YuhKha's Posts - หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้
2024-03-29T06:08:04Z
YuhKha
https://go2pasa.ning.com/profile/YuhKha
https://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1959206519?profile=RESIZE_48X48&width=48&height=48&crop=1%3A1
https://go2pasa.ning.com/profiles/blog/feed?user=1kq36hb0fwbx9&xn_auth=no
รับมือ...ลูกวัยขี้หวง (M&C แม่และเด็ก)
tag:go2pasa.ning.com,2010-11-03:2456660:BlogPost:481762
2010-11-03T19:10:47.000Z
YuhKha
https://go2pasa.ning.com/profile/YuhKha
<span style="font-weight: bold;">รับมือ...ลูกวัยขี้หวง</span> <span style="font-weight: bold;">(M&C แม่และเด็ก)</span><br></br><br></br> <span style="color: rgb(0, 0, 255);">
คงไม่มีช่วงวัยไหนแล้วที่เจ้าตัวเล็กของคุณจะขี้หวง<br />
และติดแม่ได้เท่าช่วงวัยขวบครึ่งถึงสามขวบ<br />
เพราะนี่เป็นวัยที่เด็กเรียนรู้ที่จะสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองขึ้นมา<br />
ก่อนหน้านี้เค้าเคยคิดว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของคุณแม่ แต่เมื่อเค้าเติบโตขึ้น<br />
กลับพบว่าตัวเค้าเป็นอีกคนหนึ่ง ที่เป็นตัวของเค้าเอง<br />
และวิธีที่จะแสดงออกหรืออวดตัวตนของเค้าก็คือ…</span>
<span style="font-weight: bold;">รับมือ...ลูกวัยขี้หวง</span> <span style="font-weight: bold;">(M&C แม่และเด็ก)</span><br/><br/> <span style="color: rgb(0, 0, 255);">
คงไม่มีช่วงวัยไหนแล้วที่เจ้าตัวเล็กของคุณจะขี้หวง<br />
และติดแม่ได้เท่าช่วงวัยขวบครึ่งถึงสามขวบ<br />
เพราะนี่เป็นวัยที่เด็กเรียนรู้ที่จะสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองขึ้นมา<br />
ก่อนหน้านี้เค้าเคยคิดว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของคุณแม่ แต่เมื่อเค้าเติบโตขึ้น<br />
กลับพบว่าตัวเค้าเป็นอีกคนหนึ่ง ที่เป็นตัวของเค้าเอง<br />
และวิธีที่จะแสดงออกหรืออวดตัวตนของเค้าก็คือ การประกาศเป็นเจ้าของ<br />
เพราะการมี <span style="font-weight: bold;">"ของเค้า"</span> เท่ากับมีตัวเค้าอยู่ และที่เค้าติดคุณมากเป็นพิเศษ เพราะคุณเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นของ <span style="font-weight: bold;">"ของเค้า"</span> เหมือนกัน</span><br/><br/> <span style="font-weight: bold;">ไม่มีวัยไหนแล้วที่เจ้าตัวเล็กจะขี้หวงได้เท่านี้ เพราะนี่เป็นวัยที่เด็กกำลังเรียนรู้ที่จะสร้างเอกลักษณ์ของตัวเองขึ้นมา</span><br/><br/> ก่อน
หน้านี้ไม่นาน ภาพที่คนในบ้านเคยคุ้นกันดี คือภาพที่เจ้าหนูเดินเตาะแตะ<br />
เอาขนมไล่ป้อนใครต่อใครไปทั่ว อวดของเล่นชวนใคร ๆ เล่นอย่างไม่รู้เบื่อ<br />
แต่ตอนนี้ เค้ากลับเอาแต่พูดว่า <span style="font-weight: bold;">"นี่ของหนู" "นั่นของหนู" "ของหนู ๆๆๆ"</span> และหากใครมาแตะ <span style="font-weight: bold;">"ของ"</span> ที่เค้าบอกว่าเป็นของเค้าแล้วล่ะก็ เป็นเรื่องทีเดียว เพราะเค้าจะอาละวาดสุดฤทธิ์ ช่วงชิง <span style="font-weight: bold;">"ของ"</span> ของเค้ากลับมาให้ได้ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเพียงตุ๊กตา หรือขนมชิ้นเล็ก ๆ<br/><br/> แต่
เรื่องคงไม่จบแค่การยอมให้สิ่งของที่ลูกร่ำร้องเป็นเจ้าของ<br />
เพราะความขี้หวงของลูก<br />
กลายเป็นปัญหาคาใจคุณแม่ซะแล้ว...ทำไมลูกขี้หวงแบบนี้?<br />
ทำไมไม่รู้จักแบ่งปัน? โตขึ้นลูกจะเข้ากับเพื่อนได้มั้ยเนี่ย?<br />
หยุดความกังวลใจไว้ก่อนค่ะ เพราะนี่ถือเป็นการพัฒนาการอีกขั้นของลูก<br />
หน้าที่ของคุณแม่ในตอนนี้คือ ค่อย ๆ<br />
ปรับพฤติกรรมของลูกให้เข้าที่เข้าทางค่ะ<br/><br/> <span style="color: rgb(128, 0, 128);">ขั้น
แรกต้องเริ่มที่ตัวคุณเอง ก่อนที่จะฝึกลูกได้คุณต้องหมั่นเตือนตนเอง<br />
รวมทั้งบอกผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ในบ้านให้ปฏิบัติตามแนวทางเดียวกันว่า<br />
ไม่ควรดุเมื่อลูกแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ<br />
เพราะนอกจากเด็กจะไม่เข้าใจแล้ว ยังจะทำให้เค้าเสียขวัญเปล่า ๆ<br />
และอย่าบังคับให้เด็กแบ่งของให้ใคร<br />
เพราะไม่มีวันซะล่ะที่เค้าจะเต็มใจแบ่งให้<br />
แล้วทีนี้ก็มาถึงวิธีการบอกให้ลูกรู้ถึงขอบเขต ความเป็นเจ้าของของเค้า</span><br style="color: rgb(128, 0, 128);"/><br/> <span style="font-weight: bold;">ถ้าคุณแม่จะเอาตุ๊กตาตัวโปรดของเขาไปซักล่ะก็ อย่าลืมบอกลูกให้เข้าใจก่อนล่ะ ไม่อย่างนั้นเป็นเรื่องแน่ ๆ</span><br/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(0, 255, 255);">ทำสัญลักษณ์บนของของลูก</span><br/><br/> นี่ เป็นวิธีที่ง่าย ๆ ที่จะแสดงให้ลูกเห็น
และแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนที่เป็นของเค้าจริง ๆ ที่เค้าจะแสดงอาการหวงได้<br />
และสิ่งไหนไม่ใช่ ลองหาสติ๊กเกอร์สวย ๆ มาให้ลูกเลือก<br />
ว่าเค้าจะใช้รูปอะไรแทนตัวเค้าดี ถ้าลูกเลือกรูปไหน<br />
ก็ควรใช้เฉพาะรูปนั้นและพยายามเลือกที่เป็นแบบเดียวกัน<br />
เพื่อปัองกันความสับสนในภายหลัง แปะลงบนของเล่น ของใช้ส่วนตัวของเค้า<br />
เท่านี้ลูกก็จะเข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งไหนเป็นของใคร<br/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(0, 255, 255);">นี่ของแม่นะ</span><br/><br/> ลูก
อาจยังทึกทักเอาของของคนอื่นไปเป็นของตนอีก<br />
อย่างนี้ต้องลองเอาคำพูดของลูกนี่ล่ะมาปรามลูก เช่น<br />
หากคุณแเม่กำลังอ่านหนังสืออยู่ แล้วจู่ ๆ<br />
ลูกก็ตรงเข้ามาแย่งหนังสือนั้นไปพร้อมบอกว่า "เอามา ๆ ของหนู ๆ"<br />
คุณต้องบอกลูกอย่างชัดเจนว่า "นี่ของแม่ไม่ใช่ของหนูนะ<br />
ของหนูเล่มโน้นต่างหาก เล่มที่มีสติ๊กเกอร์ติดอยู่ไงจ๊ะ<br />
แต่ถ้าหนูอยากดูเล่มนี้ ก็ต้องดูด้วยกันกับแม่นะ"<br/><br/> เมื่อ
ลูกได้มีส่วนร่วมในการสัมผัสของของคนอื่น เค้าก็จะค่อย ๆ เรียนรู้ได้ว่า<br />
ของบางสิ่งน่ะเราแบ่งกันได้ การแบ่งไม่ได้ทำให้ของนั้นเสียหายสักหน่อย<br />
ติดกันหนึบแบบนี้คุณแม่อาจจะเหนื่อยสักหน่อย แต่ถือเป็นโอกาสดี ๆ<br />
ที่ลูกจะได้เรียนรู้ ก็นับว่าคุ้ม<br />
อ้อ...อย่าลืมดูแลเรื่องความปลอดภัยด้วยนะคะ<br/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(0, 255, 255);">บอกหนูก่อนนะแม่</span><br/><br/> ถ้า
คุณแม่มีความจำเป็นต้องหยิบเอาสิ่งของสุดหวงของลูกไป<br />
ไม่ว่าจะนำไปเก็บหรือทำความสะอาด จะต้องบอกลูกก่อนทุกครั้ง<br />
เพราะการหยิบเอาไปเฉย ๆ โดยไม่บอกล่วงหน้าอาจทำไห้เค้าเข้าใจว่า<br />
คุณแย่งของรักของเค้าไป หรือว่าเค้าต้องสูญเสียมันไปซะแล้ว<br />
