Fah_koh's Posts - หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้
2024-03-29T12:45:16Z
fah_koh
https://go2pasa.ning.com/profile/fah_koh
https://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1959209848?profile=RESIZE_48X48&width=48&height=48&crop=1%3A1
https://go2pasa.ning.com/profiles/blog/feed?user=1wj0hvm3rcnbv&xn_auth=no
"นิทานของพ่อ"
tag:go2pasa.ning.com,2009-12-04:2456660:BlogPost:145825
2009-12-04T09:56:26.000Z
fah_koh
https://go2pasa.ning.com/profile/fah_koh
<b>กาลหนึ่งนานมาแล้ว</b> นานเท่าไหร่ไม่รู้ พ่อมักจะเริ่มต้นเรื่องอย่างนี้ทุกครั้ง มีเจ้าหญิงอยู่องค์หนึ่ง เจ้าหญิงคนนี้เป็นคนขยัน ทำอาหารเก่ง ชอบทำงานบ้านเสมอ ๆ เจ้าหญิงของพ่อ มักจะเป็นคนที่ขยันเสมอ ๆ ...<br />
เจ้าหญิงได้พบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในสวนดอกไม้ข้าง ๆ ปราสาท ในขณะที่เจ้าหญิงกำลังเก็บดอกไม้....<br />
<br />
เมื่อผมพิมพ์มาถึงตรงนี้ ก็ต้องลากแถบดำแล้วกด Delete ลบข้อความนั้นทิ้งเสียทั้งหมด<br />
<br />
หลังจากที่ผมนั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วมั้งแต่งานเขียนของผมก็ยังอยู่เหมือนเดิมไม่มีอะไรคืบหน้า…
<b>กาลหนึ่งนานมาแล้ว</b> นานเท่าไหร่ไม่รู้ พ่อมักจะเริ่มต้นเรื่องอย่างนี้ทุกครั้ง มีเจ้าหญิงอยู่องค์หนึ่ง เจ้าหญิงคนนี้เป็นคนขยัน ทำอาหารเก่ง ชอบทำงานบ้านเสมอ ๆ เจ้าหญิงของพ่อ มักจะเป็นคนที่ขยันเสมอ ๆ ...<br />
เจ้าหญิงได้พบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในสวนดอกไม้ข้าง ๆ ปราสาท ในขณะที่เจ้าหญิงกำลังเก็บดอกไม้....<br />
<br />
เมื่อผมพิมพ์มาถึงตรงนี้ ก็ต้องลากแถบดำแล้วกด Delete ลบข้อความนั้นทิ้งเสียทั้งหมด<br />
<br />
หลังจากที่ผมนั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วมั้งแต่งานเขียนของผมก็ยังอยู่เหมือนเดิมไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนไปสักอย่าง ทั้ง ๆ ที่ผมจะต้องส่งต้นฉบับในวันพรุ่งนี้แล้ว แย่จริง ๆ สมาธิหายไปไหนหมดนะ บรรยากาศ ภาพความหลังในวัยเด็กหายไปไหนหมดนะ<br />
<br />
<b>- - นี่ผมคิดผิดหรือเปล่าหนอ? --</b><br />
<br />
ที่รับงานเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับพ่อมา ก็เพราะคำสั้นๆ ว่า "พ่อ" นี่แหละที่ทำให้ผมเขียนไม่ออก ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะพ่อไม่เคยอยู่ในความทรงจำของพ่อ หรือเป็นฮีโร่เยี่ยงอย่างพ่อคนอื่น ๆ จนบางครั้งผมมีความรู้สึกราวกับว่า พ่อกับผมเป็นคนแปลกหน้าที่ต่างวัยและบังเอิญมาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน<br />
<br />
พ่อยังเป็นคนทำลายครอบครัว ทำลายความรักที่แม่มีต่อพ่ออย่างหมดสิ้นจนแม่ทนไม่ไหวต้องหย่าร้างกันไปในที่สุด และพ่อยังจะทำลายความฝันของผมอีก<br />
<br />
ผมอยากเรียนหนังสือ ผมชอบงานเขียนหนังสือ ผมบอกกับพ่อในวันที่พ่อบอกให้ผมเลิกเรียนหนังสือ และออกมาช่วยกันทำงานที่โรงกลึงของตนเอง<br />
<br />
"แกจะเรียนไปทำไมนักหนา กิจการของพ่อก็มี แล้วไอ้ความฝันบ้า ๆ บอ ๆ ของแกอีก" พ่อตะโกน<br />
<br />
"ผมทิ้งมันไม่ได้ ผมทิ้งความฝันของผมไม่ได้หรอกพ่อ" ผมเถียง<br />
<br />
"แต่แกต้องทิ้งมัน แกต้องมาช่วยฉันทำงาน" พ่อยื่นคำขาดตอบกลับมา<br />
<br />
"พ่อ.... มันหมดสมัยที่พ่อจะบังคับลูกแล้วนะ" ผมเถียงอย่างไม่ลดละ<br />
