Mamychi's Posts - หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้
2024-03-29T14:04:50Z
mamychi
https://go2pasa.ning.com/profile/1643gq5yha8yz
https://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1959277161?profile=RESIZE_48X48&width=48&height=48&crop=1%3A1
https://go2pasa.ning.com/profiles/blog/feed?user=1643gq5yha8yz&xn_auth=no
5 Tricks for learning time
tag:go2pasa.ning.com,2010-07-20:2456660:BlogPost:340780
2010-07-20T09:28:53.000Z
mamychi
https://go2pasa.ning.com/profile/1643gq5yha8yz
5 Tricks for learning time<br />
<br />
<br />
หนูน้อยเรียนรู้เรื่องเวลาผ่านกิจวัตรประจำวันที่เป็นเวลา เรียนรู้เวลาผ่านกิจวัตร=ทำกิจวัตรให้เป็นเวลา<br />
<br />
<br />
คุณแม่สามารถสอนลูกให้เรียนรู้เรื่องเวลาได้ง่ายๆ โดยการใช้กิจวัตรประจำวันของลูก อาทิ เข้านอน ตื่นนอน รับประทานอาหาร ฯลฯ ตั้งแต่เช้า สาย บ่าย เย็น มาปรับสอนให้ลูกเข้าใจความสำคัญของการทำอะไรให้เป็นเวลา ถ้าทำเป็นประจำทุกวันลูกจะค่อยๆ เข้าใจ โดยไม่ต้องพร่ำสอน เมื่อลองทำตามสมการข้างต้นแล้วล่ะก็…
5 Tricks for learning time<br />
<br />
<br />
หนูน้อยเรียนรู้เรื่องเวลาผ่านกิจวัตรประจำวันที่เป็นเวลา เรียนรู้เวลาผ่านกิจวัตร=ทำกิจวัตรให้เป็นเวลา<br />
<br />
<br />
คุณแม่สามารถสอนลูกให้เรียนรู้เรื่องเวลาได้ง่ายๆ โดยการใช้กิจวัตรประจำวันของลูก อาทิ เข้านอน ตื่นนอน รับประทานอาหาร ฯลฯ ตั้งแต่เช้า สาย บ่าย เย็น มาปรับสอนให้ลูกเข้าใจความสำคัญของการทำอะไรให้เป็นเวลา ถ้าทำเป็นประจำทุกวันลูกจะค่อยๆ เข้าใจ โดยไม่ต้องพร่ำสอน เมื่อลองทำตามสมการข้างต้นแล้วล่ะก็ เราอาจได้เด็กที่มีระเบียบวินัยแถมมาอีกคนเลยด้วย<br />
<br />
ความแตกต่างของเวลา<br />
คุณแม่อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างกลางวันกับกลางคืน โดยใช้ตัวอย่างง่ายๆ จากการสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวลูก เช่น "ตอนกลางวันสว่างและร้อนกว่าตอนกลางคืน" "พระอาทิตย์จะขึ้นตอนกลางวัน ส่วนพระจันทร์ขึ้นตอนกลางคืน" "ตอนเช้าพ่อต้องไปทำงาน ถ้าเย็นแล้วพ่อก็จะกลับบ้าน" เป็นต้น ซึ่งเมื่อเด็กสามารถแยกแยะความต่างของกลางวันกับกลางคืนได้ ก็จะช่วยให้เด็กเข้าใจเรื่องเวลาและเชื่อมโยงกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้ง่ายขึ้น<br />
<br />
สอนเรื่องเข็มนาฬิกา<br />
นาฬิกาเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นตัวช่วยให้ลูกเข้าใจเรื่องเวลาง่ายขึ้น เช่น "ลูกเข้านอนตอนเข็มสั้นชี้ตรงที่เลข 8 นะ" "ลูกอาบน้ำตอนนาฬิกาชี้ที่เลข 7 นะคะ จะได้ไปโรงเรียนทัน" "เข็มสั้นกับเข็มยาวชี้ไปที่เลข 12 แล้วได้เวลากินข้าวกลางวันแล้วล่ะ" นอกจากนี้ทุกครั้งที่จะเรียกหรือชวนให้ลูกทำอะไร คุณแม่ยังควรระบุเวลาพร้อมกับชี้ไปที่นาฬิกาทุกครั้ง เพื่อให้ลูกเคยชินกับการดูนาฬิกาค่ะ<br />
<br />
รู้ลำดับก่อนหลัง<br />
คุณแม่ยังสามารถเชื่อมโยงลำดับเวลาของวันได้เพื่อให้ลูกเรียนรู้การลำดับกิจกรรมที่ตัวเองทำก่อนหลัง เช่น "ลูกอาบน้ำแล้วแต่งตัว กินข้าว แล้วถึงได้ไปเล่นกับเพื่อนนะ" ที่สำคัญคือคุณแม่ต้องทำกิจวัตรให้เป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อที่ลูกจะได้จดจำภารกิจและเวลาของตัวเองได้<br />
<br />
ข้อดี-เสีย ของเวลา<br />
ชี้ให้ลูกเห็นถึงความสำคัญของการตรงเวลา และย้ำถึงข้อดีการตื่นเช้าว่าจะทำให้มีเวลาทำสิ่งต่างๆ ได้มากมายในแต่ละวัน และไม่พลาดนัดสำคัญต่างๆ ด้วย "เจ้าสัตว์ตัวน้อยใหญ่ของป่าสายรุ้งตื่นแต่เช้าไปเก็บผลไม้ จึงได้ผลไม้ไว้เก็บกินกันมากมายตลอดทั้งวัน แต่เจ้ากระต่ายน้อยน่ะสิ ตื่นสายและชักช้าโอ้เอ้อยู่ กว่าจะไปเก็บผลไม้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เมื่อไปเก็บผลไม้ก็พบว่าผลไม้หมดแล้ว เจ้ากระต่ายจึงไม่มีอาหารกินในวันนั้น" แล้วบอกเด็กๆ ด้วยนะคะว่า นี่คือผลของการตื่นสาย และไม่รักษาเวลา ส่งผลให้เจ้ากระต่ายน้อยต้องทนหิวไม่มีอาหารกินเพราะตัวเองขี้เกียจนอนตื่นสายนั่นเอง<br />
<br />
กำหนดเวลาให้แน่นอน<br />
เราควรกำหนดเวลาในกิจกรรมต่างๆ ให้แน่นอนด้วยค่ะ เช่น "เวลาเล่นของลูกคือ 2 ชั่วโมงก่อนกินข้าว เข็มยาวจะชี้จากเลข 7 ถึงเลข 9 นะคะ" บอกลูกให้ดูที่เข็มนาฬิกาตอนเริ่มเล่น พอถึงเวลาจริง คุณแม่ก็ควรเก็บของเล่นทันที ลูกจะได้เรียนรู้เรื่องเวลาไปพร้อมๆ กับรู้ว่าเวลาเล่นคือกี่โมง และเลิกเล่นกี่โมง เล่นเสร็จแล้วต้องไปทำอะไรต่อ เป็นการสร้างกติการ่วมกันในครอบครัวอีกด้วย<br />
<br />
<br />
เวลา > นาฬิกาบอกเวลา<br />
<br />
<br />