แต่ถ้าลูกยังไม่ยอมให้ ก็ควรขอดี ๆ อีกสักรอบ พร้อมให้เหตุผลไปด้วย เช่น<br />
"พี่ตุ๊กตาของหนูมอมแมมแล้ว แม่พาพี่ตุ๊กตาไปอาบน้ำก่อนนะคะ"<br/><br/> การ
ทำเช่นนี้นอกจากช่วยป้องกันศึกชิงของได้แล้ว ยังช่วยให้ลูกค้นพบว่า<br />
เวลาที่เค้าต้องการของของคนอื่นบ้าง ควรจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้สิ่งนั้นมา<br />
โดยไม่ต้องเสียแรงร้องให้เหนื่อย ชิงช้า กระดานลื่น ในสวนหรือสนามเด็กเล่น<br />
ต้องแบ่งกันเล่น และถ้ามีคนอื่นเล่นอยู่ก่อน ต้องรู้จักที่จะรอคอยบ้างนะ<br/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(0, 255, 255);">ของบางอย่างต้องแบ่งกัน</span><br/><br/> นอก
จากนี้ลูกต้องเรียนรู้ด้วยว่า มีของบางอย่างที่ต้องใช้ร่วมกัน<br />
หรือของในที่สาธารณะ เช่น ชิงช้า กระดานลื่น ในสนามเด็กเล่น<br />
ต้องแบ่งกันใช้และเค้าต้องรู้จักที่จะรอคอยบ้าง<br />
ระหว่างที่รอเค้าอาจไม่ยอมอยู่เฉย ๆ ดังนั้น<br />
คุณควรหากิจกรรมอื่นให้เค้าได้ทำระหว่างรอ อาจชวนพูดคุย เล่นเกม ไปพลาง ๆ<br />
ถ้าลูกไม่ยอมรอ ร้องดิ้นอาละวาด คงต้องบอกให้เค้าเลือกว่าจะรอ<br />
เพื่อที่จะได้เล่น หรือว่าจะอาละวาดต่อก็ได้ แต่นั่นจะทำให้ลูกอดเล่นนะ<br/><br/> <span style="font-weight: bold;">การทำเช่นนี้ลูกจะได้เรียนรู้การแบ่งปัน รู้จักการรอคอย และรู้ว่าบางอย่างไม่จำเป็นต้องเป็นของของเค้าคนเดียว</span>
พ่อแม่คิดบวก...ลูกพัฒนาการบวก (รักลูก)
tag:go2pasa.ning.com,2010-09-06:2456660:BlogPost:399831
2010-09-06T17:41:26.000Z
YuhKha
https://go2pasa.ning.com/profile/YuhKha
<span style="font-weight: bold;">พ่อแม่คิดบวก...ลูกพัฒนาการบวก</span> <span style="font-weight: bold;">(รักลูก)</span><br />
โดย: เพียงขวัญ<br></br><br></br> <span style="color: rgb(128, 0, 128);">ความคิดของพ่อแม่ไม่ว่าจะเป็นด้านบวก หรือลบ
ล้วนมีผลต่อพัฒนาการของเจ้าตัวเล็กค่ะ<br />
เพราะความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำและการแสดงออก<br />
ซึ่งลูกสามารถรับรู้ได้ตั้งแต่วัยขวบปีแรก</span><br></br><br></br><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(255, 255, 0);">พัฒนาการลูกปกติไหม…</span>
<span style="font-weight: bold;">พ่อแม่คิดบวก...ลูกพัฒนาการบวก</span> <span style="font-weight: bold;">(รักลูก)</span><br />
โดย: เพียงขวัญ<br/><br/> <span style="color: rgb(128, 0, 128);">ความคิดของพ่อแม่ไม่ว่าจะเป็นด้านบวก หรือลบ
ล้วนมีผลต่อพัฒนาการของเจ้าตัวเล็กค่ะ<br />
เพราะความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำและการแสดงออก<br />
ซึ่งลูกสามารถรับรู้ได้ตั้งแต่วัยขวบปีแรก</span><br/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(255, 255, 0);">พัฒนาการลูกปกติไหม</span><br style="font-weight: bold; background-color: rgb(255, 255, 0);"/><br/> พัฒนาการ เด็กเป็นกระบวนการต่อเนื่อง ซึ่งจะดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับระบบประสาท
สภาพร่างกาย อารมณ์ และสิ่งแวดล้อม โดยเป็นไปตามลำดับขั้น<br />
เริ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เช่น ต้องชันคอได้ก่อนนั่ง<br />
นั่งได้แล้วจึงยืนได้ แต่จะต่างกันที่ลำดับเวลา<br />
ที่แต่ละคนจะหัดนั่งหัดยืนเร็วช้าไม่เท่ากันค่ะ<br/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(255, 255, 0);">สาเหตุและระดับของพัฒนาการที่ผิดปกติ</span><br/><br/> <strong><img alt="" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/1468318.gif" border="0" height="19" width="19"/></strong> <span style="font-weight: bold;">1. พันธุกรรม</span> พบ 5% เป็นความผิดปกติของยีน โครโมโซม เช่น เด็กที่เป็นโรคดาวน์ซินโดรม ซึ่งจะทำให้พัฒนาการช้าทุก ๆ ด้าน<br/><br/> <strong><img alt="" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/1468318.gif" border="0" height="19" width="19"/></strong> <span style="font-weight: bold;">2. การเติบโตของตัวอ่อนผิดปกติ</span>
พบ 30% โดยตัวอ่อนเจริญเติบโตผิดปกติตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เช่น<br />
คุณแม่ได้รับสารพิษบางอย่าง ภาวะตะกั่วเกิน คุณแม่ดื่มสุรามาก<br />
(แอลกอฮอล์ส่งผลเสียต่อพัฒนาการของตัวอ่อน) คุณแม่ติดเชื้อหัดเยอรมัน<br />
หรือซิฟิลิสขณะตั้งครรภ์ ความผิดปกติของรกบางอย่าง<br />
ชึ่งจะส่งผลกระทบต่อตัวอ่อน ทำให้พัฒนาการช้า<br/><br/> <strong><img alt="" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/1468318.gif" border="0" height="19" width="19"/></strong> <span style="font-weight: bold;">3. ปัญหาในระหว่างการตั้งครรภ์หรือขณะคลอด</span>
พบ 10% อาจเกิดจากคุณแม่ขาดสารอาหาร น้ำหนักน้อยหรือเพิ่มไม่ถึงเกณฑ์<br />
เด็กคลอดก่อนกำหนด คลอดแล้วขาดออกซิเจน เด็กติดเชื้อขณะคลอด<br />
(ติดเชื้อเริมจากช่องคลอดของคุณแม่) หรือเกิดจากเด็กที่คลอดติด<br />
มีเลือดออกที่กะโหลกศีรษะ รวมทั้งภาวะบางอย่างขณะคลอด เช่น<br />
คุณแม่เป็นเบาหวานแล้วน้ำตาลขึ้นสูง เด็กคลอดออกมาน้ำตาลต่ำ ตัวเหลือง<br />
เป็นต้นฯลฯ<br/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(255, 255, 0);">ปัญหาพัฒนาการช้า แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ</span><br/><br/> <strong><img alt="" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/1468318.gif" border="0" height="19" width="19"/></strong> <span style="font-weight: bold;">1. ระดับรุนแรงมาก</span> สังเกตได้จากพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว เช่น เด็กจะคว่ำช้า นั่งช้า เดินได้ช้า แสดงว่าค่อนข้างรุนแรง<br/><br/> <strong><img alt="" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/1468318.gif" border="0" height="19" width="19"/></strong> <span style="font-weight: bold;">2. ระดับปานกลาง</span>
การเคลื่อนไหวปกติ ยกศีรษะ คว่ำ นั่ง เดินได้ปกติ แต่การพูดจะช้า<br />
ซึ่งเห็นชัดในวัยหลังขวบปีแรก คือเดินได้แล้ว แต่ยังไม่พูด<br />
ยังไม่ค่อยมีสังคม ก็ถือว่ามีพัฒนาการล่าช้าระดับปานกลาง<br/><br/> <strong><img alt="" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/1468318.gif" border="0" height="19" width="19"/></strong> <span style="font-weight: bold;">3. ระดับน้อย</span> อาจ
จะไม่ค่อยแสดงอาการ การเคลื่อนไหวของร่างกายปกติ ภาษาปกติ สังคมปกติ<br />
แต่พอเข้าเรียนอนุบาลแล้วเรียนไม่ทันเพื่อน เรียนรู้ช้า<br />
ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ยังสบายใจได้ว่าเป็นปัญหาระดับน้อยเท่านั้นค่ะ<br/><br/> หาก
สังเกตเห็น หรือพาไปพบคุณหมอจนทราบแน่ชัดแล้วว่า<br />
ลูกมีปัญหาพัฒนาการด้านไหนล่าช้า คุณพ่อคุณแม่ก็กระตุ้นพัฒนาการด้านนั้น<br />
เช่น ถ้าลูกยังยกคอไม่ได้เลย จากที่เคยอุ้มแบบช้อนคอตลอด<br />
ก็อาจจะเปลี่ยนท่าอุ้มมาจับที่ไหล่แทน ให้คอของลูกได้ต้านแรงโน้มถ่วงบ้าง<br />
ถ้ามีปัญหาเรื่องภาษา เช่น<br />
ลูกทำแต่เสียงเอิ๊กอ๊ากโดยยังไม่มีคำพูดในวัยใกล้ขวบ<br />
คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเล่นเสียงกับลูก แล้วดึงเสียงออกมาเป็นคำพูด<br />
เป็นภาษาที่เราเข้าใจกัน เป็นต้น<br/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(255, 255, 0);">คิดบวกดีต่อพัฒนาการลูกอย่างไร</span><br/><br/> ทุก
ความคิดและทุกการกระทำของพ่อแม่มีผลต่อพัฒนาการของลูกค่ะ<br />
เนื่องจากวัยทารกเป็นวัยที่ต้องพึ่งพาพ่อแม่ในทุกๆ<br />
เรื่องรวมทั้งเรื่องพัฒนาการ เพราะพ่อแม่ถือเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งแวดล้อม<br />
ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะกระตุ้นให้ลูก มีพัฒนาการดีขึ้นหรือแย่ลง<br/><br/> หากพ่อแม่มีความคิดที่เป็นบวก มองโลกในแง่ดี วิธีปฏิบัติต่อลูกก็จะดีไปด้วย เช่น พูดกับลูกอ่อนหวาน นุ่มนวล <span style="font-weight: bold;">"หนาวไปไหมจ้ะคนดี" "ลูกพ่ออยากได้อะไรครับ"</span>
ปฏิบัติต่อลูกอย่างเอื้ออาทร<br />
เพราะวัยขวบปีแรกเป็นช่วงที่จะต้องสร้างพื้นฐานความไว้วางใจ<br />
ถ้าลูกได้รับการดูแลที่ดีพร้อมทั้งอาหารกายและอาหารใจ ได้ความรักความอบอุ่น<br />
ลูกจะมีความเชื่อมั่นไว้วางใจ รู้สึกว่าโลกนอกครรภ์มารดาน่าอยู่ สดใส<br />
อบอุ่น ปลอดภัย รู้สึกผูกพันกับผู้เลี้ยงดู รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า<br />
เป็นที่รัก อยากเติบโต อยากทำให้พ่อแม่พอใจ<br />
และอยากเปิดสมองเพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวค่ะ<br/><br/> <span style="color: rgb(0, 0, 255);">เมื่อ
ลูกเปรียบเสมือนของขวัญอันล้ำค่าสำหรับพ่อแม่<br />
ก็อย่าลืมเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้โลกใบนี้อย่างเต็มที่ ดูแลลูกให้ดี<br />
มีความสุข และสร้างสัมพันธภาพในครอบครัวให้แน่นแฟ้นด้วยความคิดเชิงบวกนะคะ</span><br/><br/>
3 โรคที่เด็กเมืองต้องเผชิญ (modernmom)
tag:go2pasa.ning.com,2010-09-01:2456660:BlogPost:393574
2010-09-01T19:05:43.000Z
YuhKha
https://go2pasa.ning.com/profile/YuhKha
<br></br> <span style="color: rgb(0, 0, 255);">ทุกวันนี้คนไทยมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไปจากเดิม
โดยเฉพาะในสังคมเมืองทำให้ส่งผลต่อการกินอยู่ กิจวัตรประจำวันที่อยู่อาศัย<br />
รวมไปถึงการเลี้ยงดูลูกด้วยปัจจัยหลายอย่างของคนในสังคม<br />
ไม่ว่าจะเป็นภาระหน้าที่การงาน ความรีบเร่ง<br />
รูปแบบการดูแลลูกจึงถูกปรับให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์พ่อแม่ในเมือง<br />
ซึ่งเสี่ยงต่อโรคเด็กเมืองบางโรค แต่เราหลีกเลี่ยงได้ค่ะ…</span><br style="color: rgb(0, 0, 255);"></br><br style="background-color: rgb(255, 255, 0);"></br>
<br/> <span style="color: rgb(0, 0, 255);">ทุกวันนี้คนไทยมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไปจากเดิม
โดยเฉพาะในสังคมเมืองทำให้ส่งผลต่อการกินอยู่ กิจวัตรประจำวันที่อยู่อาศัย<br />
รวมไปถึงการเลี้ยงดูลูกด้วยปัจจัยหลายอย่างของคนในสังคม<br />
ไม่ว่าจะเป็นภาระหน้าที่การงาน ความรีบเร่ง<br />
รูปแบบการดูแลลูกจึงถูกปรับให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์พ่อแม่ในเมือง<br />
ซึ่งเสี่ยงต่อโรคเด็กเมืองบางโรค แต่เราหลีกเลี่ยงได้ค่ะ</span><br style="color: rgb(0, 0, 255);"/><br style="background-color: rgb(255, 255, 0);"/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(255, 255, 0);">ความเสี่ยงที่มาพร้อมความเป็นเมือง</span><br style="font-weight: bold;"/><br/> ไม่ น่าเชื่อว่าการที่ลูกอยู่ในเมืองใหญ่นอกจากมีเทคโนโลยีต่าง ๆ
ที่ทันสมัยแล้ว ยังมีหลายปัจจัย<br />
ที่ทำให้เด็กอาศัยอยู่ในเมืองเสี่ยงต่อโรคบางอย่างด้วย<br />
ความเสี่ยงเหล่านั้นมาจาก...<br/><br/> <strong><img alt="" style="width: 13px; height: 12px;" src="http://img.kapook.com/image/icon/0882.gif" border="0" height="12" width="13"/></strong> <span style="font-weight: bold;">1. อยู่แต่ในบ้าน</span>
คุณพ่อคุณแม่ในเมืองมักไม่ค่อยได้พาลูกออกไปนอกบ้าน ทำกิจกรรมกลางแจ้ง<br />
สัมผัสธรรมชาติ หรือแสงแดด และอากาศที่บริสุทธิ์ อาจด้วยปัจจัยเรื่องเวลา<br />
ที่อยู่อาศัย และกลัวว่าลูกจะไม่ปลอดภัยเพราะออกไปรับเชื้อโรคมาจากนอกบ้าน<br/><br/> <strong><img alt="" style="width: 13px; height: 12px;" src="http://img.kapook.com/image/icon/0882.gif" border="0" height="12" width="13"/></strong> <span style="font-weight: bold;">2. ลักษณะที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไปจากเดิม</span>
จากบ้านที่มีลักษณะโล่งโปร่ง ลมพัดเข้าออกได้ดี ข้าวของไม่เยอะ<br />
แต่ปัจจุบันสภาพความเป็นอยู่แออัดมากขึ้น ประกอบกับภาวะโลกร้อน<br />
คนในเมืองนิยมติดเครื่องปรับอากาศ ปูพรม เลี้ยงสัตว์ในห้อง<br />
ไม่ค่อยเปิดหน้าต่างรับลม จึงทำให้ฝุ่นฟุ้งอยู่แต่ในบ้าน<br/><br/> <strong><img alt="" style="width: 13px; height: 12px;" src="http://img.kapook.com/image/icon/0882.gif" border="0" height="12" width="13"/></strong> <span style="font-weight: bold;">3. อาหารการกินเปลี่ยนไป</span> นิยมตามกระแสตะวันตกและอาหารจานด่วน เน้นเนื้อ นม ไข่ แต่กินผักผลไม้น้อย<br/><br/><span style="font-weight: bold; color: rgb(128, 0, 128);">3 ปัจจัยข้างต้นนี้ล้วนเป็นที่มาของโรคที่มาพร้อมกับเด็กเมือง</span><br style="font-weight: bold; color: rgb(128, 0, 128);"/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(255, 255, 0);">3 โรคฮิตของเด็กเมือง</span><br style="font-weight: bold;"/><br/> <strong><img alt="" style="width: 13px; height: 12px;" src="http://img.kapook.com/image/icon/0882.gif" border="0" height="12" width="13"/></strong> <span style="font-weight: bold;">1. โรคภูมิแพ้</span> เป็นโรคที่พบบ่อย และจากการสำรวจพบว่า
ผู้ป่วยโรคนี้เพิ่มสูงขึ้นมากและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ<br />
สาเหตุของโรคเกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้<br />
แล้วกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน<br />
และมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารนั้นมากผิดปกติ<br />
ต่อมาเมื่อได้รับการก่อภูมิแพ้เหล่านั้นอีก<br />
ก็จะกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ขึ้น<br />
ทั้งนี้จะเกิดอาการเฉพาะคนที่แพ้เท่านั้น<br/><br/> โรค
ภูมิแพ้เกิดจากปัจจัยทางกรรมพันธุ์ คือมักมีคนในครอบครัวที่เป็นโรคนี้ด้วย<br />
ร่วมกับปัจจัยกระตุ้นทางสิ่งแวดล้อม เช่น การสัมผัส ไรฝุ่น ละอองเกสร<br />
ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรือสารก่อภูมิแพ้อื่น ๆ อยู่เป็นประจำ<br />
ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้<br/><br/><span style="font-weight: bold; color: rgb(128, 0, 128);">อาการของโรคภูมิแพ้เกิดได้ในหลายระบบของร่างกาย ได้แก่</span><br/><br/> <img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-154.gif" border="0" height="13" width="13"/> <span style="font-weight: bold;">ตา</span> จะมีอาการคันตา ระคายเคือง แสบตา น้ำตาไหล อาจมีอาการหนังตาบวมได้<br/><br/> <img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-154.gif" border="0" height="13" width="13"/> <span style="font-weight: bold;">จมูก</span> จะมีอาการจาม คันจมูก น้ำมูกไหล คัดแน่นจมูกหายใจไม่สะดวก<br/><br/> <img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-154.gif" border="0" height="13" width="13"/> <span style="font-weight: bold;">หลอดลมหรือโรคหืด</span> จะมีอาการหอบเหนื่อย แน่นหน้าอกหายใจลำบาก มีเสียงวิ้ด หรือไอมากโดยเฉพาะตอนกลางคืน เช้ามืด หลังออกกำลังกาย หรือขณะเป็นหวัด<br/><br/> <img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-154.gif" border="0" height="13" width="13"/> <span style="font-weight: bold;">ผิวหนัง</span>
จะมีอาการคันตามตัว มีผื่นตามตัว<br />
มักมีผิวแห้งในเด็กเล็กมักมีผื่นแดงคันที่แก้ม ข้อศอก หัวเข่า<br />
ในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ มักพบผื่นตามข้อพับ อาจมีน้ำเยิ้มร่วมกับผื่นด้วย<br />
ในบางรายที่เป็นมานาน ๆ อาจพบผิวหนังบริเวณนั้นหนาตัวและมีสีคล้ำขึ้นได้<br/><br/> <img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-154.gif" border="0" height="13" width="13"/> <span style="font-weight: bold;">ระบบทางเดินอาหาร</span>
จะมีอาการอาเจียน ถ่ายเหลว ปวดท้อง สำหรับการแพ้อาหารนั้น<br />
อาจพบอาการทางระบบอื่นได้ด้วย เช่น อาจพบมีผื่นลมพิษ ปากบวม<br />
หรือมีอาการหอบเหนื่อย ครืดคราดได้ อาหารที่เป็นสาเหตุได้บ่อย ได้แก่ นมวัว<br />
ไข่ ถั่ว อาหารทะเล และสารปรุงแต่งอาหารบางชนิด<br/><br/> สำหรับ
ผู้ป่วยเด็ก ส่วนมากอาจได้ประวัติการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ไม่ชัดเจน<br />
แต่ให้สงสัยรายที่มีอาการหวัดบ่อย ๆ เป็นหวัดเรื้อรังไม่หายหรือหายช้า<br />
หอบเหนื่อยต้องพ่นยาบ่อย ๆ รวมทั้งถ้ามีประวัติครอบครัวร่วมด้วย<br />
ก็น่าสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้มากขึ้น<br/><br/> <span style="color: rgb(0, 0, 128);">อย่าง
ไรก็ตามในเด็กเล็กที่เพิ่งเข้าโรงเรียน<br />
เลี้ยงในเนอร์สเซอรี่หรืออยู่ในที่ที่มีเด็กมาก ๆ<br />
ก็อาจเป็นหวัดบ่อยได้โดยที่ไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ได้เหมือนกันค่ะ<br />
อาการของโรคถ้าเป็นมาก อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของลูกได้</span><br style="color: rgb(0, 0, 128);"/><br/> <strong><img alt="" style="width: 13px; height: 12px;" src="http://img.kapook.com/image/icon/0882.gif" border="0" height="12" width="13"/></strong> <span style="font-weight: bold;">2. โรคหวัด</span> เป็นโรคติดต่อจากการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจส่วนบน (จมูกและคอ)
จะมีอาการจาม คัดจมูกเยื่อจมูกบวมแดง<br />
มีน้ำมูกมากกว่าปกติและมักจะมีไข้ร่วมด้วย อาจมีอาการเจ็บคอ คอแหบแห้ง<br />
หรือไอมีเสมหะ นอกจากนี้จะมีอาการปวดศีรษะและเหนื่อยง่าย<br />
ไข้หวัดมักจะมีระยะโรคอยู่ที่ประมาณ 3-5 วัน<br />
มีเพียงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเท่านั้น<br />
ที่สามารถทำลายเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
ซึ่งกระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันนั้นจะใช้เวลาประมาณ 7<br />
วันในคนที่มีสุขภาพแข็งแรง การรับประทานยาต่าง ๆ เช่น ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก<br />
ยาขับเสมหะ เป็นเพียงการช่วยบรรเทาอาการของโรคหวัดเท่านั้น ส่วนวิธีป้องกัน<br />
หวัดที่ดีที่สุด<br />
คือการหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยและด้วยการล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ<br/><br/> <span style="font-weight: bold; background-color: rgb(0, 255, 255);">More Info :</span> <span style="font-weight: bold;">บางครั้งคุณพ่อคุณแม่อาจจะสงสัยว่า ลูกเป็นหวัดคัดจมูกหรือภูมิแพ้กันแน่ วิธีสังเกตง่าย ๆ ก็คือ</span> โรค
ไข้หวัดมักจะมีไข้ร่วมด้วย และมักจะเป็นระยะสั้น ๆ 3-5 วัน ก็จะหายไป<br />
ไม่ค่อยเป็นซ้ำกัน ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ<br />
ส่วนภูมแพ้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ<br />
แต่เกิดจากสารที่เด็กแพ้เข้ามามีปฏิกิริยากับเซลล์ในร่างกาย<br />
ทำให้มีการหลั่งสารเคมี บางอย่างออกมา มีไข้ร่วมด้วย และเกิดซ้ำได้บ่อย ๆ<br />
ในช่วงเวลาที่สั้น ๆ<br/><br/> <strong><img alt="" style="width: 13px; height: 12px;" src="http://img.kapook.com/image/icon/0882.gif" border="0" height="12" width="13"/></strong> <span style="font-weight: bold;">3. โรคอ้วน</span>
เด็กตามเมืองใหญ่มักกินอาหารมากเกินไป โดยเฉพาะเนื้อ นม ไข่ ของขบเคี้ยว<br />
อาหารฟาสต์ฟู้ด น้ำอัดลม แต่กินผักผลไม้น้อย<br />
และไม่ค่อยออกกำลังกายจนน้ำหนักเกินเกณฑ์และเป็นโรคอ้วน<br />
ปัจจุบันพบได้ประมาณร้อยละ 10 ของเด็กในกรุงเทพ<br />
ส่วนหนึ่งของปัญหานี้เกิดจากการขาดการดูแลที่ดีจากคุณพ่อคุณแม่<br />
หรือเกิดจากความเข้าใจผิดว่า เด็กอ้วนคือเด็กมีสุขภาพดี<br />
ทั้งที่เด็กอ้วนมักมีปัญหาสุขภาพตามมา ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง<br />
ระดับไขมันในเลือดผิดปกติ นอนกรน หยุดหายใจขณะนอนหลับ ภาวะกระดูกโก่งงอ<br />
