
2017-02-02T03:25:47.000Z
แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ
https://go2pasa.ning.com/profile/31z2h25bqr20o
<p>โทมัสเป็นการ์ตูตั้งแต่พี่เนลโล 2 ขวบครึ่ง ดูกันยาวๆมาจนทุกวันนี้ 7 ขวบครึ่ง น้องเนรัญก็ชื่นชอบเหมือนกันกับพี่<br></br>เปิดให้ดูตั้งแต่สมัยแรกๆที่ยังไม่มีแผ่นพากษ์ภาษาไทยขายตามเซเว่น (แต่ยังไงพวกเด็กๆเขาก็ไม่ชอบให้การ์ตูนรถไฟ,รถยนต์,มังกรหรือไดโนเสาร์พากษ์ไทยอยู่แล้ว ของพวกนี้มันต้องพูดอังกฤษ เขาเข้าใจมาอย่างงั้นตั้งแต่เกิด) <br></br><br></br>โทมัสสมัยแรกๆนั้นมีแต่เสียง UK อย่างเดียว บอกเลยว่าสำหรับพ่อแม่แล้วฟังสำเนียง UK ค่อนข้างยากมาก เพราะดูมันรัวๆยังไงไม่รู้…</p>
<p>โทมัสเป็นการ์ตูตั้งแต่พี่เนลโล 2 ขวบครึ่ง ดูกันยาวๆมาจนทุกวันนี้ 7 ขวบครึ่ง น้องเนรัญก็ชื่นชอบเหมือนกันกับพี่<br/>เปิดให้ดูตั้งแต่สมัยแรกๆที่ยังไม่มีแผ่นพากษ์ภาษาไทยขายตามเซเว่น (แต่ยังไงพวกเด็กๆเขาก็ไม่ชอบให้การ์ตูนรถไฟ,รถยนต์,มังกรหรือไดโนเสาร์พากษ์ไทยอยู่แล้ว ของพวกนี้มันต้องพูดอังกฤษ เขาเข้าใจมาอย่างงั้นตั้งแต่เกิด) <br/><br/>โทมัสสมัยแรกๆนั้นมีแต่เสียง UK อย่างเดียว บอกเลยว่าสำหรับพ่อแม่แล้วฟังสำเนียง UK ค่อนข้างยากมาก เพราะดูมันรัวๆยังไงไม่รู้ <br/>แต่เมื่อเร็วๆนี้ตามยูทูปมีโทมัสเสียงพากษ์ใหม่เป็นเสียงUS ฟังเปรียบเทียบกันแล้วมันช่างระรื่นหูไฉไลกว่าเดิมเป็นยิงนัก <br/>แต่ที่ผ่านๆมาเนลโลกับเนรัญก็นั่งดูกันได้เพลินแบบไม่มีอาการตะขิดตะขิงใจ (เด็กๆคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่า UKคือ.? USคือ.?) <br/><br/>ของUK(ของเดิม)จะพากษ์ได้ดีโดยเฉพาะเจ้าวิกเตอร์ซึ่งเป็นสำเนียงภาราตะอินตะระเดียชัดเจน(หมายถึงเหมือนสำเนียงคนอินเดียที่พูดอังกฤษ) แต่ของUS(ของใหม่)จะพากษ์สำเนียงอินตะระเดียของเจ้าวิกเตอร์ได้ไม่ดีเท่าของUK แต่ก็อย่างว่าแหละ ใครจะไปสนใจสำเนียงอินตะระเดียจริงมั๊ย</p>
<p>สำหรับพ่อแม่โดยส่วนตัวแล้วชอบ US มากกว่า แน่ใจว่าเป็นเพราะรุ่นพวกเราได้รับอิทธิพลมาจากหนังฮอลิวู๊ดกันมาตลอดทั้งชีวิต<br/><br/>ลองเปรียบเทียบฮีโร่ออฟเดอะเรล UK กับ US ดูนะคะ<br/><a href="https://www.youtube.com/watch?v=evEzEHZOB38">https://www.youtube.com/watch?v=evEzEHZOB38</a></p>
พื้นที่ของเด็กสองภาษาในยุคทีวีดิจิตอล
tag:go2pasa.ning.com,2014-05-04:2456660:BlogPost:1249569
2014-05-04T17:24:35.000Z
แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ
https://go2pasa.ning.com/profile/31z2h25bqr20o
<p>ยุคทีวีดิจิตอลที่มีช่องทีวีเพิ่มขึ้นมากมาย แต่มองไม่เห็นพื้นที่ที่เอื้ออำนวยให้เด็ก 2 ภาษาซักช่อง (แอบน้อยใจ) ถ้าเป็นไปได้นะจะดีมากเลยถ้ามีช่องไหนซักช่องหนึ่งที่ให้พ่อแม่เด็กสองภาษาได้เปิดให้ลูกๆเราได้ดู สนุกได้ทั้งวัน ได้พัฒนาเด็กไทยแนว 2 ภาษา เพื่อต้อนรับ AEC แอบฝันกลางวันรึเปล่าไม่รู้ อิอิ</p>
<p>ยุคทีวีดิจิตอลที่มีช่องทีวีเพิ่มขึ้นมากมาย แต่มองไม่เห็นพื้นที่ที่เอื้ออำนวยให้เด็ก 2 ภาษาซักช่อง (แอบน้อยใจ) ถ้าเป็นไปได้นะจะดีมากเลยถ้ามีช่องไหนซักช่องหนึ่งที่ให้พ่อแม่เด็กสองภาษาได้เปิดให้ลูกๆเราได้ดู สนุกได้ทั้งวัน ได้พัฒนาเด็กไทยแนว 2 ภาษา เพื่อต้อนรับ AEC แอบฝันกลางวันรึเปล่าไม่รู้ อิอิ</p>
สเตปการเลือกสื่อ และการผสมผสานระหว่างการเล่นกับการเรียน
tag:go2pasa.ning.com,2014-02-28:2456660:BlogPost:1239206
2014-02-28T04:55:18.000Z
แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ
https://go2pasa.ning.com/profile/31z2h25bqr20o
<p>สเตปการเลือกสื่อ และการผสมผสานระหว่างการเล่นกับการเรียน</p>
<p>จากประสบการณ์ล้วนๆ ใครว่าการเลือกสื่อไม่สำคัญ เราเป็นผู้กำหนดว่าเราจะเปิดอะไรให้ลูกดูเวลาไหนช่วงวัยไหน อำนาจในการเลือกขึ้นอยู่กับเราแล้ว นึกภาพตอนที่เราไปร้านข้าวต้มเราต้องสั่งอะไรที่คนที่มาด้วยกันทานได้ เช่นกลุ่มนี้ทานเผ็ด ทานไม่เผ็ด ระหว่างนั้นมีเครื่องดื่มอะไร ทานเป็นข้าวสวยหรือข้าวต้ม เราก็สั่งกับข้าวมาให้ตรงกับความเหมาะสมของแต่ละสถานการณ์ เป็นต้น นึกออกนะครับ มาดูสเตปการเลือกสื่อ และการผสมผสานระหว่างการเล่นกับการเรียน…</p>