หากคุณพ่อคุณแม่ละเลยหรือตามใจยอมให้เจ้าหนูตื่น กินข้าวหรือนอนไม่เป็นเวลา เป็นการบ่มเพาะนิสัยเรื่อยเปื่อย ไม่รักษาเวลา ทำตามใจตัวเอง ฝึกลูกทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองให้เป็นเวลาจนเคยชิน จะทำให้ลูกรู้โดยอัตโนมัติว่า เวลานี้ควรทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นช่วงเปิดเทอม ปิดเทอม หรือวันหยุด ถือเป็นการปูพื้นฐานการสร้างวินัยและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองด้วยค่ะ<br />
<br />
<br />
เรื่องเวลา ชวนสนุก<br />
Let's play<br />
มาประดิษฐ์นาฬิกาของเล่นกันเถอะ โดยใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่หาง่ายในบ้าน เช่นจานกระดาษ ตัดตัวเลขจากปฏิทินมาทำเป็นตัวเลข ให้คล้ายกับนาฬิกาที่แขวนอยู่บนฝาบ้าน ลูกๆ จะได้ลองหมุนเข็มนาฬิกาเล่นได้ แต่ถ้าทำไม่ไหว นาฬิกาที่เป็นของเล่นก็ยังพอมีวางขายอยู่นะคะ<br />
<br />
Let's reading<br />
นิทานช่วยให้ลูกเข้าใจเรื่องเวลามากขึ้นค่ะ ลองเลือกนิทานที่ใช้สอนเรื่องของเวลามาเล่าให้ลูกฟังบ้าง ระหว่างเล่าคุณแม่ยังสามารถหมุนเข็มนาฬิกาให้ลูกเข้าใจมากขึ้น นอกจากนี้แล้วคุณแม่ยังสามารถแต่งนิทานขึ้นมาเองก็ได้ เจ้าหนูจะได้เรียนรู้เรื่องเวลาแล้วยังสนุกสนานกับกิจกรรมที่ได้ทำร่วมกัน<br />
<br />
Let's sing a song<br />
ปัจจุบันยังมีเพลงสำหรับเด็ก ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตประจำวันเพราะๆ มากมายมาเปิดให้ลูกฟังก็ได้ เด็กๆ ก็จะได้เรียนรู้ไปด้วยจากการฟัง หรือจะช่วยกันแต่งเพลงร้องกันเองภายในครอบครัวก็ได้ค่ะ<br />
<br />
นอกจากความรู้และความสนุกสนานที่เด็กๆ จะได้จาก "เวลา" แล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้ามก็คือการเป็นตัวอย่างของการเห็น "ค่า" ของเวลาและความ "ตรงต่อเวลา" ที่เด็กจะซึมซับรับจากคุณไปอยู่ตลอดด้วยค่ะ
ชวนพ่อแม่ทำแบบทดสอบ "ความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์"
tag:go2pasa.ning.com,2010-06-24:2456660:BlogPost:310128
2010-06-24T09:21:29.000Z
mamychi
https://go2pasa.ning.com/profile/1643gq5yha8yz
ชวนพ่อแม่ทำแบบทดสอบ "ความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์"<br />
<br />
<br />
ชวนพ่อแม่ใส่แว่นสีชมพูทำแบบทดสอบ "ความเฉลียวฉลาดทาง อารมณ์" เพื่อไม่ให้มี "คุณหนูอารมณ์ร้าย" ในบ้านค่ะ<br />
<br />
นี่ไม่ใช่ชื่อละครหลังข่าวภาคสองต่อจากเรื่อง "คุณหนูอารมณ์ร้าย กับ ผู้ชายเย็นชา" แต่อย่างใด ถ้าจะโยงเป็นตุเป็นตะให้เป็นเรื่องก็ได้เหมือนกัน ครอบครัวไหนมีพ่อแม่อารมณ์ร้ายก็จะได้คุณลูกอารมณ์ร้ายแน่นอน ผู้เขียนก็เลยขอแนะนำวิธีจัดการอารมณ์ร้ายด้วยการ "ควบคุมอารมณ์ให้เฉลียวฉลาด" หรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า E.Q. (Emotion Quotient)…
ชวนพ่อแม่ทำแบบทดสอบ "ความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์"<br />
<br />
<br />
ชวนพ่อแม่ใส่แว่นสีชมพูทำแบบทดสอบ "ความเฉลียวฉลาดทาง อารมณ์" เพื่อไม่ให้มี "คุณหนูอารมณ์ร้าย" ในบ้านค่ะ<br />
<br />
นี่ไม่ใช่ชื่อละครหลังข่าวภาคสองต่อจากเรื่อง "คุณหนูอารมณ์ร้าย กับ ผู้ชายเย็นชา" แต่อย่างใด ถ้าจะโยงเป็นตุเป็นตะให้เป็นเรื่องก็ได้เหมือนกัน ครอบครัวไหนมีพ่อแม่อารมณ์ร้ายก็จะได้คุณลูกอารมณ์ร้ายแน่นอน ผู้เขียนก็เลยขอแนะนำวิธีจัดการอารมณ์ร้ายด้วยการ "ควบคุมอารมณ์ให้เฉลียวฉลาด" หรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า E.Q. (Emotion Quotient) เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่นำไปใช้กับลูกๆ เพลาการเป็นพ่อแม่ที่คิดถึงแต่ไอ.คิว.ลูกไม่ลืมหูลืมตา กดดันเสียจนลูกๆ พากันโดดตึกตายมั่ง ผูกคอตายมั่งจนเป็นข่าวสะเทือนใจคนเป็นพ่อแม่ (อีกนั่นแหละ)<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
ผู้เขียนมิได้กล่าวหาว่าพ่อแม่เป็นตัวการนะคะ แต่ผลจากการสำรวจข้อมูลวัยรุ่นอายุ 12-25 ปีคิดฆ่าตัวตาย สาเหตุแรกก็จากครอบครัว ถัดมาก็เป็นเรื่องเรียน สอบไม่ได้มั่ง ได้คะแนนไม่ดีมั่ง เห็นไหมคะ มันแยกกันไม่ออกเลย เอาเหอะ...คุณพ่อคุณแม่อาจจะตบอกปฏิเสธว่า "ไม่เค้ย...ไม่เคย" ผู้เขียนเป็นแม่ของลูกด้วยค่ะ รู้ซึ้งว่าหัวใจแม่อยากให้ลูกได้ดีเพียงใด บางครั้งก็พูดจากดดันลูกแบบรู้เท่าถึงการณ์มั่งไม่ถึงการณ์มั่ง ของมันเผลอกันได้ ถ้าเผลอบ่อยก็แย่เหมือนกัน<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