<br />
"แต่ฉันจะบังคับแก" พ่อยืนกรานพร้อมกับยื่นคำขาด<br />
<br />
"พรุ่งนี้แกต้องไปลาออก"<br />
<br />
<b>"ผมเกลียดพ่อ ผมเกลียดความคิดโง่ ๆ ของพ่อ เกลียดการกระทำของพ่อ ที่วัน ๆ มัวแต่นั่งทำงานงก ๆ พ่อไม่เคยสนใจผม พ่อไม่เคยถามผมสักคำว่าผมต้องการอะไร เอ๊ะอะ อะไร พ่อก็บังคับผม ผมเกลียดพ่อ"</b> ผมตวาดใส่พ่อพร้อมสีหน้าแดงก่ำ<br />
<br />
ฝ่ามืออันหนักอึ้งของพ่อกระทบลงบนใบหน้าแก้มข้างขวาของผมอย่างจัง ผมหน้าชา ส่วนเจ้าของฝ่ามือเอ่ยด้วยเนื้อตัวสั่นเทา<br />
<br />
"แกออกไป.... แกออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้นะ แกไม่ใช่ลูกฉัน"<br />
<br />
"ดูแลตัวเองดี ๆ นะ" ผมหันมาบอกน้องชายที่ยืนอยู่ห่าง ๆ<br />
<br />
<br />
<b>แล้วผมจึงก้าวเดินออกจากบ้านหลังนั้นมา ไม่หันหลังกลับไปมองอีก ด้วยความเคียดแค้นที่คุกกรุ่นอยู่ในใจ</b><br />
<br />
นับจากวันนั้นมา.....<br />
ผมเลือกใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าหลังหนึ่งตามลำพัง ยังดีที่มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีเกือบหมื่น ซึ่งมันก็พอจะเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆได้บ้าง แต่ผมก็ยังเฝ้าหางานทำอยู่หลายที่ แต่มาตกอยู่กับการเป็นนักแสดงสมทบหรือที่ใคร ๆ เรียกกันติดปากว่า"ตัวประกอบ" เพื่อแลกกับเงินเพียงไม่กี่ร้อย แต่ผมก็ยังไม่ละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนหรอก ผมเฝ้าฝึกฝีมืองานเขียนจนคิดว่าดีพอ ถึงได้ลองส่งไปลงยังนิตยสารฉบับหนึ่ง<br />
จนในที่สุดก็ได้รับการตีพิมพ์ ผมเริ่มมีความสุขกับการเขียนหนังสือมากขึ้น<br />
<br />
<b>เมื่อความฝันของผมเป็นจริง หนังสือเล่มแรกในชีวิตของผมพิมพ์เสร็จเป็นรูปเล่มเรียบร้อยแล้ว ผมรับหนังสือจากพี่ใหม่มา เปิดออกดูทีละหน้า ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะมีโอกาสแบบนี้จริง ๆ</b><br />
<br />
"นี่มันสุดยอดความฝันของผมเลยครับพี่ ขอบคุณมากครับ" ผมพูดด้วยสีหน้าและแววตาลิงโลดใจ<br />
<br />
"เอ้า! นี่หนังสือของนัทเก้าเล่ม พี่ให้นัทเอาไว้แจกเพื่อน ๆ ถ้าไม่พอยังไงก็เข้ามาเอาใหม่ล่ะกัน" พี่ใหม่เอยพร้อมหยิบห่อกระดาษยื่นให้ผม แล้วเอ่ยบอก<br />
<br />
"และนี่เช็คเงินสดค่าเรื่อง"<br />
<br />
"ขอบคุณมากครับ พี่ใหม่" ผมรับเช็คค่าความคิดค่าน้ำหมึกของผมมาถือไว้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก<br />
<br />
แต่ที่แน่ ๆ มันเต็มเปี่ยมจนล้นไปด้วยความภาคภูมิ มาถึงตอนนี้ผมมั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน <b>ผมอยากให้พ่อรู้เหลือเกินว่าในที่สุดผมก็ทำความฝันของผมได้สำเร็จ</b><br />
<br />
ผมละภาพความหลังเก่า ๆ ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยการไปเดินเล่นที่ท่าน้ำสายน้ำแห่งเจ้าพระยา ยังคงไหลเวียนไม่ขาดสาย ประกายแสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำระยิบระยับ เรือลำน้อย เรือลำใหญ่แล่นว่ายอย่างเช่นเคย ที่ตรงนี้ล่ะที่ทำให้ผมมีความสุข รู้สึกสบายอกสบายใจทุกครั้ง และมักจะได้คำตอบหรือแนวพล็อตเรื่องอยู่เสมอ ๆ<br />
<br />
<br />
วันนี้ผมก็หวังไว้เช่นนั้นเหมือนกัน เสียงเรียกเครื่องเพจเจอร์ทำลายความเงียบนั้นลง<br />
<br />
<b>"พ่อถูกรถชน พี่รีบมาด่วนนะ"</b><br />
<br />