<p>สเตปการเลือกสื่อ และการผสมผสานระหว่างการเล่นกับการเรียน</p>
<p>จากประสบการณ์ล้วนๆ ใครว่าการเลือกสื่อไม่สำคัญ เราเป็นผู้กำหนดว่าเราจะเปิดอะไรให้ลูกดูเวลาไหนช่วงวัยไหน อำนาจในการเลือกขึ้นอยู่กับเราแล้ว นึกภาพตอนที่เราไปร้านข้าวต้มเราต้องสั่งอะไรที่คนที่มาด้วยกันทานได้ เช่นกลุ่มนี้ทานเผ็ด ทานไม่เผ็ด ระหว่างนั้นมีเครื่องดื่มอะไร ทานเป็นข้าวสวยหรือข้าวต้ม เราก็สั่งกับข้าวมาให้ตรงกับความเหมาะสมของแต่ละสถานการณ์ เป็นต้น นึกออกนะครับ มาดูสเตปการเลือกสื่อ และการผสมผสานระหว่างการเล่นกับการเรียน คืออะไร เพราะเรื่องเลี้ยงลูกไม่เหมือนกับเลี้ยงหมูป่าที่ปล่อยให้มันหากินเอง เราต้องมอบสิ่งดีๆให้เค้า แต่ลูกไม่รู้หรอกว่าเค้าต้องการอะไรช่วงไหน เรามาทำความเข้าใจกับองค์ประกอบกันก่อน ว่ามีองค์ประกอบหรืออุปกรณ์อะไรบ้าง อย่างแรกก็แน่ล่ะคือ ตัวเด็กเอง, เวลาที่เหมาะสม, คุณพ่อคุณแม่, สื่อ(CD VCD DVD) และตัวกลางที่เชื่อมระหว่างเรากับสื่อ คือ</p>
<p>-ตัวเด็กพร้อม คือช่วงวัยใดที่พร้อมสำหรับสื่ออะไร (ต่อไปจะไม่พูดคำว่า สื่อ แล้ว มันรู้สึกวิชาการไป ขอพูดว่า VCD แทนแล้วกันนะครับ) มาดูกันเป็นข้อๆว่าเป็นอย่งไร</p>
<p><br/> -เวลาที่เหมาะสม คือ ทุกเวลาเป็นเวลาที่เปิด VCD ได้ แต่จะเลือกหยิบอะไรมาใช้ เช่นตอนเด็กอารมณ์คึกๆ ก็เปิดที่เป็นเพลงประกอบ ตอนไม่สนใจอะไรก็เปิดรายการเบาๆ บทสนทนาอะไรก็ได้ไปเรื่อยๆ หรือภาพแบบธรรมชาติพร้อมดนตรีประกอบอย่าง Baby Einstein ตอนหลับก็เปิดเพลงเบาๆห่างๆ เป็นต้น หรือแม้กระทั้งเวลาเดินทางอยู่ในรถด้วยกัน ก็เปิด CD mp3 ได้ คือกะจะกรอกหูกันตลอดเลยว่างั้นเหอะ(แต่ต้องพึงระลึกเสมอว่าการกระทำทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยความสนุกสนาน)</p>
<p> </p>
<p>-คุณพ่อคุณแม่ หมายถึง การนั่งอยู่กับลูก คือผู้ที่อยู่กับเด็กไม่ว่าจะเป็นใคร ปู่ย่าตายายพี่ป้าน้าอา หรือแม้กระทั่งพี่เลี้ยง การอยู่ด้วยกันกับเขาในช่วงเวลานั้นเป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้เราจะไม่สามารถอยู่กับเขาได้ตลอดแต่เราต้องอธิบายให้คนในครอบครัวเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ วิธีสร้างแรงกระตุ้น ดึงความสนใจ และวิธีการสร้างความสนุกสนานในการเรียนรู้</p>
<p> </p>
<p>-VCD ที่เราเลือกมาแล้วว่าใช่ และต้องใช้ให้ถูกที่ ถูกวัย ถูกเวลา ตัวนี้มันคือสเตปการเลือกป้อนอาหารสมองให้เด็ก อันนี้จากประสบการณ์สอนว่า อย่าสะเปะสะปะ (แต่ถึงสะเปะสะปะมันก็มีประโยชน์อยู่บ้างอ่ะนะ) เพราะจะทำให้เราได้รับประสิทธิภาพจากมันไม่เต็มที่ และเด็กอาจรู้สึกเบื่อ ถ้าเลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือต่อต้าน ซึ่งเราต้องไม่ให้มันเกิด ส่วนเรื่องจะเลือก CD VCD DVD เรื่องอะไรเมื่อไหร่นั้นเดี๋ยวค่อยมาว่ากันครับ แต่มีข้อพึงระลึกเสมอว่า อะไรที่มันเยอะไป มันจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ และสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ อันนี้พูดเลย เพราะเป็นบทเรียนที่เจอมากับตัวเอง ด้วยความรักความเอาใจใส่ที่เวอร์ไปหน่อย เห็นอะไรก็อยากได้ สั่งซื้อตะบี้ตะบัน สุดท้ายเอาออกมาใช้ไม่ทัน ก็ไม่เกิดประโยชน์ สู้นิทานเล่มเล็กๆแต่อ่านทุกวันก่อนนอนก็ไม่ได้ พอถึงตอนนี้ครอบครัวของเรามีลูกคนเล็ก-น้องเนรัญ 11 เดือน ผมตั้งใจว่าจะจัดลำดับสเตปการสอนแบบที่เรียกว่าเอาประสบการณ์มาเป็นครูกันเลยล่ะครับ</p>
<p> </p>
<p>และสุดท้ายคือ ตัวกลางระหว่างเรากับ VCD หรือจะเรียกว่าตัวกลางระหว่างเรากับการ์ตูนเรื่องนี้ๆ ก็ได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญ มันเป็นตัวสร้าง story สร้างความสนุก สร้างความสัมพันธ์ เชื่อมทุกอย่างให้เข้ากัน ตัวกลางที่ว่านี้ก็คือจะเป็นอะไรก็ได้ที่เด็กสามารถจับต้องได้และเป็นเจ้าของได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของเล่นตุ๊กตา โมเดล หนังสือ เสื้อผ้า ของใช้ เป็นต้น อันนี้จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มนิดหน่อย แต่มันจะเป็นไปด้วยความเป็นเหตุเป็นผลในการซื้อของเล่น และกลายเป็นความประหยัดไปโดยไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างเช่นน้องเนลโลเดินเข้าไปในร้านขายของเล่น เขาจะเข้าไปมุ่งมองหาในสิ่งที่เขาสนใจเท่านั้น สายตาจะจับจ้องมองหาแต่รถไฟ หรือไดโนเสาร์ แล้วแต่ยุคฟีเวอร์ของเด็ก มองอีกมุมหนึ่งก็เป็นการตีกรอบของเล่นให้แคบลงมา ตัวเลือกก็น้อยลง ของเล่นชิ้นอื่นที่รอล่อตาล่อใจอยู่ก็หมดความหมายไป 555 แต่หลักใหญ่ใจความก็คือ ไม่ว่าจะเป็นของเล่นหนังสือเสื้อผ้า มันจะพาเรากับเด็กเชื่อมเข้ากับสื่อหรือ VCD เรื่องนั้นๆได้ดี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมันเกิดประโยชน์อย่างมากในการเชื่อมความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นความทรงจำที่วิเศษให้กับลูก และยังมีตัวกลางอีกประเภทที่เด็กไม่สามารถจับต้องได้และไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ เช่น สถานที่ เหตุการณ์ งานต่างๆ หรือแม้แต่การชักชวนสนทนา-การพูดถึงเมื่อขับรถผ่านไปเจออะไรแล้วเราก็ดึงเชื่อมโยงไปยังการ์ตูนที่เคยดูด้วยกันใน VCD เช่น ขับรถผ่านสถานีรถไฟก็อาจจะชวนคุยว่า “Hey Nello Look! That one look very like Thomas!” เป็นต้น แต่กรณีหลังนี้ส่วนใหญ่จะเป็นลูกมากกว่านะที่เป็นคนเริ่มชวนคุย เชื่อผมเหอะว่าเราตามเด็กไม่ทันแน่ เราต้องทำการบ้านให้ทันเด็ก 555</p>
<p> </p>
<p>อะ มาถึงเรื่องที่อยากแชร์แล้ว คือ VCD ที่ใช้มีเรื่องอะไรบ้าง? สำหรับที่บ้านเราเคยใช้และก็จะใช้สำหรับลูกคนที่สอง เรียงตามอายุเลยนะครับ 0-1 เปิด Baby Einstein และ Baby Signing time หลังจากนั้นค่อยลดๆ Baby Einstein ลง แล้วเปิดเน้น Baby Signing time ต่อไปจนถึงประมาณ 2 ขวบ เพราะเป็นช่วงที่เขากำลังเก็บคลังศัพท์แห่งการสื่อสาร Baby Signing time จึงจำเป็นมาก ยิ่งสำหรับครอบครัวเราซึ่งภาษาอังกฤษอยู่ในระดับแย่ๆ ยิ่งจำเป็น 555 ช่วงอายุ 1 ขวบ ให้เริ่มเสริมจังหวะด้วย Zippy and me และ Barny แต่ให้เน้น Zippy and me แล้วค่อยๆเสริม Gogo ‘s Adventure with English เพราะ Gogo ค่อนข้างทำให้เด็กเบื่อง่ายสำหรับในช่วงวัยนี้ แต่ก็ยังมีความจำเป็นเพราะ Gogo มีบทสนทนาพื้นฐานที่จำเป็นและการนำเสนอค่อนข้างน่ารัก แต่ก็นะ เด็กวัยนี้ต้องการจังหวะและความสนุกเพื่อดึงดูดความสนใจ แล้วต่อด้วย Caillou กับ Kipper the dog สองเรื่องนี้เริ่มได้ตั้งแต่ขวบครึ่ง แต่เด็กจะสนใจจริงๆ ประมาณ 2 ขวบ ซึ่งอายุ 2 ขวบ เด็กจะสนใจหลายอย่าง เราสามารถเปิดได้หลายอย่างสลับกันไปมาเช่น The Land Before Time และ Thomas and Friends แต่ยังให้เน้น Caillou กับ Kipper the dog และพอเด็กอายุ 2 ขวบครึ่ง เราจะเจอปัญหาการนำเสนอที่ขัดแย้งกับลูกบ้าง แต่ก็ต้องพยายามสร้างความสนุกและหาตัวช่วยเพื่อเปิด Caillou ให้มากๆ โดยที่บ้านจะใช้วิธีเลือกตอนที่น่าสนใจมาประมาณ 15 ตอน แล้วเปิดซ้ำไปซ้ำมา คือสอนทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งลูกว่างั้นเหอะ พออายุ 3 ขวบ นี่เลยเรื่อง The Land Before Time และ Thomas and Friends จะเหมาะมาก ตามด้วย Magic School Bus และ Super Why ตามลำดับนะครับ เพราะมันเป็นเรื่องของระดับความยากขึ้นของสำเนียงและช่วงวัยด้วย คือเรื่อง The Land Before Time ค่อนข้างจะฟังง่ายกว่า Thomas and Friends ส่วน Magic School Bus จะพูดรัวและเร็วขึ้นและต้องอาศัยจินตนาการมากขึ้น และ Super Why จะเป็นการเริ่มเรียนการอ่านด้วยครับ</p>
<p> </p>
<p>แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละบ้านแต่ละครอบครัวนะครับ เช่นถ้าครอบครัวไหนที่ชอบกิจกรรมเข้าจังหวะ ก็เน้นไปทางร้องและเต้น ถ้าครอบครัวไหนไม่เน้นเต้นมากก็เต้นน้อยหน่อย ที่เอามาแชร์ก็เพราะอยากแบ่งปันโดยหวังว่าจะเป็นการนำบทเรียนการลองผิดลองถูกของตัวเอง มาทำให้เกิดประโยชน์กับพ่อแม่ท่านอื่นๆ เพราะนึกถึงตอนสมัยที่เข้ามาสมัครสมาชิกที่นี่ใหม่ๆ เมื่อเดือน ธันวาคม ปี 53 ตอนนั้นน้องเนลโล อายุ 1 ขวบ 1 เดือน ผมก็เคยได้รับการแนะนำจากสมาชิกที่หมู่บ้านแห่งนี้เป็นอย่างดี ถ้าไม่มีทุกท่านที่นี่ในวันนั้นโครงการสร้างเด็กสองภาษาเสมือนของครอบครัวเราก็คงมาไม่ถึงวันนี้ อ่ะ ลองดูนะครับ หรือคุณพ่อคุณแม่ท่านใดมีเรื่องอื่นที่คิดว่าดีๆ ก็ช่วยกันนำเสนอ แนะนำและแบ่งปันกันนะครับ </p>