หนังสือเรื่อง "หัวใจของการเป็นพ่อแม่" เขียนโดย ศ.จอห์น ก๊อตแมน มีเนื้อหาว่าด้วยการเรียนรู้ที่จะ "ควบคุมอารมณ์ให้เฉลียวฉลาด" (Emotional Intelligence) อันเป็นความฉลาดที่ไม่เข้าตากรรมการสักเท่าไหร่ เพราะมัวแต่ไปหาวิธีเสริมสร้างไอ.คิว.ให้ถึง 180 อย่างเดียว ไม่สนที่จะปูพื้นฐานความสัมพันธ์กับลูกตั้งแต่ยังเล็ก ให้ไว้วางใจพ่อแม่เพื่อจะได้ร่วมมือกันแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ ปูพื้นสะสมตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กให้ความรู้สึกมั่นใจ ไว้วางใจของลูกซึมซ่านจนฝังเป็นความรู้สึกเชื่อมั่นและไว้วางใจ ว่า"พ่อแม่จะไม่ตำหนิติเตียนพวกเขาเมื่อทำความผิดพลาดแบบจิกด่าทำลายล้าง ซึ่งจะเป็นการทำลาย "ส่วนที่ดีงาม" ในตัวของพวกเขาให้ย่อยยับไปด้วย<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
"จะต้องเริ่มตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ จนซึมซ่านกลายเป็นความรู้สึกจากอารมณ์ของเด็กเอง มันจะฝังอยู่จนกระทั่งพวกเขาเติบโตเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวเกิดเป็นความเชื่อมั่นว่าพวกเขามีคุณค่าและมีความหมายต่อพ่อแม่มากมายเพียงใด" เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นมันจะกลายเป็นวิธีการดำเนินชีวิตในภายหน้า ซึ่งเขาจะต้องเผชิญกับความกดดันต่างๆ นานา ตั้งแต่ความกดดันจากเพื่อน เลี่ยงที่จะไม่นำตัวเองไปเสี่ยงกับเรื่องล่อแหลมอันตราย หรือมีอารมณ์ที่เข้มแข็งพอที่จะรับมือกับสถานการณ์รุนแรงต่างๆ อย่างมั่นใจ ต่างจากเด็กที่ไม่มีประสบการณ์เพราะถูกเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่ให้ความสำคัญกับไอ.คิว.ด้านเดียว เราพบคนแบบนี้มากมาย จำพวก "ยอมหัก...ไม่ยอมงอ"<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
ทดสอบประสิทธิภาพทางอารมณ์ของพ่อแม่ผ่านสถานการณ์ง่ายๆ ต่อไปนี้เหตุการณ์ง่ายๆที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ตกม้าตายเพราะใช้ท่าทีไม่เหมาะสม ไม่เคยให้ความสนใจกับคำว่าอี.คิว.มาก่อนในชีวิต ทำนอง "วัวหายแล้วค่อยล้อมคอก" นั่นแหละ คำตอบที่เหมาะสมมิได้มีเพียงคำตอบเดียว หรือวิธีจัดการเดียว ที่นำมาเป็นเพียงวิธีพูดเหมาะๆ พอให้คุณพ่อคุณแม่มองเห็นแนวทางปรับ " อี.คิว." ที่ไม่ค่อยสูงให้สูงขึ้นในกรณีต่อๆไปที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิตจริง ลองดูค่ะ<br />
<br />
<br />
<br />
1. ลูกหายในห้างสรรพสินค้า แต่พนักงานขายในห้างพบตัวและนำมาส่งให้พ่อแม่อย่างปลอดภัย (เด็กรู้สึกกลัว) ส่วนพ่อแม่<br />
<br />
ก็กลัวลูกเป็นอันตราย และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก<br />
<br />
<br />
<br />
* พูดแบบไม่มีอี.คิว. - "เด็กโง่ รู้หรือเปล่าว่าทำให้พ่อแม่จะบ้าตายอยู่แล้ว คราวหน้าไม่พามาซื้อของอีกแล้ว"<br />
<br />
* พูดแบบมีอี.คิว. - "ลูกกลัวมากใช่ไหม พ่อกับแม่ก็กลัวลูกหาย ขอแม่กอดหน่อย เดี๋ยวเราค่อยคุยกันนะจ๊ะ"<br />
<br />
<br />
2. ลูกกลับจากโรงเรียนแล้วบอกว่า "หนูจะไม่ไปโรงเรียนอีกแล้ว ครูตะโกนใส่หน้าหนูต่อหน้าเพื่อนๆ" (ลูกอาย) พ่อ<br />
<br />
แม่อยากให้ลูกเรียนได้ดี และเป็นที่รักของครู<br />
<br />
<br />
* พูดแบบไม่มีอี.คิว. - "ก็ไปทำอะไรเข้าล่ะ ครูถึงตะคอก"<br />
<br />
* พูดแบบมีอี.คิว. - "หนูอายเพื่อนๆ แย่เลยสิคะ"<br />
<br />
<br />
3. ขณะที่อาบน้ำให้ลูกในห้องน้ำ ลูกพูดว่า "หนูเกลียดน้องจังเลย อยากให้น้องตาย" (เด็กรู้สึกโกรธ) พ่อแม่คิดว่าพี่<br />
<br />
น้องทะเลาะกันจะต้องเกิดขึ้นต่อไป<br />
<br />
<br />
* พูดแบบไม่มีอี.คิว. - "หนูเกลียดน้องได้อย่างไร แย่มาก หนูต้องรักน้องอย่าพูดอย่างนี้ให้พ่อแม่ได้ยินอีกนะ"<br />
<br />
* พูดแบบมีอี.คิว. - "แม่รู้ว่าน้องชอบกวนใจหนูจนหนูผิดหวังและอารมณ์เสีย ไหนเล่าให้ฟังซิเกิดอะไรขึ้น"<br />
<br />
<br />
<br />
4. บนโต๊ะอาหารมื้อเย็น เด็กบอกว่า "หนูเกลียดกับข้าวนี้ที่สุด ไม่อยากกิน"(เด็กทำท่าอ้วก) พ่อแม่อยากให้ลูกกิน<br />
<br />
อาหารมื้อนี้ให้หมด จะได้ไม่เหลือทำให้สิ้นเปลือง<br />
<br />
<br />
* พูดแบบไม่มีอี.คิว. - "ลูกต้องกินกับข้าวที่เรามี และก็ต้องชอบกินด้วย"<br />
<br />
* พูดแบบมีอี.คิว. - "กับข้าววันนี้ไม่ค่อยน่ากิน ลูกอยากกินอะไรล่ะพรุ่งนี้แม่จะทำให้"<br />
<br />
<br />
5. ลูกกลับจากเล่นกับเพื่อนนอกบ้าน และพูดว่า "หนูเกลียดเด็กพวกนั้นจังพวกเขาไม่ให้หนูเล่นด้วยแล้วยังแกล้ง<br />
<br />
หนูอีก" (เด็กเครียด) พ่อแม่รู้ว่าเด็กจะเข้ากับคนอื่นได้ดี ต้องไม่ขี้แย<br />
<br />
<br />
* พูดแบบไม่มีอี.คิว. - "ก็ลูกขี้แยใจเสาะใครเขาจะเล่นด้วย อย่าทำ เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่หน่อยเลย อยากเล่นก็ต้อง<br />
<br />
อดทนสิ"<br />
<br />
<br />
* พูดแบบมีอี.คิว. - "ไหนเล่าให้แม่ฟังซิว่าพวกเขาแกล้งลูกอย่างไร"<br />