ผมกดข้อความจากน้องชายอ่านซ้ำไปมา ใจหนึ่งลังเลจะไปดีหรือไม่ดี แต่ขาน่ะสิรีบก้าวออกไปก่อนโดยไม่รอคำตอบ<br />
<br />
"ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ" ผมถามน้องชายเมื่อไปถึงโรงพยาบาล<br />
<br />
<b>"ก็พ่อน่ะสิ ทำหนังสือหล่นกลางถนน เลยหยุดเก็บ ก็เลย...."</b> น้องชายพูดเสียงสั่นเครือ<br />
<br />
"แค่หนังสือเนียนะ เอามาแลกกับชีวิต พ่อนี่บ้าหรือเปล่า" ผมยังวายหยุดว่าพ่อ<br />
<br />
<b>"ถ้าไม่ใช่หนังสือของพี่ พ่อก็คงไม่เก็บหรอก"</b> คำพูดของน้องชายทำเอาผมอึ้งไปพูดไม่ออก หนังสือของผม เพราะหนังสือของผมเหรอ<br />
<br />
<b>"พอพ่อรู้ว่า หนังสือของพี่วางแผง พ่อก็รีบไปซื้อทันที พ่อบอกว่า…ไม่ซื้อไม่ได้…นี่ผลงานของลูก นี่ความฝันของลูกและพ่อยังบอกอีกว่าพ่อจะซื้อหนังสือของพี่ทุกเล่ม"</b> น้องชายของผมเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ<br />
<br />
มาถึงตรงนี้หยาดน้ำใสๆก็เริ่มไหลเอ่อรื้นอยู่เต็มขอบตาของผม น้องชายของผมยังสาธยายให้ฟังต่ออีกว่า....<br />
<br />
<b>"พี่รู้ไหมพ่อคิดถึงพี่มากแค่ไหน พ่อคิดถึงพี่เสมอนะ พ่ออยากให้พี่กลับมาอยู่ด้วย พ่อยังบอกอีกว่า พ่อจะไม่บังคับอะไรลูก ๆ อีกแล้ว ชีวิตเป็นลูกพ่ออยากให้ลูกเลือกเดินเองแต่พ่อจะคอยอยู่ข้างหลังคอยเป็นกำลังใจให้ ในยามที่ลูกเหนื่อยลูกท้อ พ่อยังบอกอีกว่า... พ่อเชื่อว่าลูกสามารถทำความฝันของตนเองเป็นจริงขึ้นได้อย่างมั่นคง"</b><br />
<br />
คำพูดของน้องชายทำเอาน้ำตาที่เต็มไหลอาบแก้มเมื่อครู่ไหลอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัว ผมไม่เคยรู้สึกดีกับพ่อมาก่อนอย่างนี้ ผมไม่เคยรู้สึกรักพ่อมาก่อนเท่าครั้งนี้ ถึงเวลานี้ผมได้แต่นั่งรอเวลาที่ผมจะโผเข้าสวมกอดร่างของพ่ออีกครั้ง จะนานแค่ไหนไม่รู้<br />
<br />
เวลาผันผ่านไปนานกี่ชั่วโมงผมมิอาจทราบได้ กว่าที่ประตูห้องฉุกเฉินนั่นจะเปิดออก แล้วผมจะกลับเข้าบ้านหลังนั้นอีกครั้ง กลับเข้าไปสู่อ้อมแขนของพ่ออีกครั้งและครั้งนี้มันคงทำให้ผมเขียนเรื่องสั้นได้ทันส่งต้นฉบับวันพรุ่งนี้แน่นอน ผมตั้งชื่อเรื่องรอไว้ก่อนแล้วว่า...<br />
<br />
<br />
<b>'นิทานของพ่อ'<br />
<br />
พ่อคนเดียวที่สอนให้ผมรู้จักตัวเองให้ผมเข้มแข็ง ให้ยืนหยัดได้ด้วยความฝัน สองแขนสองขาของตัวเอง<br />
<br />
ผมอยากบอกว่า ผมรัก รักมาก อย่างที่ไม่เคยรักมาก่อน และ....<br />
<br />
ผมก็รักพ่อไม่น้อยกว่าที่รักแม่หรอก</b><br />
<br />
ขอบคุณ<a href="http://variety.teenee.com/foodforbrain/20921.html">http://variety.teenee.com/foodforbrain/20921.html</a><br />
แหล่งที่มา : เรื่องสั้นที่เคยลงในขายหัวเราะ
นิทานเรื่องสั้นของท่านพุทธทาส เรื่อง แม่-ลูก
tag:go2pasa.ning.com,2009-11-30:2456660:BlogPost:143212
2009-11-30T14:48:40.000Z
fah_koh
https://go2pasa.ning.com/profile/fah_koh
กระบวนแห่สิงโต ผ่านมาในถนน ประชาชน แตกตื่น พากัน อุ้มลูก จูงหลาน ออกมาดู เด็กอายุ ๓-๔ ขวบคนหนึ่ง ร้องไห้ เพราะความกลัว สิงโตก็ดิ้น อย่างจะสิ้นชีวิตลงไป แม่ต้องอุ้ม พาหนี เข้าไปใน สวนข้างถนน แห่งหนึ่ง พลางบ่นว่า น่าสงสารลูกโง่ๆ คนนี้เหลือเกิน แม่จะได้ดูอะไร สักนิด ก็ไม่ได้ดู ทันใดนั้นเอง แม่ก็ดิ้น และร้อง วิ๊ดว๊าดขึ้น เพราะกิ้งกือ ตัวหนึ่ง เผอิญหล่นลงมา จากต้นไม้ ตกลงไปในเสื้อ ลูกเล็กๆ คนนั้นเอง หัวเราะชอบใจ เมื่อเขาบอกแม่ว่า เขาจะช่วย หยิบออกให้ แล้วก็ช่วย…