หรือเสื่อมเร็วกว่าปกติ โรคอ้วนยังนำไปสู่สภาวะบกพร่องทางจิตใจ เช่น<br />
ไม่มั่นใจในตนเอง ถูกเพื่อนล้อ เป็นต้น<br/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(255, 255, 0);">เข้าถึงธรรมชาติ เข้าถึงสุขภาพที่ดี</span><br/><br/> <span style="font-weight: bold;">ทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่ปรับชีวิตความเป็นอยู่ให้เข้าถึงธรรมชาติมากขึ้น ลดการปรุงแต่งในด้านต่าง ๆ ลงดังนี้</span><br/><br/> <span style="color: rgb(128, 0, 0);"><img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" border="0" height="15" width="15"/></span><span style="font-weight: bold; color: rgb(128, 0, 0);">อาหาร</span> <span style="font-weight: bold;">"You are what you eat"</span>
หากเรากินสิ่งดีมีประโยชน์ ก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรง<br />
แต่หากเรากินสิ่งที่ไร้ประโยชน์หรือทำให้เกิดโทษ ก็จะเกิดโรคตามมา<br />
ดังนั้นควรสร้างพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้องคือ<br />
ควรกินอาหารที่มีสารอาหารครบทุกประเภท ทั้งที่ให้พลังงานได้แก่<br />
คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันในสัดส่วนที่เหมาะสม<br />
รวมทั้งวิตามินและเกลือแร่จากผักผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด<br />
และสร้างพฤติกรรมการขับถ่ายที่ดีด้วย<br/><br/> <span style="color: rgb(128, 0, 0);"><img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" border="0" height="15" width="15"/></span><span style="font-weight: bold; color: rgb(128, 0, 0);">อากาศ</span>
อากาศที่บริสุทธิ์ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ได้<br />
การที่คุณพ่อคุณแม่พาลูกออกมาเล่นหรือทำกิจกรรมนอกบ้าน เช่น<br />
สนามหน้าบ้านหรือสวนสาธารณะบ้าง ไม่อยู่แต่ในบ้าน<br />
หรือห้างสรรพสินค้าที่มีคนพลุกพล่าน ระบบการระบายอากาศที่ดี<br />
จะทำให้ลูกรวมทั้งคุณพ่อคุณแม่เองมีสุขภาพที่ดีขึ้น<br />
นอกจากนั้นยังทำให้จิตใจปลอดโปร่งอีกด้วย<br/><br/> <span style="color: rgb(128, 0, 0);"><img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" border="0" height="15" width="15"/></span><span style="font-weight: bold; color: rgb(128, 0, 0);">ออกกำลังกาย</span> อย่าง
สม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง<br />
ปัจจุบันพบว่าเด็กมีกิจกรรมที่ต้องออกกำลังกายน้อยลง มักอยู่แต่ในบ้าน<br />
ซึ่งอาจไม่อำนวยต่อการออกกำลังกาย โดยรูปแบบอาจเป็นการวิ่งเล่น<br />
หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ กับคุณพ่อคุณแม่ หรือกับเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน<br />
นอกจากจะได้สุขภาพที่ดี มีภูมิต้านทานมากขึ้นแล้ว<br />
ยังเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสังคมแก่ลูกด้วย<br/><br/> <span style="color: rgb(128, 0, 0);"><img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" border="0" height="15" width="15"/></span><span style="font-weight: bold; color: rgb(128, 0, 0);">อารมณ์</span>
พยายามรักษาบรรยากาศของครอบครัวไม่ให้อยู่ในภาวะเครียด<br />
หากิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ ทำร่วมกัน แบ่งเวลางาน<br />
และเวลาของครอบครัวออกจากกัน<br />
เพราะอารมณ์ที่ดีจะช่วยลดภาวะการเป็นโรคภูมิแพ้แล้ว<br />
ยังลดอัตราการเป็นโรคอื่น ๆ ด้วย<br/><br/> <span style="color: rgb(128, 0, 0);"><img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" border="0" height="15" width="15"/></span><span style="font-weight: bold; color: rgb(128, 0, 0);">ที่อยู่อาศัย</span> ควรจัดให้มีลักษณะโปร่ง โล่ง สบาย มีอากาศถ่ายเทที่ดี ไม่แออัด ทำความสะอาดบ่อย ๆ มีการกำจัดขยะและของเสีย<br/><br/> <span style="color: rgb(128, 0, 0);"><img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" border="0" height="15" width="15"/></span><span style="font-weight: bold; color: rgb(128, 0, 0);">การพักผ่อน</span>
ที่เพียงพอเป็นสิ่งที่สำคัญมาก<br />
คนเราใช้เวลาถึงประมาณหนึ่งในสามของชีวิตในการพักผ่อน โดยการนอนที่เพียงพอ<br />
อาจไม่ได้เฉพาะเจาะจงที่จำนวนชั่วโมงต่อวัน<br />
แต่หมายถึงการนอนที่มีคุณภาพมากกว่า ดังนั้นควรจัดบรรยากาศของการนอนที่ดี<br />
ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียดหรือกังวล การออกกำลังกาย หรือการเปิดเพลงเบา ๆ<br />
ก่อนนอนอาจช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น<br/><br/> <span style="font-weight: bold;">คุณพ่อคุณแม่คงเห็นแล้วว่า การมีพฤติกรรมการดำเนินชีวิตแบบคนเมืองเช่นนี้ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้หลายโรค</span>
ซึ่งวิธีการป้องกันหรือหลีกเลี่ยงโรค หรือภาวะต่าง ๆ เหล่านี้<br />
สามารถทำได้ง่าย ๆ แค่เราหันมาใช้ชีวิตแบบอิงธรรมชาติมากขึ้น<br />
ให้เวลากับการดูแลสุขภาพของตนเองรวมทั้งลูกที่เรารัก ก็จะทำให้มีสุขภาพดี<br />
ปราศจากโรคต่าง ๆ เหล่านี้ได้ค่ะ
ตัดผมลูกวัยซนใช่เรื่องยาก (modernmom)
tag:go2pasa.ning.com,2010-08-21:2456660:BlogPost:378453
2010-08-21T19:17:15.000Z
YuhKha
https://go2pasa.ning.com/profile/YuhKha
<span style="font-weight: bold;">ตัดผมลูกวัยซนใช่เรื่องยาก</span> <span style="font-weight: bold;">(modernmom)</span><br></br><br></br> <span style="color: rgb(0, 0, 255);">
ใครเคยตัดผมให้ลูกคงทราบดีว่าแสนลำบากขนาดไหน<br />
คุณพ่อคุณแม่บางคนตัดปัญหาด้วยการพาลูกน้อยไปตัดที่ร้านตัดผมเด็ก<br />
แต่ถ้าไม่มีเวลาจริง ๆ วันนี้เรามีขั้นตอนการตัดผมให้ลูกน้อยมาฝากกันครับ</span><br></br><br></br> <strong><img alt="" border="0" height="10" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/cursor.gif" width="10"></img></strong> <span style="font-weight: bold;">เตรียมของเล่น</span>
ช่วยดึงดูดความสนใจของลูกน้อย…
<span style="font-weight: bold;">ตัดผมลูกวัยซนใช่เรื่องยาก</span> <span style="font-weight: bold;">(modernmom)</span><br/><br/> <span style="color: rgb(0, 0, 255);">
ใครเคยตัดผมให้ลูกคงทราบดีว่าแสนลำบากขนาดไหน<br />
คุณพ่อคุณแม่บางคนตัดปัญหาด้วยการพาลูกน้อยไปตัดที่ร้านตัดผมเด็ก<br />
แต่ถ้าไม่มีเวลาจริง ๆ วันนี้เรามีขั้นตอนการตัดผมให้ลูกน้อยมาฝากกันครับ</span><br/><br/> <strong><img alt="" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/cursor.gif" width="10" border="0" height="10"/></strong> <span style="font-weight: bold;">เตรียมของเล่น</span>