<p> </p>
<p>0-2 ขวบ</p>
<p>Baby Einstein<br/> Baby Signing time</p>
<p> </p>
<p>1-2 ขวบ</p>
<p>Zippy and me</p>
<p>Gogo ‘s Adventure with English</p>
<p>Barny</p>
<p> </p>
<p>1-3 ขวบ</p>
<p>Caillou</p>
<p>Kipper the dog</p>
<p>Peppa Pig</p>
<p> </p>
<p>2-4 ขวบ</p>
<p>The Land Before Time</p>
<p>Thomas and Friends</p>
<p>Magic School Bus</p>
<p>Super Why</p>
<p> </p>
<p>สุดท้ายขอขอบคุณ ผู้ใหญ่บิ๊ก และคำแนะนำดีดีจาก คุณแม่หน่อย ruangrong wiphaka (แม่น้อง punchy & mache) คุณแม่น้อง Famey Flukey และคุณพ่อคุณแม่ในหมู่บ้านเด็ก2ภาษาแห่งนี้ที่แบ่งปันความรู้ภาษาอังกฤษ ห้องอังกฤษคลับ และคุณพ่อคุณแม่ที่แบ่งปันกำลังใจทุกท่านทุกคนครับ</p>
<p> </p>
<p>อย่าลืมว่าทุกบทเรียนเราต้องเติมความสนุกเข้าไป<br/> ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆท่าน สู้ๆนะครับ/นะคะ</p>
<p>แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ<br/> <br/> หาข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับเรื่องนี้ได้จาก<br/> <a href="https://www.facebook.com/Famey.Flukey.Famous">https://www.facebook.com/Famey.Flukey.Famous</a><br/> <a href="http://go2pasa.ning.com/profiles/blog/list?user=328j0z12nzzws">http://go2pasa.ning.com/profiles/blog/list?user=328j0z12nzzws</a></p>
ยุคของไดโนเสาร์
tag:go2pasa.ning.com,2014-02-19:2456660:BlogPost:1239583
2014-02-19T19:41:22.000Z
แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ
https://go2pasa.ning.com/profile/31z2h25bqr20o
<p><a href="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975961695?profile=original" target="_self"><img class="align-center" src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975961695?profile=original" width="640"></img></a></p>
<p>ยุคของไดโนเสาร์</p>
<p>The Land Before Time</p>
<p>สำหรับการ์ตูนเรื่อง The Land Before Time การ์ตูนเรื่องนี้น่ารักมากๆ เลยนะ ออกแนวผจญภัยของเหล่าไดโนเสาร์เพื่อนรัก เป็นเรื่องราวการช่วยเหลือกันระหว่างเพื่อนไดโนเสาร์ต่างสายพันธุ์ ก็จะมี Littlefoot the longneck, Cera the three-horn, Ducky the swimmer, Spike the Spike-tail และ Petrie the flyer…</p>
<p><a href="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975961695?profile=original" target="_self"><img class="align-center" src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975961695?profile=original" width="640"/></a></p>
<p>ยุคของไดโนเสาร์</p>
<p>The Land Before Time</p>
<p>สำหรับการ์ตูนเรื่อง The Land Before Time การ์ตูนเรื่องนี้น่ารักมากๆ เลยนะ ออกแนวผจญภัยของเหล่าไดโนเสาร์เพื่อนรัก เป็นเรื่องราวการช่วยเหลือกันระหว่างเพื่อนไดโนเสาร์ต่างสายพันธุ์ ก็จะมี Littlefoot the longneck, Cera the three-horn, Ducky the swimmer, Spike the Spike-tail และ Petrie the flyer บทสนทนาในเรื่องนี้ฟังชัดเจนมีศัพท์เทคนิคนิดหน่อยที่เป็นภาษาไดโนเสาร์ เช่น Sharp tooth.! , Tree Star.! Longneck , Three-horn. ฯลฯ มีดนตรีสลับไปมาตอนละประมาณ 3 เพลง ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อ</p>
<p> </p>
<p>สิ่งที่พ่อแม่ต้องเตรียมตัวคือ VCD-DVD The Land Before Time สมุดภาพวาดไดโนเสาร์ เช่นเคยคือหาโหลดมา Print เอง และหาซื้อได้ตามร้านหนังสือ ของเล่น การ์ตูน ตุ๊กตาไดโนเสาร์ เสื้อผ้ารูปไดโนเสาร์ ของใช้ และ Flash Card ไดโนเสาร์ </p>