กระบวนแห่สิงโต ผ่านมาในถนน ประชาชน แตกตื่น พากัน อุ้มลูก จูงหลาน ออกมาดู เด็กอายุ ๓-๔ ขวบคนหนึ่ง ร้องไห้ เพราะความกลัว สิงโตก็ดิ้น อย่างจะสิ้นชีวิตลงไป แม่ต้องอุ้ม พาหนี เข้าไปใน สวนข้างถนน แห่งหนึ่ง พลางบ่นว่า น่าสงสารลูกโง่ๆ คนนี้เหลือเกิน แม่จะได้ดูอะไร สักนิด ก็ไม่ได้ดู ทันใดนั้นเอง แม่ก็ดิ้น และร้อง วิ๊ดว๊าดขึ้น เพราะกิ้งกือ ตัวหนึ่ง เผอิญหล่นลงมา จากต้นไม้ ตกลงไปในเสื้อ ลูกเล็กๆ คนนั้นเอง หัวเราะชอบใจ เมื่อเขาบอกแม่ว่า เขาจะช่วย หยิบออกให้ แล้วก็ช่วย หยิบทิ้งให้จริงๆ<br />
<br />
<b>นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า:</b> มันเป็นการ สุดวิสัย ที่จะไม่ให้ลูกๆ กลัว สิ่งที่มีลักษณะ และอาการ อย่งภูตผี ปีศาจ กระโดด โลดเต้น เข้ามา ราวกะจะจับ เอาตัวไปกินเสีย ฉะนั้น แต่ทีแม่เอง กลับกลัว กิ้งกือ ตัวนิดเดียว! ทั้งเลื้อยด้วย ท่าทางอันนิ่มนวล อ่อนโยน ราวกะเข้ามาแสดง ความเคารพ หรือ ขอความช่วยเหลือ อะไรสักอย่างหนึ่ง ความกลัวของแม่ ก็กลัวอย่าง จะขาดใจตาย เช่นเดียวกับลูกเหมือนกัน! เมื่อประกอบด้วย อวิชชา อยู่อย่างเต็มที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นภูตผีปีศาจ หรือ เป็นสัตว์ตัวนิดๆ เช่น กิ้งกือไส้เดือน ก็ตาม ย่อมสามารถ ปลุกปั่น ความกลัว (วิภวตัณหา) ได้โดย ทำนองเดียวกัน ในฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความขลาด และวิ่งหนี ได้โดยเสมอกัน ในที่สุด ก็เหลือแต่ สิ่งที่ต้องคำนวณดูว่า ลูกอายุเพียง ๒-๓ ขวบ ส่วนแม่อยู่ในฐานะ ที่เป็นแม่ หรือ ผู้ปกครอง สั่งสอนลูกแล้ว ในกรณีนี้ ใครเล่าที่โง่เขลา น่าสมเพชกว่าใคร ในระหว่าง แม่-ลูก รายนี้<br />
<br />
<br />
ที่มา : <a href="http://www.buddhadasa.com/zen/tale02.html">http://www.buddhadasa.com/zen/tale02.html</a><br />
คัดจากหนังสือ นิทานเซ็น มหรสพทางวิญญาณเพื่อจริยธรรม เล่าโดย.. ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม ณ หอประชุมคุรุสภา พุทธศักราช ๒๕๐๕ พิมพ์โดย ธรรมสภา
อุทาหรณ์ ยัดเยียดการเรียนลูกมากเกินไป
tag:go2pasa.ning.com,2009-10-05:2456660:BlogPost:105312
2009-10-05T15:00:00.000Z
fah_koh
https://go2pasa.ning.com/profile/fah_koh
<b>ที่มา http://www.ranthong.com</b><br />
<br />
หัวตาหลิว:<br />
โปรดอ่านให้จบ เป็นประโยชน์กับทุก ๆ ท่าน<br />
อุทาหรณ์***ยัดเยียดการเรียนเกินไป ทำให้เด็กสติขาดเรื่องจริงที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต<br />
หวัดดีค่ะ ก่อนอื่นจะเล่าเรื่องให้ฟังค่ะ เพิ่งได้รับทราบมาเหมือนกันจากปากของเพื่อนทั้งน้ำตา และคิดว่ามีประโยชน์ไม่มากก็น้อย<br />
<br />
เพื่อนคนนี้ไม่ได้ติดต่อมานานประมาณ เกือบๆๆ4 ปีเห็นจะได้ คือไม่สนิทเท่าไร แต่พูดคุยกันได้ และตอนนี้เพื่อนมีลูกแล้วค่ะ แต่มีเพื่อนน้อย เพื่อนแต่งงานกับวิศกร(สามี)ที่เก่งมากค่ะ และตัวเพื่อนเองก็จบมหาลัยเอกชน…
<b>ที่มา http://www.ranthong.com</b><br />
<br />
หัวตาหลิว:<br />
โปรดอ่านให้จบ เป็นประโยชน์กับทุก ๆ ท่าน<br />
อุทาหรณ์***ยัดเยียดการเรียนเกินไป ทำให้เด็กสติขาดเรื่องจริงที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต<br />
หวัดดีค่ะ ก่อนอื่นจะเล่าเรื่องให้ฟังค่ะ เพิ่งได้รับทราบมาเหมือนกันจากปากของเพื่อนทั้งน้ำตา และคิดว่ามีประโยชน์ไม่มากก็น้อย<br />
<br />
เพื่อนคนนี้ไม่ได้ติดต่อมานานประมาณ เกือบๆๆ4 ปีเห็นจะได้ คือไม่สนิทเท่าไร แต่พูดคุยกันได้ และตอนนี้เพื่อนมีลูกแล้วค่ะ แต่มีเพื่อนน้อย เพื่อนแต่งงานกับวิศกร(สามี)ที่เก่งมากค่ะ และตัวเพื่อนเองก็จบมหาลัยเอกชน ก็เกียรตินิยมอันดับ 2 ด้านภาษาต่างประเทศค่ะ คือเหมาะสมถึงไม่รวยมาก แต่ก็เกินปานกลางนะคะ พอแต่งงานก็ไม่ได้ติดต่อใคร แต่ทราบว่ามีลูก ณ. ปัจจุบันก็ 5 ขวบกว่าแล้วค่ะ ได้โทรไปหาเพื่อน เพระตอนนี้เรามีลูก 4 ขวบกว่าค่ะ ก็หาข้อมูลเรื่องการเรียนในนี้เป็นหลัก และอาศัยถามคนอื่นด้วย และไม่อายที่จะถามด้วย เพราะคิดว่ายิ่งรู้มาก ก็ยิ่งดี จึงได้โทรไปหาเพื่อนค่ะ และถามเรื่องลูก สิ่งที่ได้รับ คือ การปล่อยโฮอย่างแรง ร้องไห้จะเป็นจะตายเดียวนั้น เราก็ตกใจ เฮ้ย แกเป็นไรว่า เป็นไร<br />
<br />
มันบอกว่ามันอึดอัด มันจะบ้าอยู่แล้ว ปรึกษาใครก็ไม่ได้ ทุกวันนี้มันถูกตราหน้าว่าเป็นคนผิด “ผิดอย่างร้ายกาจ” จากครอบครัวสามี และ แม่ตัวเอง มันปรึกษาใครก็ไม่ได้ เพระพื้นฐานคือ ทั้งสามีและเพื่อน เป็นคนเสียเงินเท่าไรเท่ากัน แต่อายหรือไม่สมบูรณ์ไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่ปรึกษาใครเลย เพราะมันอายและไม่อยากให้ใครดูถูกมัน เรื่องคือ ลูกชายเข้าเรียนตอน 3 ขวบกว่านิดๆ ได้เข้าเรียนในระดับโรงเรียนดังเลย ค่าเทอมเป็นแสน คอมพร้อม เพื่อนดี สังคมดูดี เพอร์เฟ็กและโรงเรียนเป็นที่หมายตามักมาก ..<br />
<br />
ให้ข้อมูลผิดนิดค่ะ คือลูกชายเพื่อน อายุจะ 7 ขวบแล้วค่ะ ที่นี้โรงเรียนดัง ก็พ่อแม่ต่างก็ผลักและดันกันสุดฤทธิ์(มันบอกอย่างนี้ค่ะ) เงินพร้อมซะอย่าง ก็คุยกันต้องติวอย่างนั้น ต้องครูคนนี้ ฝรั่งคนนี้ ต้องเรียนนี้เสริม เจ๋งค่ะ เพื่อนก็เป็นเช่นนั้น และมันบอกว่าก็มีการเม้มที่เด็ดๆไว้ไม่บอกใครก็มี........ฮื่อ....<br />
<br />
ที่นี้ ลูกเรียนวันจันทร์ – ศุกร์ ยัน 6 โมงเย็น และเป็นอย่างงี้ มาตั้งแต่ อนุบาล 1 ถึง 3 เข้านอน ไม่เกิน 3 ทุ่ม เพราะต้องตื่นเช้าไปส่ง ตื่นตอน ตี 5 ครึ่ง เพราะเพื่อนมีบ้านในหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่นอกเขตและห่างจากโรงเรียนค่อนข้างมาก ออกจากบ้าน ไม่เกิน 6 โมงเช้า เท่านั้น และไปถึงโรงเรียน ประมาณ เกือบ 7 โมง วันเสาร์ เรียนพิเศษเสริม เริ่ม 8 โมงเช้าถึง บ่ายโมง และ ตอนบ่าย 3 เรียนว่ายน้ำ จึงได้กลับบ้าน ส่วนวันอาทิตย์ ครึ่งวันเช้าเรียนที่สถาบันคุมองต์ เสริม ครึ่งวันหลังผักผ่อน...ตอน 1 ทุ่มวันอาทิตย์ต้องทบทวนงานและเตรียมความพร้อมเพื่อไปเรียนวันจันทร์ และแนะนำจากพ่อและแม่ ไม่เกิน 3 ทุ่มเข้านอน<br />
<br />
และเหตุการณ์ที่มันเล่าแบบสะเทือนใจตอนหลังคือ .....ลูกไม่มีเพื่อนในหมูบ้านเลยสักคนเดียว...เพระไม่ได้คุยกับใครอยู่แล้ว สังคมเมืองของแท้ ปั่นแต่จักรยานของเค้าเท่านั้น วันนั้น วันอาทิตย์ ลูกก็ปั่นจักยานไม่ยอมเข้าบ้าน แม่ก็เรียก ให้มาอาบน้ำได้แล้ว 6 โมงเย็นแล้ว เตรียมกินข้าว และทบทวนการบ้าน ลูกก็ไม่ฟัง จนเพื่อนและสามีโมโห บอกว่า เสียงดังนะคะ ....เข้าบ้านเดียวนี้ เข้าบ้านเลย ทำไมดื้ออย่างนี้ ยิ่งโตยิ่งดื้อ (เพื่อนว่าลูก) จะไม่ให้ขี่จักรยานอีกต่อไป ตัวสามีก็ไปดึงจักรยานออกจากลูก และแม่มาจับลูก (สามี)เข้าบ้าน ป๋าจะโยนจักรยานทิ้งซะ ถ้าทำอย่างนี้อีก<br />
<br />
ลูกชายเข้าไปกอดขาพ่อ และยกมือ ป๋าอย่าทำ หนูไม่มีเพื่อนที่ไหน จักรยานคือ เพื่อนของหนู หนูมีจักรยานเป็นเพื่อนเท่านั้น ป๋าอย่าทำนะ ทั้งเพื่อนและสามีก็ไม่ใส่ใจอะไร เพียงต้องการให้เข้าไปอ่านหนังสือเท่านั้น :(<br />