ช่วยดึงดูดความสนใจของลูกน้อย อาจเป็นของเล่นหรือนิทานเรื่องโปรด<br />
พยายามอย่าเลือกตุ๊กตาหรือของเล่นที่เป็นขน<br />
เพราะเศษผมที่ตัดอาจจะติดได้ง่าย<br/><br/> <strong><img alt="" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/cursor.gif" width="10" border="0" height="10"/></strong> <span style="font-weight: bold;">ทำหัวให้เปียก</span> แต่เปียกพอดีนะครับ ไม่ต้องเปียกมาก แล้วใช้หวีจับแยกเป็นช่อ ด้านหลัง ด้านข้าง และด้านบน<br/><br/> <strong><img alt="" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/cursor.gif" width="10" border="0" height="10"/></strong> <span style="font-weight: bold;">ใครตัดใครเล่น</span>
แบ่งหน้าที่กันให้ดี แนะนำว่าสังเกตดูว่าปกติลูกติดใครมากกว่ากัน<br />
แต่ถ้าลูกร้องตั้งแต่ยังไม่ตัด ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน หลอกล่อ<br />
หรือพูดให้กำลังใจลูกสักพัก ดูท่าทีว่าดีขึ้นแล้วค่อยตัดก็ได้<br/><br/> <strong><img alt="" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/dookdik/cursor.gif" width="10" border="0" height="10"/></strong> <span style="font-weight: bold;">ลงมือตัด</span>
อาจจะเริ่มตัดจากด้านหน้าก่อน เพราะช่วงที่ลูกยังนิ่ง จะตัดได้ง่ายที่สุด<br />
แล้วค่อยตัดด้านข้าง ด้านหลัง ตามลำดับ ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อยครับ<br/><br/> <span style="color: rgb(128, 0, 128);"><span style="font-weight: bold;">เทคนิค
ที่จะช่วยให้ผมลูกน้อยตัด และจัดทรงง่ายยิ่งขึ้น<br />
คุณแม่ลองใช้แชมพูสระผมสูตรสำหรับเด็กโดยเฉพาะ<br />
ที่ผสมน้ำผึ้งและจมูกข้าวสาลีดูสิครับ</span> เพราะแชมพูประเภทนี้จะมีความบริสุทธิ์จากธรรมชาติ ทั้งยังช่วยให้ผมลูกน้อยไม่พันกัน และจัดทรงได้สวยเก๋ยิ่งขึ้น</span><br style="color: rgb(128, 0, 128);"/>
Welcome Two's
tag:go2pasa.ning.com,2010-08-14:2456660:BlogPost:368497
2010-08-14T08:09:49.000Z
YuhKha
https://go2pasa.ning.com/profile/YuhKha
เนื่องจากเมื่อลูกชายแสนน่ารักของแม่แปลงร่างเป็นวายร้ายตัวน้อยเมื่ออายุย่างเข้าสองขวบ แม่จึงต้องหาวิธีจัดการสักหน่อย แล้วก็ได้เจอหนังสืออยู่สองสามเล่ม ที่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่จะให้เจ้าตัวเล็กซนน้อยลงสักนิด เลยเอามาเผื่อแม่ๆที่ประสบปัญหาเดียวกัน อีกเหตุผลนึงคือกำลังจะเตรียมเค้าไปโรงเรียน<br></br><br></br>หนังสือเล่มนี้จะบอกว่าเด็กวัยสองขวบโดยธรรมชาติแล้วเค้าเป็นไง ก็จะมีตัวอย่างตารางเวลาที่ควรจัดให้เค้ามาให้ มีเรื่องที่ควรสอนมาให้…
เนื่องจากเมื่อลูกชายแสนน่ารักของแม่แปลงร่างเป็นวายร้ายตัวน้อยเมื่ออายุย่างเข้าสองขวบ แม่จึงต้องหาวิธีจัดการสักหน่อย แล้วก็ได้เจอหนังสืออยู่สองสามเล่ม ที่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่จะให้เจ้าตัวเล็กซนน้อยลงสักนิด เลยเอามาเผื่อแม่ๆที่ประสบปัญหาเดียวกัน อีกเหตุผลนึงคือกำลังจะเตรียมเค้าไปโรงเรียน<br/><br/>หนังสือเล่มนี้จะบอกว่าเด็กวัยสองขวบโดยธรรมชาติแล้วเค้าเป็นไง ก็จะมีตัวอย่างตารางเวลาที่ควรจัดให้เค้ามาให้ มีเรื่องที่ควรสอนมาให้ ก็เอาลองมาปรับแล้วได้ตารางเวลาของเชนออกมาประมาณนี้<br/><br/>ตารางเวลาของเชน<br/>06:00 breakfast<br/>free play<br/>09:00 morning break<br/>theme<br/>11:00 lunch<br/>take a nap<br/>14:00 afternoon break<br/>15:00 exercise at the park<br/>17:00 dinner<br/>PohTee Math & Story time<br/>20:00 bedtime<br/><br/>แต่ถ้าวันไหนไปบ้านอาม่าก็เป็นวันสบายๆของเด็กไป<br/><br/>ส่วนเรื่องThemeเค้าก็แนะนำมาพอสมควร และก็มีหนังสืออีกสองเล่มที่แนะนำTheme สำหรับเด็กสองขวบมาค่อนข้างดีเหมือนกัน แต่มีเป็นpdfเล่มเดียว เลยแชร์ได้แค่เล่มเดียว เล่มที่แชร์ไม่ได้ชื่อ Early Childhood Experiences in Language Arts/Jeanne M. Machado เค้าพูดถึงเด็กBiliguageด้วย เผื่อคุณแม่จะไปหาอ่านกัน<br/><br/>ส่วนตัวทดลองกับลูกชายมา8อาทิตย์แล้วก็ดีนะคะ อย่างน้อยเค้าก็มีอะไรทำ แล้วก็ได้สอนไปในตัว อีกอย่างเค้าชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ก็ได้อ่านเป็นเรื่องเป็นราวหน่อย ได้จัดห้องบ่อยๆ (แบบว่าเป็นแม่บ้านว่างง่ะ) ได้แย่งของเล่นกับลูก สนุกดี <br/><br/>ตอนนี้กำลังตามหา Between Parent and Childอยู่ ถ้าได้แล้วจะเอามาแชร์นะคะ<br/>
พัฒนาการไม่ดี...ถ้าเบบี้เครียด (รักลูก)
tag:go2pasa.ning.com,2010-08-14:2456660:BlogPost:369120
2010-08-14T06:08:42.000Z
YuhKha
https://go2pasa.ning.com/profile/YuhKha
<span style="font-weight: bold;">พัฒนาการไม่ดี...ถ้าเบบี้เครียด</span> <span style="font-weight: bold;">(รักลูก)</span><br></br>โดย: เพียงขวัญ<br></br><br></br> <span style="color: rgb(128, 0, 128);">
ความเครียด...ไม่เพียงทำร้ายสุขภาพกายและใจพ่อแม่อย่างเราๆ เท่านั้นนะคะ<br />
แต่ยังส่งผลร้ายต่อพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยได้อีกด้วย</span><br></br><br></br><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(0, 255, 255);">เบบี้ก็เครียดเป็นนะ…</span><br></br><br></br>
<span style="font-weight: bold;">พัฒนาการไม่ดี...ถ้าเบบี้เครียด</span> <span style="font-weight: bold;">(รักลูก)</span><br/>โดย: เพียงขวัญ<br/><br/> <span style="color: rgb(128, 0, 128);">
ความเครียด...ไม่เพียงทำร้ายสุขภาพกายและใจพ่อแม่อย่างเราๆ เท่านั้นนะคะ<br />
แต่ยังส่งผลร้ายต่อพัฒนาการของเจ้าตัวน้อยได้อีกด้วย</span><br/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(0, 255, 255);">เบบี้ก็เครียดเป็นนะ</span><br/><br/> เบ
บี้เกิดความเครียดได้ตั้งแต่ยังอยู่ในท้องของคุณแม่<br />
เพราะช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์อาจรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน<br />
เพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เมื่อแม่เครียด<br />