<p>ส่วนการเลือกซื้อการ์ตูนหรือตุ๊กตาไดโนเสาร์ ที่บ้านจะเริ่มจากสายพันธุ์ที่น้องเนลโลรู้จักก่อน ถ้าบังเอิญไปเจอพันธุ์ไหนที่ยังไม่รู้จักและไม่เคยเห็นมาก่อนใน VCD เขาก็จะไม่ค่อยให้ความสนใจ แต่บางทีเขาก็จะถามว่า นั่นตัวนั้นชื่ออะไร แน่นอนล่ะส่วนใหญ่พ่อแม่จะไม่รู้ เราก็บอกไปว่าไม่รู้สิ ไม่แน่ใจ มันคล้ายพันธุ์นั้นนะ ลูกคิดว่าไง? I'm not sure, It look like....... that right? (ยกชื่อพันธุ์หลักๆที่เราจำได้ขึ้นมา ซึ่งพันธุ์หลักๆ มันมีไม่กี่ตัวหรอก) แต่ถ้าเรารู้ก็บอกไป (แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่พ่อกับแม่จะรู้จักก่อนลูก 555 ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นการหยิบป้ายขึ้นมาอ่านแล้วค่อยบอกลูกไป) ส่วนของเล่นที่เห็นกันตามตลาดหรือร้านขายของเล่น จะมีทั้งที่เป็นไดโนเสาร์ที่ทำออกมาตรงตามสรีระลักษณะของพันธุ์นั้นๆจริงๆ และจะมีทั้งแบบที่ทำออกมาให้เห็นว่าเป็นแค่ตุ๊กตาไดโนเสาร์เฉยๆ แต่ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าเป็นพันธุ์อะไร อันนี้เราต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจว่ามันไม่ตรงกับพันธุ์ไหนเลย มันเป็นแค่ตุ๊กตา หรือว่าอันนี้มันเป็น Dragon ไม่ใช่ไดโนเสาร์ Dragon มีแต่ในนิทาน มันเป็น imagination ส่วนไดโนเสาร์มันมีจริงแต่ตายหมดแล้วเมื่อ long long time ago</p>
<p> </p>
<p>และที่สำคัญพ่อแม่อาจต้องเตรียมความรู้เรื่องไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่างๆ ซึ่งมันเยอะมากกกก โอ้พระเจ้า I never knew there were so many different kinds of dinosaurs.! (ประโยคนี้ก๊อปมาจาก Caillou ตอน Caillou the dinosaur hunter) แต่ไม่ต้องตกใจนะ เพราะว่าที่บ้านก็ไม่เคยนึกมาก่อนเหมือนกันว่าจะต้องมานั่งจำชื่อพันธุ์ไดโนเสาร์ สถานการณ์มันจะบังคับให้เราสามารถจดจำไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่างๆได้เอง 555 โดยสายพันธุ์หลักๆ ก็จะมีไม่กี่ตัว เช่น Diplodocus</p>
<p>Brachiosaurus Pachycephalosaurus Parasaurolophus Spinosaurus Stegosaurus Triceratops Tyrannosaurus rex Velociraptor Iguanodon Ankylosaurus Pteranodon แฮกๆๆๆ นี่แค่พันธุ์หลักๆนะ แต่ไม่ต้องกังวล ด้วยสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมบังคับ จะทำให้เราจำได้ไปเองทีละตัวสองตัว แล้วเราก็จะคล่องเอง 555</p>
<p> </p>
<p>สำหรับเรื่องการเชื่อมโยง เวลาถ้ามีโอกาสก็ให้พาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ และถ้าผ่านไปเห็นไดโนเสาร์ที่ไหนก็พยายามชวนคุยเชื่อมโยงว่าไดโนเสาร์ตัวนี้เคยเห็นในพิพิธภัณฑ์หรือเคยเห็นในหนังสือ และเชื่อมโยงว่าตัวนั้นเป็นพันธุ์เดียวกันกับไดโนเสาร์ชื่อนั้นชื่อนี้ในการ์ตูน เป็นต้น (แต่ส่วนใหญ่ 90% จะเป็นลูกมากกว่าที่เป็นคนบอกว่าตัวนั้นพันธุ์อะไรและมีชื่อเรียกว่าอะไรในเรื่อง The Land Before Time)</p>
<p> </p>
<p>สำหรับน้องเนลโลแม้แต่บีบนมลงบนขนมปังยังต้องบีบให้เป็นรูปไดโนเสาร์ ซึ่งแต่ละวันเขาจะให้คุณพ่อกับคุณแม่บีบนมลงบนขนมปังให้เป็นรูปไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่างๆ สลับกันไป (ไม่ง่ายเลยนะกับการที่จะบีบนมลงบนขนมปังได้ มันก็ต้องใช้สมาธิ ใช้ทักษะเรื่องไดโนเสาร์ และใช้ศิลปะพอสมควร) เฮ้ย..สถานการณ์บ้านน้องเนลโลตอนนี้เป็นบ้านไดโนเสาร์ หันหน้าไปทางไหนก็เจอแต่ไดโนเสาร์ แม้แต่กลิ้งอยู่บนที่นอนก็มีแต่ไดโนเสาร์ ทำเอาคุณพ่อกับคุณแม่ฝันเห็นแต่ไดโนเสาร์ ขนาดมันสูญพันธุ์ไปตั้งหลายล้านปีก่อนมันยังตามมาหลอกหลอนกันได้ถึงทุกวันนี้ เมื่อไหร่จะหมดยุดไดโนเสาร์ก็ไม่รู้? Roar..Roar..Roar.!!!<br/><br/></p>
<p><br/>อย่าลืมว่าทุกบทเรียนเราต้องเติมความสนุกเข้าไป<br/>ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆท่าน สู้ๆนะครับ/นะคะ</p>
<p>แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ</p>
ยุคของรถไฟ
tag:go2pasa.ning.com,2014-02-19:2456660:BlogPost:1239601
2014-02-19T19:40:39.000Z
แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ
https://go2pasa.ning.com/profile/31z2h25bqr20o
<p><a href="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975965119?profile=original" target="_self"><img class="align-center" src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975965119?profile=RESIZE_1024x1024" width="750"></img></a></p>