<br />
และ.อีกเหตุการณ์หนึ่ง กว่าจะจับใจความได้มันร้องไห้ไม่หยุดเพื่อนจุดพลุเลย....ลูกกลับจากบ้าน คุยกับพ่อและแม่ อยากดู อุลตล้าแมน มดเอ๊ก บ้าง เพื่อนๆ คุยกันที่โรงเรียน เค้าไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนยังบอกว่าที่บ้านไม่มีทีวีหรือไง (เด็กอนุบาลนะค่ะ) ทำให้เค้าไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ เค้าได้ดูแต่การ์ตูนเสริมความรู้ เช่น ถ้าดู UBC ก็ประมาณ ดอร่า หมาบลู ประมาณนี้ สามีและเพื่อนบอกว่า ลูกอย่าทำตัวไร้สาระได้หรือเปล่า ตอนนี้เพื่อนเพื่อนๆ ลูกอยากทำอะไรก็ปล่อยเค้าไป การ์ตูนมีแต่ความรุนแรงไม่เสริมความรู้อะไรเลย เราได้เปรียบ เราใช้เวลาทบทวนและเรียน ในขณะที่คนอื่นเค้าไร้สาระ ลูกลองคิดดู โตขึ้นลูกก็จะเป็นนาย ของคนพวกนี้ และคนพวกนี้จะไม่เหนือลูกเด็ดขาด การสอนจะประมาณนี้ตลอด แต่เพื่อนบอกว่า เค้าและสามีทำดีที่สุดและ ให้ในสิ่งที่ดีที่สุด ที่คนทั่วไปบางทีก็ให้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป<br />
<br />
ที่นี้หนักสุด ต้องติว เข้า ป. 1 ที่นี้เวลาเล่นแทบน้อยมาก แต่ก็ได้ ติดที่ ป. 1 ตามที่หวังไว้ แต่ก็ต้องเรียนเสริมเหมือนเดิม.ฯลฯ จนถึงวันที่ลูกทนไม่ได้ จนลูกโกรธจนตัวสั่น และพูดว่า เค้าจะไม่เป็นคนดี เค้าเบื่อที่สุดแล้ว เค้าอยากเล่นฟุตบอล เค้าอยากวิ่งเล่น อยากดูการ์ตูน อยากอ่านขายหัวเราะให้พ่อแม่อนุญาตอ่านให้ เค้าเกลียดพ่อและแม่ ทำไมต้องบังคับ ทำไมต้องอาย ทำไม เค้าจะเป็นคนชั่ว (เพื่อนมันบอกว่า ลูกพูดจนลิ้นพันกัน ตัวสั่นไปหมด จับลำดับคำพูดยาก (ป 1) อะไรก็พูดๆๆๆๆออกมา ร้องไห้ หน้าแดง กำหมัด ขว้างข้าวของ เสียงดัง ในระหว่างนั้น สามีและเพื่อนก็ใช้เสียงดังเพื่อหยุดพฤติกรรม แต่ไม่เป็นผล ยิ่งดัง ก็ยิ่งดังใส่ จนเด็กเป็นลม คงสะสมมานาน<br />
<br />
พอผ่านไปสักระยะ จนทางโรงเรียนมีจดหมายมาถึงเพื่อเชิญผู้ปกครองไปพบ พอไปถึงโรงเรียน ทางครูบอกว่า ตอนนี้น้องมีอาการเหม่อลอย ไม่มองกระดาน และไม่มีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ให้ทำอะไรทำได้หมด แต่ทำไปอย่างให้จบไป ไม่มีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อย บางครั้งก็มีน้ำตาเอ่อ แต่ไม่ไหลออกมาเป็นระยะ และพูดน้อยลง ใช้สายตาและท่าทางคิดมากขึ้น....ฯลฯ เพื่อนและสามีไม่ยอมรับและไม่เชื่อ ก็สักพักใหญ่ๆ จึงไปพบหมอที่สมิตเวช หมอแจ้งว่า.....น้องกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างแรง บวกกับเก็บกดภายในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกมานาน จนระเบิดออกมาเหมือนคนเสียสติ เค้าไม่ได้บ้า หรือพิการทางสมอง แต่เค้าปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างเอง ไม่รับเอง ไม่เอาเอง ซึ่งตรงนี้น่าวิตกคือ แล้วเมื่อไรเค้าจะรับ และเปิดใจกลับมาเหมือนเดิม สมาธิและจิตใจได้ถูกตัดด้วยตัวเค้าเอง...... เค้าอยากอยู่แต่ในโลกจินตนาการที่เค้าคิดว่านั้นคือความสุขของเค้า ไม่อยากออกมาเลยด้วยซ้ำ คงต้องใช้เวลามาก เพราะถ้าเรารู้ว่าเค้าสมาธิสั้น เรามีทางแก้ ถ้าเค้าเป็นดาว เรารู้วิธี แต่เค้าเลือกเองที่จะปิดตัวเองอย่างเด็ดขาด ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นคนวิกลจริตทางความคิดในอนาคต ทุกวันนี้ผลคือ สามีก็ยอมรับในระดับหนึ่ง แต่ก็เริ่มโทษภรรยา มากกว่าโทษตัวเอง ตอนนี้มันรับกรรมเต็มๆ ลูกไม่สามารถเรียนได้แล้วคะ ต้องพบจิตแพทย์เด็กโดยตรง ถึงตรงนี้ มันบอกว่ามันเรียกลูกกลับมาไม่ได้แล้วจริงๆ มันเศร้ามากค่ะ มันก็กำชับไม่ให้ดิฉันบอกใครเพระมันอาย..<br />