ลูกก็จะได้รับความเครียดไปด้วยค่ะ<br/><br/> <span style="font-weight: bold;">หลังจากลืมตาดูโลก ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เจ้าตัวเล็กวัยขวบแรก เกิดอาการเครียดได้ เช่น</span><br/> <br/> <img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-154.gif" width="13" border="0" height="13"/> <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 0, 255);">ปรับตัวไม่ทัน</span> จากที่เคยอยู่ในท้องอันอบอุ่นของแม่ เจ้าตัวเล็กต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ที่ไม่คุ้นเคย<br/><br/> <img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-154.gif" width="13" border="0" height="13"/> <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 0, 255);">เจ็บป่วย</span> ลูกวัยเบบี้ยังมีภูมิต้านทานน้อยและเจ็บป่วยได้ง่าย และความไม่สบายเนื้อตัวนี่เองค่ะที่ลูทำให้ลูกเครียดได้<br/><br/> <img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-154.gif" width="13" border="0" height="13"/> <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 0, 255);">ได้รับการตอบสนองไม่ตรงตามความต้องการ</span> เช่น ลูกร้องไห้เพราะหิว แต่พ่อแม่ไม่รู้ว่าลูกหิว หรือบางครั้งร้องเพราะว่าเปียกแฉะแต่แม่ให้ลูกกินนม<br/><br/> <img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-154.gif" width="13" border="0" height="13"/> <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 0, 255);">ไม่ได้ได้รับการตอบสนอง</span> หรือได้รับการตอบสนองน้อยเกินไป เช่น ปล่อยให้ลูกหิว ปล่อยให้นอนอยู่ทั้งวันโดยไม่มีใครสนใจ หรือไม่ได้รับการกระตุ้นเลย<br/><br/> <img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-154.gif" width="13" border="0" height="13"/> <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 0, 255);">ได้รับการกระตุ้นมากเกินไป</span>
หรือมีสิ่งเร้ารอบๆ ตัวลูกมากเกินไป เช่น บางครอบครัวต้องการให้ลูกเก่ง<br />
อยากให้ลูกมีพัฒนาการดีก็กระตุ้นลูกมากเกินไป<br />
หรืออาจเกิดจากการที่มีญาติและคนอื่นๆ มารุมเล่น อุ้ม กอดลูกมากเกินไป<br/><br/> <img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-154.gif" width="13" border="0" height="13"/> <span style="font-weight: bold; color: rgb(0, 0, 255);">เครียดเพราะพ่อแม่เครียด</span>
เด็กในขวบปีแรกต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ในทุก ๆ เรื่อง<br />
ทำให้บางครั้งพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงเกิดความเครียด<br />
หรือพ่อแม่อาจเครียดจากเรื่องอื่น แม้จะเป็นเพียงเด็กแบเบาะ<br />
แต่ลูกก็สามารถรับรู้ถึงความเครียดของพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู<br />
ผ่านทางการสัมผัสเวลาที่ถูกอุ้ม รวมทั้งสีหน้าท่าทาง น้ำเสียง<br />
การเต้นของชีพจร ซึ่งจะแตกต่างไปจากเวลาที่ไม่เครียดค่ะ<br/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(0, 255, 255);">อาการนี้...เบบี้กำลังเครียด</span><br/><br/> <span style="color: rgb(128, 0, 0);"><img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" width="15" border="0" height="15"/></span><span style="font-weight: bold;">ดูดนมน้อยลง</span> เมื่อลูกเครียด ลูกจะดูดนมได้น้อยลงกว่าปกติ แหวะนม และน้ำหนักลด<br/><br style="font-weight: bold;"/><span style="color: rgb(128, 0, 0);"><img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" width="15" border="0" height="15"/></span><span style="font-weight: bold;">ส่งเสียงร้อง</span> เสียงร้องของลูกเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องสังเกตให้ดี เช่น ลูกร้องเพราะหิว
ร้องเพราะเปียกแฉะ ร้องเพราะปวดท้อง ซึ่งจะมีความแตกต่างกันค่ะ<br/><br style="font-weight: bold;"/><span style="font-weight: bold;">พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูจึงต้องมีความไวต่อสัญญาณที่เด็กสื่อสาร เนื่องจากเขาไม่สามารถบอกได้เลยว่าต้องการอะไร</span><br/><br style="font-weight: bold;"/><span style="color: rgb(128, 0, 0);"><img src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" width="15" border="0" height="15"/></span><span style="font-weight: bold;">แสดงท่าทางปฏิเสธ</span> เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกรู้สึกเหนื่อย ไม่พร้อม หรือรู้สึกล้า
เขาจะเกิดความเครียด โดยแสดงท่าทางปฏิเสธ เช่น เมินหน้าหนี ไม่สนใจ<br />
ไม่เล่นด้วย ร้องงอแง หรือแสดงท่าทางให้รู้ว่าไม่ต้องการแล้ว ขยับไปทางอื่น<br />
เพื่อจะบอกพ่อแม่เป็นนัยๆ ว่าหนูเริ่มไม่ต้องการแล้ว<br />
หนูเริ่มเครียดเกินไปแล้ว<br/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(0, 255, 255);">เครียด...ทำร้ายพัฒนาการลูก</span><br style="font-weight: bold; background-color: rgb(0, 255, 255);"/><br/> ความ เครียดสามารถส่งผลต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกน้อยได้ค่ะ โดยมีการศึกษาจาก
Erasmus Medical Center ประเทศเนเธอร์แลนด์<br />
พบว่าทารกที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่เครียด<br />
อาจมีความเกี่ยวข้องกับอาการโคลิก มากกว่าเด็กที่พ่อแม่ไม่เครียดมากกว่าถึง<br />
1 เท่าตัว<br/><br/> นอก
จากนั้น ยังมีการศึกษาอื่น ๆ พบว่<br />
าเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่เครียด มีแนวโน้มที่จะเครียดในอนาคต<br />
ซึ่งจะส่งผลต่อพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย การเรียนรู้<br />
และการเข้าสังคมต่อไปในอนาคตอีกด้วยค่ะ<br/><br/> เพราะ
เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่เครียด<br />
จะได้รับการหล่อหลอมพฤติกรรมและความคิด ความรู้สึกต่อเรื่องต่าง ๆ<br />
รวมทั้งความรู้สึกเครียด ซึ่งจะมีผลต่อตัวเขาเองในระยะยาว<br />
ทำให้มีโอกาสจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่เครียด<br />
และผลของการเรียนรู้ก็จะน้อยกว่าเด็กที่ไม่เครียดค่ะ<br/><br/> ใน
ช่วงขวบปีแรกซึ่งพ่อแม่จะอยู่ใกล้ชิดลูกมากที่สุด<br />
ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ต้องสร้างความผูกพันต่อกันและกัน<br />
ซึ่งความผูกพันที่เหมาะสมและมั่นคงในขวบปีแรก<br />
จะเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์กับผู้อื่น และการเข้าสังคมต่อไปในอนาคต<br />
ไม่ว่าจะเป็นสังคมที่โรงเรียน หรือสังคมในที่ทำงาน<br/><br/><span style="font-weight: bold; background-color: rgb(0, 255, 255);">เลี้ยงอย่างไรไม่ให้เบบี้เครียด</span><br style="font-weight: bold; background-color: rgb(0, 255, 255);"/><br/> ก่อน อื่นคุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตดูว่าลูกเครียดจากสาเหตุอะไร
แล้วแก้ไขตามสาเหตุนั้น<br />
คือตอบสนองให้เหมาะสมและมีความพอดีต่อความต้องการของลูก ไม่มากไป ไม่น้อยไป<br />