<br />
<br />
6. ลูกพูดว่า "คืนนี้พ่อกับแม่ไม่ต้องมาดูแลหนู หนูอยากให้ (คนนั้นคนนี้) ดูแลหนูแทนค่ะ (ลูกเศร้าสร้อย) พ่อแม่รู้ว่าลูกชื่น<br />
<br />
ชอบและอยากใกล้ชิด (คนนั้นคนนี้) เขา/เธอ<br />
<br />
<br />
* พูดแบบไม่มีอี.คิว. - "พูดจาน่าเกลียด ทำเป็นเด็กไม่มีหัวคิดไปได้"<br />
<br />
<br />
* พูดแบบมีอี.คิว. - "ลูกคงจะคิดถึงพี่เขามากใช่ไหม แม่เข้าใจ แม่ก็คิดถึงพี่คนนี้ของลูกเหมือนกัน"<br />
<br />
<br />
7. เพื่อนลูกมาเล่นที่บ้าน ลูกพูดกับเพื่อนๆ ว่า "เราไม่แบ่งของเล่นให้เธอนะ ห้ามเล่นตุ๊กตาของเราด้วย" (ลูกโกรธ<br />
<br />
(อีกแล้ว)) พ่อแม่อยากให้ลูกรู้จักเอื้อเฟื้อและเป็นเจ้าของบ้านใจดีกับแขก<br />
<br />
* พูดแบบไม่มีอี.คิว. - "อย่าเป็นเด็กเห็นแก่ตัวสิลูก รู้จักแบ่งของเล่นให้เพื่อนเล่นบ้าง"<br />
<br />
<br />
* พูดแบบมีอี.คิว. - "แม่รู้ว่าบางทีก็ยากที่จะแบ่งของที่เรารักให้คนอื่นเล่น หนูเก็บตุ๊กตาตัวโปรดไว้ในห้องนะจ๊ะแล้วขนของ<br />
<br />
เล่นที่อยากให้เพื่อนเล่นออกมา"<br />
<br />
<br />
เป็นอย่างไรบ้างคะ บททดสอบ "ความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์" ของคุณพ่อคุณแม่ สำหรับผู้เขียนเองใช้คำพูดแบบ "คุณแม่อารมณ์ร้าย" ทุกครั้งเลยถ้าไม่ยั้งคิดเสียก่อน แต่ก็มองเห็นข้อดี สมควรใช้ความพยายามค่ะ ไม่อยากมี "คุณหนูอารมณ์ร้าย" ในบ้านนี่คะ ถึงได้เตือนคุณแม่ที่ยังมีลูกเล็กๆ ทั้งหลายให้สนใจวิธี "ควบคุมอารมณ์ให้เฉลียวฉลาด" เพื่อสร้างฐานอารมณ์ของลูกให้เข้มแข็งจะได้มีชีวิตอยู่ในโลกไร้พรมแดนใบนี้อย่างมีความสุขพอสมควรส่วนผู้เขียนน่ะเป็นพวก " ไม้แก่ดัดยาก " ค่ะ ถึงต้องใส่แว่น "สีชมพู" ไงคะ<br />
<br />
<br />
จาก: นิตยสารรักลูก
ข้อคิดสำหรับการเลือก รร.อนุบาล.. ให้กับลูก....
tag:go2pasa.ning.com,2010-03-05:2456660:BlogPost:201972
2010-03-05T09:19:06.000Z
mamychi
https://go2pasa.ning.com/profile/1643gq5yha8yz
<br></br>1. "โรงเรียนอนุบาลไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็ก"<br></br>คุณพ่อคุณแม่หลายคน มักคิดว่าส่งลูกเรียนอนุบาลที่ไหนก็เหมือนกัน ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นครับ เพราะแต่ละที่ต่างก็มีรูปแบบแตกต่างกัน โรงเรียนอนุบาลนั้น โรงเรียนที่ดีต้องมีหลักสูตรการเรียนการสอนที่ชัดเจน และมีระบบการพัฒนาสติปัญญาและสุขพลานามัยของผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้เรียนมีพัฒนาการที่ดีเป็นไปตามลำดับขั้นอย่างเหมาะสม ส่วนสถานรับเลี้ยงเด็กนั้น จะเน้นในส่วนของการดูแลและเลี้ยงดูเด็กเสียเป็นส่วนใหญ่…
<br/>1. "โรงเรียนอนุบาลไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็ก"<br/>คุณพ่อคุณแม่หลายคน มักคิดว่าส่งลูกเรียนอนุบาลที่ไหนก็เหมือนกัน ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นครับ เพราะแต่ละที่ต่างก็มีรูปแบบแตกต่างกัน โรงเรียนอนุบาลนั้น โรงเรียนที่ดีต้องมีหลักสูตรการเรียนการสอนที่ชัดเจน และมีระบบการพัฒนาสติปัญญาและสุขพลานามัยของผู้เรียนเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้เรียนมีพัฒนาการที่ดีเป็นไปตามลำดับขั้นอย่างเหมาะสม ส่วนสถานรับเลี้ยงเด็กนั้น จะเน้นในส่วนของการดูแลและเลี้ยงดูเด็กเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการให้การศึกษาก็จะเป็นไปตามความเหมาะสมของแต่ละวัน ซึ่งไม่มีแผนการแน่นอน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตโรงเรียนที่ไปดูว่ามีแนวการสอนเช่นไร และมีรูปแบบชัดเจนหรือเปล่า เพราะไม่เช่นนั้นก็จะไม่ต่างอะไรกับสถานรับเลี้ยงเด็กธรรมดา ซึ่งอาจจะไม่ได้ให้การพัฒนาเด็กอย่างเต็มที่ก็เป็นได้<br/><br/>2. "อย่าหลงเชื่อกิจกรรมพิเศษ"<br/>กิจกรรมพิเศษนั้น หมายถึง พวกว่ายน้ำ เทควันโด้ คอมพิวเตอร์ และกิจกรรมเสริมทักษะด้านต่างๆ ซึ่งปัจจุบันโรงเรียนต่างๆ ก็ได้นำกิจกรรมพวกนี้ขึ้นมาโชว์ เพื่อเรียกให้ผู้ปกครองมาสมัคร ซึ่งก็มีคุณพ่อคุณแม่หลายครอบครัวที่เสียรู้ในเรื่องของกิจกรรมพวกนี้ หลายโรงเรียนมีไว้เพียงเพื่อการโฆษณาอย่างเดียวซึ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ต้องมีเวลาสักวันหนึ่ง ไปดูโรงเรียนด้วยตัวเองตั้งแต่เช้า ซึ่งจะดีกว่าเชื่อจากโฆษณาหรือจากคำบอกเล่าของคนอื่น<br/><br/>3. "แนวการสอนถือเป็นสิ่งสำคัญ"<br/>ปัจจุบันแนวการสอนในระดับอนุบาลมีหลากหลายแนวทางซึ่งออกมาตอบสนองกับความ ต้องการของเด็กและผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็น เรกจิโอ เอมิเลีย ,มอนเตสซอรี่ ,ไฮ-สโคป ,นีโอ-ฮิวแมนนิส ,วอร์ดอร์ฟ ,ฯลฯ<br/>(ไว้คราวหน้าจะมาบอกว่าแต่ละรูปแบบเป็นอย่างไร) ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็ควรเลือกให้ตรงกับลักษณะชีวิตของตัวเด็กเอง ก็จะช่วยให้เขาพัฒนาได้เร็ว และควรระวังกับแนวการสอนแบบบูรณาการเพราะมีหลายโรงเรียนที่เป็นการสอนแบบ เก่าก็มักจะใช้คำว่าบูรณาการเช่นเดียวกัน จึงควรสอบถามให้แน่ชัดว่าบูรณาการนั้นเป็นไปในลักษณะใด และมีรูปแบบเป็นเช่นไร<br/><br/>4. "ความสะอาดและปลอดภัยมาก่อนบรรยากาศ"<br/>อันนี้ต้องเข้าใจก่อนว่าทั้ง 3 ส่วนมีความสำคัญหมด แต่ควรที่จะดูในเรื่องของความสะอาดและปลอดภัยก็เป็นหลัก เพราะคุณคงเสียใจแน่ถ้าเด็กเกิดเป็นโรคหรือเกิดอุบัติเหตุจากที่โรงเรียน ดังนั้นควรตรวจสอบให้ดี<br/><br/>5. "โรงเรียนที่ดีต้องอยู่ใกล้พ่อแม่"<br/>โรงเรียนที่อยู่ใกล้พ่อแม่ จะทำให้คุณพ่อคุณแม่มีเวลาที่จะมาพบกับคุณครูประจำชั้น เพื่อที่จะไต่ถามเรื่องเกี่ยวกับลูก บางครั้งถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น ก็สามารถที่จะมาหาได้ทันที อีกทั้งจะได้มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น ซึ่งความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นมีผลอย่างมากต่อเด็ก<br/><br/>6. "หนึ่งห้อง 25-30 คน น้อยกว่าได้ มากไปไม่ค่อยดี"<br/>เพราะจะทำให้ครูสามารถดูแลเด็กได้ทั่วถึง และมีเวลาเพียงพอในการจัดกิจกรรมแต่ละวันให้ได้ร่วมกิจกรรมกันทุกคน<br/><br/>7. "ห้องนึงควรมีครู 2 คน และครูอย่างน้อย 1 คนต้องจบสาขาตรง"<br/>สาขาที่สามารถสอนเด็กอนุบาลได้นั้น จะต้องมีวุฒิครู และควรจะต้องจบสาขาอนุบาลหรือที่เรียกว่า การศึกษาปฐมวัย เพราะครูสาขานี้จะได้รับการฝึกฝนให้สื่อสารกับเด็กได้อย่างเหมาะสม และมีสภาพจิตใจที่พร้อมที่จะดูแลและควบคุมเด็กด้วยแทคนิคสร้างสรรค์ต่างๆ ซึ่งจะไม่เหมือนกับผู้จบครูสาขาอื่นที่จะเน้นฝึกฝนด้านวิชาการมาก<br/><br/>8. "ต้องติดต่อได้ง่าย และเปิดเผยข้อมูลเสมอ"<br/>โรงเรียนที่ดีต้องไม่ปกปิดครับ มีอะไรก็ต้องแจ้งอย่างเป็นความจริง และสามารถที่จะติดต่อได้สะดวก จึงถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพครับ<br/><br/>9. "โรงเรียนใหญ่ใช่ว่าดี"<br/>หลายคนคิดว่าโรงเรียนใหญ่ๆ ต้องดีกว่าโรงเรียนเล็กๆ ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะก็มีหลายโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก และมีคุณภาพ โรงเรียนขนาดใหญ่บางครั้งก็อาจดูแลเด็กได้ไม่ทั่วถึง<br/><br/>10. "ไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป"<br/>อันนี้ควรดูตามความเหมาะสมครับ เพราะหลายโรงเรียนมักจะเรียกค่าใช้จ่ายชนิดที่ผมเรียนจบเอกได้สบายๆเลย ดูเอาตามความเหมาะสมก็จะดีที่สุดครับ<br/><br/><font size="4"><strong>เลือกอนุบาลให้ลูกอย่างไรดี</strong><br/></font> <br/>10 คุณลักษณะที่โรงเรียนอนุบาลคุณภาพควรมี ได้แก่<br/><br/>1. มีสัดส่วนครู : นักเรียนที่เหมาะสม คือไม่ควรเกินห้องละ 1 : 20-25 (ไม่รวมครูผู้ช่วย) เพื่อให้ลูกได้รับความสนใจจากคุณครูในระดับที่เหมาะสม และคุณครูก็จะ " รู้จัก+รู้ใจ " ลูกดีพอด้วย<br/><br/><br/>2. มีกิจกรรมล้อมวงทุกวัน เพื่อให้ลูกได้ฝึกทักษะทางสังคมที่จำเป็น เช่น การผลัดกัน การรู้จักฟังผู้อื่น และการนั่งนิ่งๆ ไม่ลุกเดินไปมาระหว่างที่เพื่อนๆและคุณครูกำลังทำกิจกรรมอยู่ แถมยังได้ฝึกทักาะทางภาษาจากการฟังครูเล่านิทานหรือร้องเพลงด้วย<br/><br/>3. สภาพแวดล้อมเอื้อต่อการเรียนรู้ด้านภาษา คุณครูควรอ่านนิทานให้เด็กๆฟังทุกวัน ห้องเรียนควรมีนิทานมากพอให้เลือกหยิบได้ตามต้องการ มีสื่อการสอนที่จะทำให้เด็กๆได้เรียนรู้คำศัพท์ต่างๆแปะเต็มผนังห้องเรียน และเวลาที่เด็กทำงานศิลปะหรือวาดรูปเสร็จแล้ว คุณครูก็ช่วยเขียนคำบรรยาย (ตามที่เด็กบอก) ประกอบด้วย<br/><br/>4. ส่งเสริมงานศิลปะ มีอุปกรณ์เตรียมไว้อย่างพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเป็นขาตั้งภาพ พู่กัน สี สีเทียน ดินน้ำมัน ฯลฯ เพราะนอกจากจะสนุกแล้ว ศิลปะยังเป็นช่องทางแสดงความคิดสำหรับเด็กๆที่ยังไม่ถนัดเขียนบรรยายด้วย<br/><br/>5. มีมุมบล็อก ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆได้พัฒนาทักษะด้านมิติสัมพันธ์และการแก้ปัญหา<br/><br/>6. มีการผลัดเวรกันช่วยคุณครูทำงานง่ายๆ ซึ่งช่วยสร้างความรับผิดชอบ ความภูมิใจ และยังปูพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ให้เด็กๆด้วย เช่น ช่วยแจกนมให้เพื่อนๆคนละ 1 ถ้วย และขนมคนละ 3 ชิ้น<br/><br/>7. มีเกมประเภทจัดวางตามเงื่อนไข เกมประเภทนี้ช่วยเสริมทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ซึ่งจำเป็นต่อการเขียน นอกจากนี้จิ๊กซอว์ยังช่วยเสริมทักาะด้านมิติสัมพันธ์ เกมจัดเรียงตามขนาดและจำนวนช่วยพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ และเกมร้อยลูกปัดช่วยฝึกการใช้มือกับสายตาให้ประสานสัมพันธ์กัน<br/><br/>8. มีโต๊ะใส่น้ำ / ทรายไว้ให้สำรวจและทดลอง โดยเฉพาะในเรื่องของพื้นที่ ขนาด น้ำหนัก แรงกด และปริมาตร<br/><br/><br/>9. ได้เล่นออกกำลังกายทุกวัน ทั้งในอาคารเรียนและกลางแจ้ง อุปกรณ์ เครื่องเล่นและบริเวณที่เล่นต้องได้มาตรฐานความปลอดภัย ลูกจะได้มีโอกาสฝึกฝนทักษะ การใช้อวัยวะต่างๆให้คล่องแคล่ว<br/><br/>10. มีของแปลกใหม่มาให้เด็กได้เรียนรู้เป็นประจำ ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กๆได้สำรวจ แสดงความเห็น และอาจขยายเป็นโครงการต่อเนื่องระยะยาว เช่น คุณครูหาใบไม้หลากหลายชนิดมาให้เด็กๆดู แล้วเด็กๆก็ซักถามเกี่ยวกับต้นไม้และพืชชนิดต่างๆ อยากลองเพาะเมล็ดพืช เพื่อสังเกตการเจริญเติบโตทุกระยะ ฯลฯ<br/>
...สอนลูกให้รู้จัก Calm Down เวลาหงุดหงิด...
tag:go2pasa.ning.com,2010-03-01:2456660:BlogPost:199057
2010-03-01T03:30:00.000Z
mamychi
https://go2pasa.ning.com/profile/1643gq5yha8yz
<p><strong>หลังจากพักยก</strong>เรื่องการเลี้ยงดูลูก</p>
<p>แล้วไปชวนคุยเกียวกับเรื่องราวของความรัก</p>
<p>ให้เข้ากับคอนเซ็ปวาเลนไทล์มาสองครั้ง</p>
<p><strong>ในครั้งนี้</strong>หมอก็มาปฏิบัติหน้าที่อันแสนคุ้นเคยให้กับคุณๆที่รัก นั่นก็คือ</p>
<p>ให้คำแนะนำ ค้นหาเทคนิค กลวิธีในการเลี้ยงดูลูกให้ได้ดี เก่ง และสุข</p>
<p>(หรืออีกนัยหนึงหลอกล่อลูกให้ทำตามที่เราต้องการ)</p>
<p>วันนี้มาคุยกันว่าถ้าลูกวัยตั้งแต่ 3-4 ขวบเป็นต้นไป (วัยอนุบาลถึงประถมปลาย )</p>
<p>เกิดหงุดหงิด งอแง…</p>
<p><strong>หลังจากพักยก</strong>เรื่องการเลี้ยงดูลูก</p>
<p>แล้วไปชวนคุยเกียวกับเรื่องราวของความรัก</p>
<p>ให้เข้ากับคอนเซ็ปวาเลนไทล์มาสองครั้ง</p>
<p><strong>ในครั้งนี้</strong>หมอก็มาปฏิบัติหน้าที่อันแสนคุ้นเคยให้กับคุณๆที่รัก นั่นก็คือ</p>
<p>ให้คำแนะนำ ค้นหาเทคนิค กลวิธีในการเลี้ยงดูลูกให้ได้ดี เก่ง และสุข</p>
<p>(หรืออีกนัยหนึงหลอกล่อลูกให้ทำตามที่เราต้องการ)</p>
<p>วันนี้มาคุยกันว่าถ้าลูกวัยตั้งแต่ 3-4 ขวบเป็นต้นไป (วัยอนุบาลถึงประถมปลาย )</p>
<p>เกิดหงุดหงิด งอแง งี่เง่า</p>
<p>(หรือแสดงอารมณ์อื่นใดที่บ่งบอกว่าเด็กกำลังไม่มีความสุขอยู่)</p>
<p>คุณจะช่วยลูกอย่างไรดีหนอ</p>
<p>จะดุ ด่าว่า ตวาด ตี ลงโทษดวยความโกรธ ความหงุดหงิดของเราก็กระไรอยู่</p>
<p>เพราะเด็กกำลังมีความรู้สึกตรงกันข้ามกับคำว่า "ความสุข"</p>
<p>เราในฐานะผู้ใหญ่ที่อาบน้ำอุ่นมาก่อนก็น่าจะมีวิธี smart smart</p>
<p>ในการบรรเทาทุกข์ ให้ลูกเกิดความผ่อนคลาย ไม่ใช่ไปซ้ำเติมให้รู้สึกแย่ลงไปกว่าเดิม</p>
<p></p>
<p></p>
<p><img title="Make reading fun with comic books, cereal boxes and kid-friendly websites." border="0" alt="Make reading fun with comic books, cereal boxes and kid-friendly websites." src="http://images.oprah.com/images/obc_classic/book/2009/kidsreadinglist/20090619-read-anything-284x218.jpg"/></p>
<p><strong>รูปนี้</strong> สาวน้อยกำลังหงุดหงิดพร้อมจะวีนแล้วค่ะ</p>
<p></p>
<p><strong>ส่วนรูปข้างล่างนี้</strong> หนุ่มน้อยกำลังอร่อยเลอะเทอะเต็มที่</p>
<p>คุณเห็นอย่างนี้ อย่าหงุดหงิดซะเอง เลอะเทอะก็ล้างได้ ใจเย็นๆ</p>
<p><img style="FILTER: alpha(opacity=99); WIDTH: 419px; ZOOM: 1; HEIGHT: 311px" alt="Stop When Baby's Ready to Stop" src="http://img.webmd.com/dtmcms/live/webmd/consumer_assets/site_images/articles/health_tools/baby_food_first_year_slideshow/photolibrary_rf_photo_of_baby_in_highchair_eating.jpg"/></p>
<p></p>
<p><strong>หมอมีวิธีง่ายๆ</strong>แต่ต้องใช้เวลาและความผ่อนคลาย สบายๆ ของคุณนั่นแหละมาช่วยให้ลูกอารมณ์สงบลง หรือเรียกว่า calm down มาแนะนำให้ลองไปใช้ดู</p>
<p><strong>เมื่อคุณสังเกตเห็นว่า</strong> ลูกเริ่มมีอาการหงุดหงิด งอแง</p>
<p>ไม่สบอารมณ์อะไรบางอย่างเข้าแล้ว</p>
<p>คุณควรรีบเข้าไปจัดการให้อารมณ์ลูกสบลงซะก่อนที่ทุกอย่างจะประทุขึ้นมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด (แล้วคุณก็พลอยระเบิดอารมณ์ไปด้วยเพราะควบคุมตัวเองไม่ไหว)</p>
<p><strong>ถ้าคุณมีความไว</strong>ในการจับอารมณืและการกระทำของลูกได้เร็วพอ</p>
<p>แล้วคาดว่าลูกกำลังรับมือไม่ไหวแล้วกับอะไรบางอย่างที่เข้ามารบกวน</p>
<p>ให้เข้าไปหาลูก แล้วบอกลูกอย่างอ่อนโยนว่า</p>
<p>"พ่อ/แม่รู้ว่าลูกกำลังหงุดหงิด พ่อ/แม่เข้าใจความรู้สึกลูกนะ</p>