:'(
เดินจังหวะลูก
tag:go2pasa.ning.com,2009-10-04:2456660:BlogPost:104561
2009-10-04T16:32:26.000Z
fah_koh
https://go2pasa.ning.com/profile/fah_koh
<b>รายงานโดย :ธนา เธียรอัจฉริยะ<br />
<br />
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น:</b><br />
<br />
วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552<br />
<br />
ผมมีลูกสาวตัวเล็กๆ น่ารักสองคน คนโตชื่อ โมเนต์ อายุห้าขวบกว่าๆ<br />
<br />
คนเล็กชื่อเมนิ อายุสี่ขวบ กำลังอยู่ในวัยอ้อนพ่ออ้อนแม่<br />
<br />
ไม่รู้ว่าใครติดใครกันแน่ รู้แต่ว่าผมต้องพยายามกลับบ้านให้ทัน<br />
<br />
ก่อนสองสาวนอนหลับเกือบทุกวัน เสาร์อาทิตย์ก็ตัวติดกันตลอด<br />
<br />
คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็มักจะนึกถึงแต่ว่าจะสอนลูกให้เป็นคนยังไง<br />
<br />
ให้มีน้ำใจ ไหว้สวย ไม่งอแง…
<b>รายงานโดย :ธนา เธียรอัจฉริยะ<br />
<br />
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น:</b><br />
<br />
วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552<br />
<br />
ผมมีลูกสาวตัวเล็กๆ น่ารักสองคน คนโตชื่อ โมเนต์ อายุห้าขวบกว่าๆ<br />
<br />
คนเล็กชื่อเมนิ อายุสี่ขวบ กำลังอยู่ในวัยอ้อนพ่ออ้อนแม่<br />
<br />
ไม่รู้ว่าใครติดใครกันแน่ รู้แต่ว่าผมต้องพยายามกลับบ้านให้ทัน<br />
<br />
ก่อนสองสาวนอนหลับเกือบทุกวัน เสาร์อาทิตย์ก็ตัวติดกันตลอด<br />
<br />
คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็มักจะนึกถึงแต่ว่าจะสอนลูกให้เป็นคนยังไง<br />
<br />
ให้มีน้ำใจ ไหว้สวย ไม่งอแง นึกอะไรออกก็พยายามสอน<br />
<br />
ก็ไม่ค่อยได้นึกว่าจะเรียนรู้อะไรจากลูกได้<br />
<br />
เพราะลูกยังเด็กยังเล็กอยู่ แต่ด้วยความที่อยู่ด้วยกันตลอด<br />
<br />
มีบ่อยครั้งที่ลูกผมพูดหรือแสดงท่าทีอะไรที่ทำให้ผมต้องหยุดคิด<br />
<br />
และทบทวนตัวเองเป็นประจำ<br />
<br />
เมื่อไม่นานมานี้ ผมพาเด็กๆกับภรรยาไปเที่ยวอเมริกา<br />
<br />
ไปอยู่หลายเมือง สองอาทิตย์ที่ไปเที่ยว เป็นสองอาทิตย์ที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตผม<br />
<br />
ได้มีโอกาสตะลอนๆ ไปทั้งครอบครัว ได้ผจญภัยเล็กๆ ตามที่ต่างๆ<br />
<br />
มีอุปสรรคบ้างนิดหน่อยพอเป็นน้ำจิ้ม<br />
<br />
ได้เห็นตัวเล็กทั้งสองสนุกสนานกับของเล่นบ้าง<br />
<br />
ทิวทัศน์รอบทางบ้าง เป็นความสุขเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ของคนเป็นพ่อเป็นแม่<br />
<br />
ระหว่างทางในหลายๆ ครั้ง<br />
<br />
ผมกับภรรยาก็จะเดินดูโน่นดูนี่เป็นปกติในจังหวะก้าวย่างของเรา<br />
<br />
ก็จะได้ยินเสียงเมนิ ลูกสาวคนเล็กบ่นปวดขา เดินไม่ทัน เหนื่อย<br />
<br />
เวลาไปเดินในที่ที่คนเยอะ ก็มีเผลอไปจับมือคนอื่น<br />
<br />
คิดว่าเป็นพ่อแม่บ้าง เราก็ได้แต่ขำๆ ในตอนแรก<br />
<br />
แต่พอใช้ชีวิตด้วยกันตลอดเวลา มีจังหวะหนึ่งที่ลูกผมบ่นว่า<br />
<br />
เดินไม่ทันซึ่งปกติผมก็คงไม่ได้สนใจอะไร<br />
<br />
แต่จังหวะนั้นผมบอกลูกว่า เดี๋ยวจะลองเดินก้าวช้าๆ เท่าลูกดู<br />