<p>ยุคของรถไฟ <br></br>Thomas and Friends<br></br>Thomas and Friends เป็นเรื่องราวของมิตรภาพระหว่างหัวรถจักร ซึ่ง Thomas มีเพื่อนมากมายโดยหลักๆก็จะมี Edward, Henry, Gordon, James, Percy, Toby, Emily ส่วนที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทก็จะมี Harold, Victor, BoCo, Hiro, Neville, Mavis, Salty, Spencer, พวก Diesel, Rocky, Cranky, Bertie ฯลฯ เยอะมากๆ…</p>
<p><a href="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975965119?profile=original" target="_self"><img width="750" class="align-center" src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975965119?profile=RESIZE_1024x1024" width="750"/></a></p>
<p>ยุคของรถไฟ <br/>Thomas and Friends<br/>Thomas and Friends เป็นเรื่องราวของมิตรภาพระหว่างหัวรถจักร ซึ่ง Thomas มีเพื่อนมากมายโดยหลักๆก็จะมี Edward, Henry, Gordon, James, Percy, Toby, Emily ส่วนที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทก็จะมี Harold, Victor, BoCo, Hiro, Neville, Mavis, Salty, Spencer, พวก Diesel, Rocky, Cranky, Bertie ฯลฯ เยอะมากๆ ลักษณะเด่นที่ชื่นชอบก็เห็นจะเป็นเรื่องราวของมิตรภาพ การแก้ปัญหา ความร่วมมือร่วมใจ การช่วยเหลือกัน และการยอมรับในความผิดพลาดที่ตนเองได้ทำลงไป อันนี้เป็นข้อเด่นของเรื่องนี้เลย เพราะพบเห็นอยู่หลายตอนเลยทีเดียวที่ Thomas และเพื่อนๆ กล่าวขอโทษและกล่าวยอมรับผิดในสิ่งที่ตนได้ทำลงไป ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีที่นำเอามาใช้เมื่อน้องเนลโลทำอะไรผิด โดยจะให้เขากล่าวยอมรับ กล่าวขอโทษ กล่าวถึงสิ่งที่ทำลงไปว่าไม่ดีไม่ควรทำเลย และกล่าวคำสัญญาว่าจะไม่ทำอีก ศัพท์เทคนิคก็จะมีเยอะพอสมควรเช่น chuff, puff, whoosh ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นภาษารถไฟว่างั้นเหอะ (เห้ย เกิดมาจากท้องแม่ ไม่นึกเลยว่าต้องมาเรียนภาษารถไฟอะไรอย่างงี้) การดำเนินเรื่องจะมีบทบรรยายเนื้อเรื่องอยู่เรื่อยๆ ทำให้กลายเป็นเรื่องที่ดีทำให้เรารู้จักสร้างประโยคในฐานะของบุคคลที่ 3</p>
<p></p>
<p>สิ่งที่ต้องเตรียม ที่แน่นอนก็คือ VCD DVD สั่งซื้อได้ตามเว็บ หรือดูตาม youtube สำหรับน้องเนลโลถือว่าโชคดีที่คลั่งเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยยังไม่มีใครเอามาแปลเป็น VCD พากษ์ไทยขายตาม 7-eleven แต่ตอนนี้น้องเนลโลหมดยุครถไฟไปแล้วนะครับ คือ คลั่งเมื่อตอน 2 ขวบครึ่ง ถึง 3 ขวบ และเริ่มซาๆลงจนถึงอายุ 3 ขวบครึ่ง ทั้งพ่อทั้งแม่ดูไปพร้อมๆกันกับลูกนั่นแหละ ลูกคลั่งอะไรก็ต้องทำตัวให้ตื่นเต้นกับเรื่องนั้นด้วย เวลานั่งรถไปส่งที่โรงเรียนแล้วลูกชวนคุยจะได้ตามลูกทัน หากตามไม่ทันก็จะทำเป็น Yes.! Yes.! มัวๆแก้สถานการณ์กันไปก่อน แล้วเวลาว่างๆตอนลูกไม่อยู่ด้วยพ่อกับแม่ก็ค่อยมาคุยกันแชร์ความรู้กันถึงเรื่องรถไฟ “นี่พ่อรู้มั๊ยว่ารถไฟเก่าๆที่ชื่อฮีโร่น่ะ มันมาจากญี่ปุ่นนะมันเป็นหัวรถจักรรุ่นแรกๆของ Sodor และเป็นเพื่อนเก่าของ Gordon ด้วย”, “นี่แม่รู้มั๊ย Sir Topham Hatt กับผู้ควบคุมอ้วนเป็นคนเดียวกันนะ” ฯลฯ เพื่อคราวหลังจะได้พุดคุยตามลูกทัน 555 เมื่อมีเวลาว่างๆ ก็จะพาไปดูสถานีรถไฟของจริง ดูรางรถไฟของจริง พาขึ้นไปบนห้องสมุดรถไฟที่เชียงราย(เนลโลจะเรียกห้องสมุดนี้ว่า Gordon) สิ่งที่ต้องเตรียมอย่างอื่นๆ ก็ได้แก่ สมุดภาพระบายสี มีทั้งแบบโหลดมา print เอาเองและหาซื้อตามร้านหนังสือ และสิ่งที่จะตามมาอีกอย่างก็คือ “หัวรถจักร” ขอบอกไว้ก่อนว่า เมื่อครั้งที่สั่งซื้อหัวรถจักรแต่ละที ทำเอาเพื่อนร่วมงานพากันงง และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสิ้นเปลือง มันเวอร์ไปมั้งสำหรับเด็กอายุ 3 ขวบ แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าผลลัพธ์ที่ได้รับมันคุ้มค่าแค่ไหนเมื่อเทียบกับจิตนาการของลูกที่ลูกได้รับกลับมา แต่เนื่องจากมันมีราคาค่อนข้างแพง จึงใช้วิธีค่อยๆสั่งซื้อที่ละเล็กละน้อย สั่งไปสั่งซื้อมา หมดไปหมื่นกว่าบาท (หัวรถจักรแต่ละตัว 450-650 บาท รางรถไฟสีฟ้า รางโค้ง รางตรง ทางแยก ฯลฯ) บอกได้เลยว่าของเล่นชุดนี้รวมกันแล้วราคาค่อนข้างแพง เป็นของค่าย TOMY ทราบมาว่าตอนนี้เขาย้ายฐานการผลิตไปเวียดนามแล้วเพราะเกิดภาวะวิกฤตน้ำท่วมกรุงเทพฯ แต่ตอนนั้นยังพอหาซื้อได้บ้างทางเน็ต และตามห้างใหญ่ๆ แต่บางตัวก็หายากมากถึงทุกวันนี้ยังหาซื้อไม่ได้ก็มี เช่น Victor, Hiro หาไม่ได้เลย พอหมดยุคของรถไฟแล้ว คุณพ่อคุณแม่โล่งอกมาก รีบเก็บหัวรถจักรกับอุปกรณ์รางรถไฟลงกล่องเอาไว้ให้เจ้าเนรัญน้องชายได้ใช้ต่อ แต่มันยังไม่จบแค่นี้ พอยุคของรถไฟได้หมดลง ยุคของไดโนเสาร์ก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามาบ้านเราอย่างน่ากลัว....<br/><br/></p>