<p>ลูกมีสิทธิ์จะโกรธ/โมโห/หงุดหงิด/ไม่พอใจ/เสียใจ/ผิดหวัง/เศร้าฝ/อยากจะร้องไห้....ได้"</p>
<p>อาจเข้าไปกอดหรือสัมผัสลูกอย่างอ่อนโยน แล้วบอกลูกต่อไปว่า</p>
<p>"ลูกไปทำอะไรที่ลูกชอบ/หามุมสงบจิตใจ/นั่งพัก.......ให้สบายใจแล้วมาเล่าให้พ่อฟังทีหลังว่าเกิดอะไรขึ้น"</p>
<p><strong>สิ่งที่หมอต้องการให้พ่อแม่ทำ</strong> ก็คือการเข้าไปหาเด็ก ไปปลอบ ไปแสดงความสนใจ</p>
<p>เข้าใจและรับรู้อารมณืเชิงลบที่เกิดขึ้น ยอมรับความรู้สึกเด็กโดยไม่ตำหนิให้เด็กรู้สึกผิดที่เกิดอารมณ์ลบนั้นๆ แล้วหาวิธีช่วยให้อารมณ์ของเด็กผ่อนคลายลงโดยการให้เด็กไปทำอะไรก็ตามที่เขาชอบทำหรือจะไปสงบสติอารมณ์ของตัวเองสักพักจนเมื่อเด็กรู้สึกดีขึ้นจึงค่อยเข้ามารวมกลุ่มกับคนอื่นๆอีกครั้ง โดยไม่ให้เด็กระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นการกระทำที่ก้าวร้าว โวยวาย งอแง เรียกร้องความสนใจหรือแยกตัวไปอย่างเศร้าๆคนเดียวเพราะไม่มีพ่อแม่ให้ความสนใจหรือให้ความสำคัญในการปลอบโยน</p>
<p><strong>สิ่งที่ให้เด็กไปทำเพื่อผ่อนคลาย</strong>ก็คือกิจกรรมอะไรก็ได้ที่เด็กชอบทำ</p>
<p>ทำอย่างเพลิดเพลิน มีความผ่อนคลายเกิดขึ้นภายหลังทำกิจกรรมนั้น</p>
<p></p>
<p><strong>ดังนั้น การดูทีวี การดูการ์ตูนต่อสู้ การเล่นเกมคอมพิวเตอร์</strong></p>
<p><strong>วิดีโอเกม</strong><strong>ที่มีคว่ามรุนแรงหรือใช้ความเร็วในการเล่น ไม่ใช่กิจกรรมที่เหมาะสม เพราะยิ่งทำ ยิ่งเครียด</strong></p>
<p></p>
<p>หมอลองยกตัวอย่างกิจกรรมที่หมอว่า ดี สักสองสามอย่างนะคะ</p>
<p><strong>เล่นกีฬา</strong> อะไรก็ได้ค่ะ จะเล่นคนเดียวหรือเล่นหลายคนก็ได้</p>
<p>อย่างในรูปนี้ก็คือกีฬาปิงปอง หรือจะเป็นเตะบอล ว่ายน้ำ ชกมวย ได้หมดเลยค่ะ</p>
<p></p>
<p><img style="BORDER-BOTTOM: #e7e5e6 1px solid; BORDER-LEFT: #e7e5e6 1px solid; BORDER-TOP: #e7e5e6 1px solid; BORDER-RIGHT: #e7e5e6 1px solid" title="Ping pong" border="0" alt="Ping pong" src="http://static.oprah.com/images/relationships/201002/2010203-ping-pong-300x205.jpg"/></p>
<p></p>
<p></p>
<p><strong>ต่อมาก็หามุมสงบอ่านหนังสือที่ดีๆ</strong> ไม่ใช่หนังสือการ์ตูนต่อสู้รุนแรงหรือนิยายรักๆใคร่ๆ</p>
<p>ที่เดี๋ยวนี้เด็กๆผู้หญิงฮิตอ่านกันมากจนทำให้เกิดจินตนาการฟุ้งซ่านวุ่นวายเรื่องรักในวัยเรียน ไม่เป็นอันเรียนหนังสือกัน</p>
<p></p>
<p style="TEXT-ALIGN: center"><img title="Let children read at their own pace." border="0" alt="Let children read at their own pace." src="http://images.oprah.com/images/obc_classic/book/2009/kidsreadinglist/20090619-set-time-284x218.jpg"/></p>
<p></p>
<p></p>
<p><img title="Bedtime reading" border="0" alt="Bedtime reading" src="http://images.oprah.com/images/obc_classic/book/2009/kidsreadinglist/20090619-under-covers-284x218.jpg"/></p>
<p></p>
<p style="TEXT-ALIGN: center"><img title="Keep children's books closer than the remote control." border="0" alt="Keep children's books closer than the remote control." src="http://images.oprah.com/images/obc_classic/book/2009/kidsreadinglist/20090619-within-reach-284x218.jpg"/></p>
<p></p>
<p></p>
<p><strong>แล้วพอเด็กอารมณ์ดีขึ้น</strong> พ่อแม่ก็เรียกเด็กมานั่งคุยว่า เกิดอะไรขึ้นถึงทำให้ลูกหงุดหงิดซะขนาดนี้ ตั้งใจฟังลูกด้วยนะคะ ปล่อยให้เขาพูดระบายเรื่องราว ความรู้สึกออกมาให้หมด คุณมีหน้าที่สำคัญคือฟังและให้กำลังใจลูก หรืออาจให้คำแนะนำบ้างตามความเหมาะสม แต่อย่าแย่งลูกพูดและตัดสินลูกว่าไม่ดีอย่างโน้น อย่างนี้ หรือควรทำอย่างนั้น อย่างนี้</p>
<p></p>
<p style="TEXT-ALIGN: center"><img title="Read to your kids at home and in the car." border="0" alt="Read to your kids at home and in the car." src="http://images.oprah.com/images/obc_classic/book/2009/kidsreadinglist/20090619-lead-example-284x218.jpg"/></p>
<p></p>
<p><strong>แค่นี้เอง ทำได้มั๊ยคะ</strong></p>
<p>วิธีการนี้จะเป็นการสอนให้เด็กรู้จักหามุมสงบหรือหาอะไรที่เหมาะสมทำ</p>
<p>เพื่อเป็นการผ่อนคลายอารมณ์ยามผิดหวัง ท้อแท้ เสียใจ</p>
<p>หรือแม้กระทั่งยามโมโหโกรธเคืองเรื่องใดก็ตาม</p>
<p>จะทำให้เด็กมีสติ รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองและรู้จักวิธีจัดการอารมณ์เชิงลบอย่างเหมาะสม</p>
<p>แล้วคุณจะก็สบายใจ สบายหูขึ้นนะคะ</p>
<p></p>
<p></p>
ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยการเล่านิทาน...