<br />
ผมก็เลยลองเดินช้าๆ ช้ามาก เพราะลูกผมยังเล็ก<br />
<br />
ก้าวได้สั้นๆ และไม่ไกล ผมพยายามเดินในจังหวะของลูก<br />
<br />
ช่วงแรกๆ ก็อึดอัดนิดหน่อย ต้องก้าวเท้าถี่ๆ<br />
<br />
สั้นๆ แต่พอลองบ่อยๆ เข้า ผมก็เริ่มมองเห็นมุมของเขาว่า<br />
<br />
ทำไมเขาถึงเดินไม่ทัน ปวดขา หรือเหนื่อย เวลาเดินจังหวะผู้ใหญ่<br />
<br />
พอเริ่มเห็นมุมแปลกๆ ของเด็ก ผมก็เลยลองพยายามย่อตัวลงให้เท่าลูก<br />
<br />
ในมุมที่เรามองเงยหน้าขึ้นไป ทำให้รู้สึกว่าผู้ใหญ่ในสายตาเขาเหมือนยักษ์ที่อยู่สูง<br />
<br />
มองไม่ค่อยถนัด ถึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงจับมือคนผิดอยู่เรื่อยเวลาคนเยอะๆ<br />
<br />
หลังจากนั้น ผมก็พยายามเดินช้าลงให้ได้จังหวะของเขา<br />
<br />
พยายามย่อตัวเวลาคุยกับลูก ลูกผมก็ดูจะสนุกขึ้น<br />
<br />
อารมณ์ดีขึ้นและชอบมากเวลาพ่อย่อตัวคุยด้วย<br />
<br />
ลูกผมสอนให้ผมรู้จักสนใจจังหวะของคนอื่น<br />
<br />
ลองใช้จังหวะของคนอื่นในการดำเนินชีวิตบ้าง<br />
<br />
ชีวิตของ คนทำงานหลายๆ ครั้ง ก็พยายามบงการให้คนอื่นเดินจังหวะเรา<br />
<br />
ไม่ได้เอาใจเขามาใส่ใจเรา<br />
<br />
พอนึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็จะพยายามลองสังเกตจังหวะคนอื่นดูทุกที<br />
<br />
ที่ดิสนี ย์แลนด์ ช่วงเที่ยงๆ ผมกับโมเนต์ ลูกสาวคนโตไปต่อคิวยาวเหยียดเพื่อซื้ออาหารกลางวั น รอตั้งสิบกว่านาที อยู่ดีๆก็มีแม่ลูกตัวอ้วนๆคู่นึงท??เนียนมา แซงคิวเอาโค้งสุดท้ายข้างหน้าผม คงเห็นว่าเราหน้าเอเชียดูใจดี<br />
<br />
ก็เลยเบียดซะอย่างนั้น ผมก็เลือดขึ้นหน้า โมโหสุดๆ กำลังจะโวยวายด้วยความฉุน<br />
<br />
ก่อนจะโวย ก็บอกโมเนต์ เพื่อให้ลูกเข้าใจว่าพ่อจะต้องโกรธเพราะอะไร<br />
<br />
โมเนต์สะกิดแขนผม แล้วทำหน้าชิลล์มากๆ<br />
<br />
บอกผมว่า "พ่อขา เขาอาจจะรีบก็ได้นะพ่อนะ"<br />
<br />
ผมอึ้งไปพัก ใหญ่ ในหัวหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง ดีใจที่ลูกมองโลกในแง่ดีแบบนี้ แถมรู้สึกตัวเองแย่มากๆ ที่ต้อง ให้ลูกสอนการมองโลก การให้อภัย ระหว่างรอแถว<br />
<br />
ผมนึกถึงเพลงอื่นๆ<br />
<br />
อีกมากมายของวงเฉลียงอยู่ในหัว<br />
<br />
เด็กหนีไม่ยอมเรียน<br />
<br />
โดดเรียนเพราะเหตุใด<br />
<br />
ใครตอบได้ไหม<br />
<br />
เด็กไปเพราะใจเบ่ง<br />
<br />
แม่ให้ไปขายของ<br />
<br />
ครูสอนไม่ดีเอง<br />
<br />
เด็กรักเป็นนักเลง<br />
<br />
อื่นๆ อีกมากมาย<br />
<br />
เมื่อวานก่อน ผมพาเด็กหญิงสองคนไปทำฟัน<br />
<br />
คุณหมอตรวจเจอว่าโมเนต์ฟันผุ ต้องอุดฟันน้ำนม คุณหมอก็เลยทำการอุดให้<br />
<br />
เราก็คอยบอกโมเนต์ว่าถ้าเจ็บให้ยกมือขึ้น<br />
<br />
เพราะอุดฟันเด็กห้าขวบ โดนเหงือก โดนปาก เด็กคงต้องเจ็บน่าดู<br />
<br />
ตลอดการอุดฟัน<br />
<br />
ผมก็ถามเป็นระยะว่าเจ็บรึเปล่า<br />
<br />
โมเนต์ไม่ยกมือว่าเจ็บเลยซักครั้ง<br />
<br />
ผมก็นึกว่าคงไม่เป็นไร อุดเสร็จ เรียบร้อยก็กลับบ้าน<br />
<br />
ระหว่างทางกลับบ้าน ผมก็ถามลูกว่า อุดฟันเจ็บมั้ย โมเนต์บอกว่า<br />
<br />
เจ็บมากเพราะโดนเหงือก ผมก็ถามต่อด้วย ความสงสัยว่าทำไมไม่ยกมือ หรือร้องล่ะ<br />
<br />
โมเนต์บอกสั้นๆ ยิ้มอายๆ<br />
<br />
<b>"หนูอดทน อยากให้พ่อดีใจ"</b><br />
<br />
หนูสอนพ่อเยอะเหลือเกิน...