<p>อย่าลืมว่าทุกบทเรียนเราต้องเติมความสนุกเข้าไป<br/>ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆท่าน สู้ๆนะครับ/นะคะ</p>
<p>แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ</p>
<p></p>
<p> </p>
<p></p>
ชาวอุดร-หนองคาย มีใครอยู่บ้าง ขอเสียงหน่อย
tag:go2pasa.ning.com,2013-10-24:2456660:BlogPost:1221501
2013-10-24T10:34:45.000Z
แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ
https://go2pasa.ning.com/profile/31z2h25bqr20o
<p>เรียนคุณพ่อคุณแม่ครอบครัวเด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้ชาวอุดรหนองคายทุกท่าน</p>
<p>เนื่องจากที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมของกลุ่มอุบล,โคราช,ขอนแก่น,พิษณุโลก ฯลฯ กันอย่างคึกคัก ทำเอาอิจฉาอยากไปร่วมด้วยแต่ติดที่ระยะทางไม่อำนวย จึงอยากจะ20เสียงครอบครัวเด็กสองภาษาที่อยู่อุดร-หนองคาย และใกล้เคียง ร่วมกันจัด meeting พบปะกันเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางกัน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับลูกๆของเราครับ…</p>
<p>เรียนคุณพ่อคุณแม่ครอบครัวเด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้ชาวอุดรหนองคายทุกท่าน</p>
<p>เนื่องจากที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมของกลุ่มอุบล,โคราช,ขอนแก่น,พิษณุโลก ฯลฯ กันอย่างคึกคัก ทำเอาอิจฉาอยากไปร่วมด้วยแต่ติดที่ระยะทางไม่อำนวย จึงอยากจะ20เสียงครอบครัวเด็กสองภาษาที่อยู่อุดร-หนองคาย และใกล้เคียง ร่วมกันจัด meeting พบปะกันเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางกัน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับลูกๆของเราครับ ถ้าคุณพ่อคุณแม่คิดว่าเป็นประโยชน์ก็ขอให้ร่วมกันออกมาแสดงตัวเพื่อนัดหมายสถานที่กันเลยครับ </p>
<p></p>
<p>ขอแสดงความนับถือ</p>
<p>แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ</p>
เยอะมาก คนที่ทำเรียกว่ามีจิตสาธารณะโดยแท้ เลยอยากแนะนำ
tag:go2pasa.ning.com,2013-09-02:2456660:BlogPost:1208176
2013-09-02T16:44:26.000Z
แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ
https://go2pasa.ning.com/profile/31z2h25bqr20o
<p><a href="http://www.e4thai.com">http://www.e4thai.com</a></p>
<p><a href="http://www.e4thai.com">http://www.e4thai.com</a></p>
ฉันยังอาย ฉันยังกดดัน แก้ไม่หายซะที
tag:go2pasa.ning.com,2012-04-19:2456660:BlogPost:1011462
2012-04-19T10:42:18.000Z
แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ
https://go2pasa.ning.com/profile/31z2h25bqr20o
<p>จาก1.1ขวบ ถึง 2.5 ขวบ เป็นเวลา 1 ปี กับ 4 เดือน ที่พยายามสร้างลูกให้เป็นเด็กสองภาษาโดยใช้วิธี OTOL บ้าง OPOL บ้าง ตามศักยภาพของพ่อกับแม่ที่มีทุนปัญญาเดิมน้อยนิด แต่กระนั้นก็เคยหอบกันไปเข้า workshop phonic 1 ครั้ง ตลอดเวลาในการสอนก็พยายามปิดบังไม่ให้คนรอบข้างรู้ว่าเราพูดกับลูกเป็นภาษาอังกฤษ (อายคนอื่นเขา กลัวเขาได้ยินอังกฤษสำเนียงอิสาน) เคยพาลูกไปเล่นสวนสาธารณะแล้วเคยเจอครอบครัวที่เขาพูดกับลูกวัยขวบครึ่งเป็นภาษาอังกฤษให้ได้ยิน รู้เลยทันที่ว่าบ้านนี้กำลังเดินตามแนวทางเด็กสองภาษา…</p>