ทั้งทางด้านร่างกาย ความสัมพันธ์ รวมทั้งการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านต่าง ๆ<br/><br/> พ่อ
แม่ต้องเดินทางสายกลางค่ะ ถ้าสิ่งที่ทำมากไปจนลูกเครียดก็ต้องถอยออกมา<br />
ถ้าน้อยไปก็ต้องเพิ่มให้เหมาะสม<br />
ซึ่งวิธีสังเกตว่าตรงไหนถึงจะเหมาะสมก็ต้องดูที่ตัวลูกเป็นหลัก<br />
รวมทั้งดูบริบทของครอบครัวด้วย<br/><br/> โดย
เกณฑ์ที่เหมาะสมที่สามารถสังเกตได้ คือลูกมีความสุขดี<br />
มีการเจริญเติบโตที่เหมาะสม มีพัฒนาการที่สมวัย<br />
มีความสุขกับทุกวินาทีของเขา<br />
ซึ่งเป็นสิ่งที่พอจะบอกได้ว่าเด็กไม่เครียดและมีความสุขค่ะ<br/><br/> <span style="font-weight: bold;">อย่าปล่อยให้ความเครียดมาทำร้ายอารมณ์อันสดใส ร่างกายที่แข็งแรง พัฒนาการที่ดีและสมวัยของลูกน้อยนะคะ</span>
แม่หนอนหนังสือ
tag:go2pasa.ning.com,2010-05-31:2456660:BlogPost:278038
2010-05-31T04:21:02.000Z
YuhKha
https://go2pasa.ning.com/profile/YuhKha
เศร้าใจชั้นหนังสือโดนปลวกกิน แถมมีมดเข้าไปทำรังในหนังสืออีก สรุปสามีเอาหนังสือที่เราเก็บไว้ไปทิ้งหมดเลย แถมพาลมาว่าชั้นของลูกชายอีก ใครไม่รักหนังสือไม่เข้าใจหลอก เอาไปส่งต่อห้องshoppingดีกว่า อย่างน้อยก็คนรักหนังสือเหมือนกัน แต่ขอนอนกอดอีกคืนนะ<br/>
เศร้าใจชั้นหนังสือโดนปลวกกิน แถมมีมดเข้าไปทำรังในหนังสืออีก สรุปสามีเอาหนังสือที่เราเก็บไว้ไปทิ้งหมดเลย แถมพาลมาว่าชั้นของลูกชายอีก ใครไม่รักหนังสือไม่เข้าใจหลอก เอาไปส่งต่อห้องshoppingดีกว่า อย่างน้อยก็คนรักหนังสือเหมือนกัน แต่ขอนอนกอดอีกคืนนะ<br/>
มันมาแล้ว terrible 2
tag:go2pasa.ning.com,2010-05-17:2456660:BlogPost:266314
2010-05-17T03:18:05.000Z
YuhKha
https://go2pasa.ning.com/profile/YuhKha
เหตุเกิดสดๆร้อนๆเมื่อเช้านี้เอง <br></br><br></br>เด็กน้อยกำลังปีนสตูล แม่ก็บอกว่า " be careful, don't hurt your self" เด็กน้อยหันมาตามเสียง ยิ้มหวานใส่แล้วปีนต่อ ไม่นานระหว่างที่เด็กน้อยกำลังหมุนตัวจัดท่าทางบนสตูล เค้าก็หล่นลงมาหัวโขกพื้น พร้อมเสียงร้องให้จ้า แม่เองก็สุดแสนจะโมโห ก็บอกแล้วให้ระวัง แต่ก็สงสารเพราะเค้าเองก็คงจะเจ็บเอาการ เลยข่มความรู้สึกตัวเองไม่พูดอะไรให้ลูกเสียใจไปมากกว่านี้ แล้วก็ปลอบกันไป พอลูกชายสุดที่รักเงียบ แม่ก็จัดแจงเตรียมอาหาร แล้วก็ปล่อยจอมซนวิ่งเล่นตามประสาต่อไป…
เหตุเกิดสดๆร้อนๆเมื่อเช้านี้เอง <br/><br/>เด็กน้อยกำลังปีนสตูล แม่ก็บอกว่า " be careful, don't hurt your self" เด็กน้อยหันมาตามเสียง ยิ้มหวานใส่แล้วปีนต่อ ไม่นานระหว่างที่เด็กน้อยกำลังหมุนตัวจัดท่าทางบนสตูล เค้าก็หล่นลงมาหัวโขกพื้น พร้อมเสียงร้องให้จ้า แม่เองก็สุดแสนจะโมโห ก็บอกแล้วให้ระวัง แต่ก็สงสารเพราะเค้าเองก็คงจะเจ็บเอาการ เลยข่มความรู้สึกตัวเองไม่พูดอะไรให้ลูกเสียใจไปมากกว่านี้ แล้วก็ปลอบกันไป พอลูกชายสุดที่รักเงียบ แม่ก็จัดแจงเตรียมอาหาร แล้วก็ปล่อยจอมซนวิ่งเล่นตามประสาต่อไป จนอาหารเสร็จ ก็เรียกเค้ามาทานอาหารเช้า "honey, breakfast is ready" เจ้าตัวแสบรีบปีนขึ้นเก้าอี้ ขณะนั้นเองแม่ก็พบว่าถ้วยcornflake หายไปจากโต๊ะอาหาร ก็เลยบอกลูกว่า "I'll go get the cornflake. Sit down and wait, ok? The milk is hot, be careful!!! เพียงแค่หันหลัง คุณลูกชายก็คว้าแก้วนมมาดื่ม แล้วก็สำลักนมเพราะความร้อน ก็เปลี่ยนเสื้อกันไป เอาล่ะรีบๆจัดการเอาcornflakeมาปิดบัญชีอาหารเช้าเสียเถิด แล้วแม่ก็กลับมาพร้อมcornflake และก็พบว่าเจ้าลูกชายกำลังเดนซ์เพลงโปรดอยู่บนhigh chairพร้อมstep หมุนตัว โอ้!แม่เจ้า โมโหมากถึงมากที่สุด ฉวยเด็กน้อยลงมาจากhigh chairด่วน แล้วกระหน่ำด่าลูกด้วยความโกรธ (ภาษาไทยแล้ว เวลาโกรธ ดิกส่วนตัวไม่ทำงาน) " เนี๊ยะ! เพิ่งหล่นลงมาไม่เจ็บเหรอ จะต้องให้หัวล้างข้างแตกรึไง ถึงจะพอใจ, ไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว" เจ้าตัวเล็กร้องจ้าทันที นาทีนั้นสติเกิด time outตัวเองทันใด เด็กน้อยก็รู้งาน ไม่มากวนใจ ไปเล่นคนเดียว แต่เดินมาดูเป็นระยะ พอเห็นแม่มันโอเคแล้ว เค้าก็มานั่งใกล้ๆ ให้แม่ขอโทษ แม่ก็ต้องขอโทษตามระเบียบ " I am sorry. I get mad at you. It's because I don't want you to get hurt. (แล้วก็เอานิ้วไปกดหัวโนเค้า) This is hurt. I don't want you to get hurt but I still love you. Be careful next time, ok?" แล้วเด็กน้อยก็บอกว่า"ok" พร้อมกับเข้ามากอดคอแล้วหอมแก้มแล้วบอกว่า" I love you" แม่มันน้ำตาซึมเลย<br/><br/>แล้วกว่าจะโตเนี๊ยะ แม่มันจะเป็นบ้าไปก่อนไหม <br/>
หนังสือของลูก
tag:go2pasa.ning.com,2010-05-07:2456660:BlogPost:258392
2010-05-07T14:55:47.000Z
YuhKha
https://go2pasa.ning.com/profile/YuhKha
เนื่องจากปริมาณหนังสือของคุณลูกล้นชั้นหนังสือ ทำให้ม่าม๊าต้องจัดระเบียบหนังสือใหม่ จนเจอหนังสือเล่มนึงเลยนึกขึ้นได้ว่านอกจากDVD และหนังสือโดยทั่วไปแล้ว พวกsound bookก็ดูจะเป็นสื่อการสอนที่น่าสนใจสำหรับเจ้าน้อย <br></br><br></br>อย่างเล่มนี้ เป็นsing-along ลูกชายชอบมากทีเดียว เค้าเลือกเองตอนอายุ6เดือน และยังเล่นจนบัดนาว(ตอนนี้จะสองขวบแล้ว)<br></br><p style="text-align: left;"><img alt="" src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975953400?profile=RESIZE_1024x1024" width="721"></img></p>
<br></br>เล่มนี้ซื้อจากเอเชียบุ๊ค ตอนได้หนังสือมาแม่ก็เล่นก่อน(ท่องเนื้อแล้วหัดร้องก่อน) แล้วค่อยให้ลูกเล่น…
เนื่องจากปริมาณหนังสือของคุณลูกล้นชั้นหนังสือ ทำให้ม่าม๊าต้องจัดระเบียบหนังสือใหม่ จนเจอหนังสือเล่มนึงเลยนึกขึ้นได้ว่านอกจากDVD และหนังสือโดยทั่วไปแล้ว พวกsound bookก็ดูจะเป็นสื่อการสอนที่น่าสนใจสำหรับเจ้าน้อย <br/><br/>อย่างเล่มนี้ เป็นsing-along ลูกชายชอบมากทีเดียว เค้าเลือกเองตอนอายุ6เดือน และยังเล่นจนบัดนาว(ตอนนี้จะสองขวบแล้ว)<br/><p style="text-align: left;"><img width="721" src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975953400?profile=RESIZE_1024x1024" alt=""/></p>
<br/>เล่มนี้ซื้อจากเอเชียบุ๊ค ตอนได้หนังสือมาแม่ก็เล่นก่อน(ท่องเนื้อแล้วหัดร้องก่อน) แล้วค่อยให้ลูกเล่น ตามสูตรคุณบิ๊กเลยคะ ใช้เพลงเป็นสื่อ ได้ผลดีทีเดียว แม่ๆลองดูนะคะ<br/><br/><p style="text-align: left;"><br/></p>
<br/>
ขอความคิดเห็นเรื่องโรงเรียน inter, EP และ โรงเรียนไทย
tag:go2pasa.ning.com,2009-09-06:2456660:BlogPost:88225
2009-09-06T04:21:59.000Z
YuhKha
https://go2pasa.ning.com/profile/YuhKha
คุฯพ่อคุณแม่มีความคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร และให้ลูกเรียนที่ไหนกัน
คุฯพ่อคุณแม่มีความคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร และให้ลูกเรียนที่ไหนกัน