<p>จาก1.1ขวบ ถึง 2.5 ขวบ เป็นเวลา 1 ปี กับ 4 เดือน ที่พยายามสร้างลูกให้เป็นเด็กสองภาษาโดยใช้วิธี OTOL บ้าง OPOL บ้าง ตามศักยภาพของพ่อกับแม่ที่มีทุนปัญญาเดิมน้อยนิด แต่กระนั้นก็เคยหอบกันไปเข้า workshop phonic 1 ครั้ง ตลอดเวลาในการสอนก็พยายามปิดบังไม่ให้คนรอบข้างรู้ว่าเราพูดกับลูกเป็นภาษาอังกฤษ (อายคนอื่นเขา กลัวเขาได้ยินอังกฤษสำเนียงอิสาน) เคยพาลูกไปเล่นสวนสาธารณะแล้วเคยเจอครอบครัวที่เขาพูดกับลูกวัยขวบครึ่งเป็นภาษาอังกฤษให้ได้ยิน รู้เลยทันที่ว่าบ้านนี้กำลังเดินตามแนวทางเด็กสองภาษา แต่ก็ไม่เอ่ยปากทักหรือถามไถ่กัน กลัวเขารู้ว่าเราก็กำลังสร้างเด็กสองภาษาเหมือนกัน แล้วคิดไปเองด้วยความที่กลัวเขาจะหันมาถามว่าเราเริ่มมานานหรือยัง? สอนลูกอย่างไร? พ่อแม่พูดภาษาอังกฤษได้ระดับไหน? ตอนนี้ได้ผลเป็นอย่างไร? น้องพูดได้แค่ไหนแล้ว? ไหนๆคุณลองพูดอังกฤษกับลูกคุณให้ฟังหน่อยสิ? ความกลัวนี้เกิดขึ้นอัตโนมัติ แค่คิดก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทั้งตัว งั้นไปดีกว่าไม่อยู่ใกล้แล้ว! ว่าแล้วก็พาลูกไปเล่นห่างๆเป็นส่วนตัวดีกว่าเพื่อจะได้พูดคุยกับลูกตามลำพังไม่ให้ใครได้ยิน 555 สมเพสตัวเองจัง<br/> โดยปรกติถ้าอยู่ในที่สาธารณะก็พูดกับลูกแบบค่อยๆกระซิบกันกลัวชาวบ้านได้ยิน มีอยู่ครั้งหนึ่งเคยไปเที่ยวโคราชแล้วเจอพ่อลูกคู่หนึ่งที่ร้านไอติมนมวัว เขาพูดกับลูกวัยประมาณ 2 ขวบ เป็นภาษาอังกฤษ ใช่แน่ๆ เจออีกแล้วครอบครัวนี้กำลังสร้างเด็กสองภาษาแน่ๆ แอบนึกชื่นชมในใจว่าคุณพ่อเค้าเก่ง และมั่นใจที่พูดกับลูกในที่สาธารณะ ย้อนกลับมาดูตัวเราซึ่งขณะนั้นยุติการพูดคุยกับลูกไปชั่วคราวเพราะความไม่มั่นใจกลัวเค้าได้ยินแล้วก็นั่งนิ่งๆมองเค้าพูดกับลูกเค้าตาปริบๆ แล้วก็ไม่เปิดเผยตัว ทั้งที่ในใจอยากจะเข้าไปทักว่า "พี่ครับพี่! พี่ก็กำลังสอนลูกให้เป็นเด็กสองภาษาเหรอครับ แหม! เหมือนผมเลยครับ..." 555 สมเพสตัวเองจัง<br/>
ถึงวันนี้ดีขึ้นเยอะกว่าแต่ก่อน ความอายก็เริ่มน้อยลงบ้างแล้ว อาจเป็นเพราะเริ่มชินและด้านขึ้นแต่ก็ยังแก้ไม่หาย และตอนนี้ก็ยังไม่กล้าบอกได้เต็มปากซักเท่าไหร่ว่าทำได้สำเร็จ ถ้าเทียบกับลูกของพ่อแม่ท่านอื่นๆในหมู่บ้านเด็กที่วัยใกล้เคียงกันแล้วน้องเนลโลก็ถือว่าช้ากว่าลูกของหลายๆท่าน แต่ก็พูดได้ว่ามาถูกทางและพัฒนาการกำลังไปได้สวย เข้าใจคำสั่ง หยิบ วาง ส่งของ ขอร้อง เรียกร้อง ทำ หยุด ถามชื่อสิ่งของ ถึงแม้จะพูดเป็นประโยคยาวๆยังไม่ได้มาก ก็ถือว่า.อ่ะนะ..ok.<br/>
เมื่อมานั่งนึกๆดูแล้วรู้สึกว่าเราผิดพลาดไปหลายจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับไปเริ่มใหม่ได้ แยกได้เป็นข้อๆดังนี้<br/>
1.ไม่ได้ฝึกทำsign (มาเริ่มฝึกเอาตอนอายุ 2.3 ขวบ ซึ่งถือว่าช้าไปนิด)<br/>
2.มีความถี่น้อยไป (มีเวลาอยู่บ้านค่อนข้างน้อย)<br/>
3.มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กน้อยไป (หลายอย่างที่ลูกจำได้โดยที่ทำให้เรารู้สึกคาดไม่ถึง)<br/>
4.พ่อไม่มีความกล้าเอาซะเลย (เรียนราม 8 ปี กว่าจะผ่านอังกฤษได้เลือดกำเดาทะลัก)<br/>
5.สร้างสภาพแวดล้อมได้ไม่ดีนัก (ภาษาไทยแซงหน้าไปแล้ว พี่เลี้ยงimportมาจากเวียงจันท์อีกต่างหาก)<br/>
6.ความคาดหวังทำให้เครียดและกดดันตัวเอง (ขนาดในหนังสือบอกไว้ว่าให้สนุก ไม่ให้กดดัน แต่พอเวลาทำจริงๆมันห้ามความกดดันไม่ได้)</p>
<p>แต่ก็มีสิ่งที่ทำตามหนังสือแนะนำอย่างค่อนข้างเคร่งครัด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้โครงการสร้างเด็กสองภาษาของครอบครัวเราไม่ล้มเลิกไปก็คือ<br/> 1.ไม่เปิดทีวี (ที่บ้านไม่ดูทีวีกันเลยแม้แต่ข่าวก็ไม่เปิดดู ดูแต่ Caillou กับvcdเพลงเด็กภาษาอังกฤษ)<br/>
2.เข้าเว็บหมู่บ้านเด็ก (เข้ามาเสพกำลังใจจากคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นเหมือนเพื่อนและครูที่ไม่เคยพบเห็นหน้า)<br/>
3.ความเชื่อมั่นและความศรัทธาในแนวทางการเรียนรู้แบบธรรมชาติ (ค่อยๆทำไปทุกวัน ถึงจะน้อยไปบ้างแต่ก็ไม่หยุด)<br/>
4.และที่สำคัญความรักและความปรารถนาดีที่มีต่อลูก (ถึงมันจะกลายมาเป็นความคาดหวังจนทำให้รู้สึกกดดันและเครียดบ้างในบางครั้ง แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เรายังทำต่อไปไม่ยอมหยุด)</p>
<p>16 เมษายน 2555 วันที่แสนทรมานเพราะเป็นวันแรกที่พ่อกับลูกต้องแยกกันอยู่คนละจังหวัด อุดร-เชียงราย จากนี้ไปสักระยะคงเจอกันเพียงอาทิตย์ละครั้ง ไม่รู้ว่าจะส่งผลให้ภาษาไทยแซงหน้าไปไกลขึ้นอีกเท่าไหร่ (รู้สึกกดดันอีกแล้ว)<br/> "เนลโลครับ daddyคิดถึงผมกับmommyเหลือเกินครับลูก!"</p>