tag:go2pasa.ning.com,2010-02-28:2456660:BlogPost:199048
2010-02-28T15:39:34.000Z
mamychi
https://go2pasa.ning.com/profile/1643gq5yha8yz
<div id="content_only"><font color="green">นิทานพัฒนา EQ</font> EQ (Emotional Quotient) เป็นความฉลาดทางอารมณ์ ที่จะช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีความสุข (เข้าใจตนเอง + เข้าใจผู้อื่น + แก้ไขความขัดแย้ง) นิทานช่วยพัฒนา ภาษา ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการ เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม สานสายใยครอบครัว ปลูกฝังให้รักการอ่าน สนุกสนาน เพลิดเพลินและมีสมาธิ…</div>
<div id="content_only"><font color="green">นิทานพัฒนา EQ</font> EQ (Emotional Quotient) เป็นความฉลาดทางอารมณ์ ที่จะช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีความสุข (เข้าใจตนเอง + เข้าใจผู้อื่น + แก้ไขความขัดแย้ง) นิทานช่วยพัฒนา ภาษา ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการ เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม สานสายใยครอบครัว ปลูกฝังให้รักการอ่าน สนุกสนาน เพลิดเพลินและมีสมาธิ สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานนำไปสู่การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ที่เหมะสมในแต่ละช่วงวัยและจากสิ่งที่ได้อ่านได้ฟังยังใช้เป็นแนวทางที่จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ เพื่อให้เด็กอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเข้าใจและมีความสุข <img border="0" hspace="4" vspace="4" align="right" src="http://women.sanook.com/story_picture/m/15280_002.jpg"/><font color="#FF00FF">Q : เลือกนิทานอย่างไรให้ลูกรัก ?</font> <font color="green">A : เด็ก ๆ เรียนรู้จากการฟังและการอ่านนิทาน</font> ดังนั้นผู้ปกครองควรส่งเสริมให้เด็กๆได้ฟังหรืออ่านนิทานจากหนังสือที่เหมาะสมกับวัยเพื่อช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่ดีมีความฉลาดทางอารมณ์ และมีความสุข ขณะตั้งครรภ์ ควรเลือกหนังสือที่สนุกสนานโดยแม่ตั้งใจเล่านิทานให้ลูกน้อยในครรภ์ฟัง วัยแรเกิด - 1 ปี วัยนี้จะสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว ชอบมองของที่มีสีสวยงาม รู้สึกสนุกกับการค้นหา หนังสือที่เหมาะสมกับวัยนี้ ควรเป็นหนังสือที่มีรูปภาพเดี่ยวเหมือนจริง เช่น รูปสัตว์ ผลไม้ ฯลฯ ฉากหลังของภาพไม่รกรุงรัง วัย 2-3 ปี เป็นวัยอยากเรียนรู้สิ่งต่างๆ สนใจค้นหาชอบสำรวจสิ่งต่างๆ มีการพัฒนาทางภาษารวดเร็ว ชอบฟังบทกลอนสั้นๆ ใช้ภาษาง่ายๆ หนังสือที่เหมาะสมกับวัยนี้ ควรมีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน สัตว์ สิ่งของใช้ภาษาง่ายๆอาจเป็น บทกลอนหรือคำคล้องจอง วัย 4-5 ปี เด็กวัยนี้พูดเป็นประโยคยาวๆได้ ชอบตั้งคำถามทำไม อย่างไร ช่างสังเกต ช่างฝัน เริ่มมีจินตนาการ เล่นเป็นกลุ่มด้วยบทสมมติเป็น หนังสือที่เหมาะกับวัยนี้ ควรเป็นเรื่องที่ประสานกลมกลืน เนื้อเรื่องสนุก ใช้ภาษาแปลกๆ รูปภาพน้อยลงแต่รายละเอียดของภาพมากขึ้น วัย 6-7 ปี เด็กวัยนี้พูดได้ชัดเจน เล่าเรื่องต่างๆได้ยาว ชอบแสดงท่าทางประกอบหรือเลียนแบบ หนังสือที่เหมาะกับวัยนี้ ควรเป็นเรื่องสั้นๆ ใช้ภาษาง่ายๆ เนื้อเรื่องตลกขบขัน มีการสอดแทรกจริยธรรม วัย 8- 11 ปี เด็กวัยนี้จะเิ่มรู้จักคิดเป็นเหตุเป็นผล ชอบเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ มีสมาธิดีขึ้น หนังสือที่เหมาะกับวัยนี้ ควรเป็นหนังสือที่เขียนจากเรื่องจริง เช่น ประวัติบุคคลสำคัญ ความรู้รอบตัว ฯลฯ มีการสอดแทรกจริยธรรมในเนื้อเรื่อง วัย 12 15 ปี เด็กวัยนี้มีความคิดเป็นของตัวเอง เข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม บางครั้งสับสนกับบทบาทของตนเองชอบเลียนแบบสื่อที่ชอบ หนังสือที่เหมาะสมกับวัยนี้ ควรเป็นเรื่องที่ มีความหลากหลาย ซับซ้อน ที่สามารถคิดคาดเดาและท้าทายให้อยากรู้ต่อไป มีการสอดแทรกคุณธรรม และจริยธรรม</div>
<p></p>
ฝึกลูก: เป็นตัวของตัวเอง
tag:go2pasa.ning.com,2010-02-27:2456660:BlogPost:198413
2010-02-27T12:59:19.000Z
mamychi
https://go2pasa.ning.com/profile/1643gq5yha8yz
<p></p>
<p></p>
<div style="WIDTH: 240px; FLOAT: right; PADDING-TOP: 10px"><img alt="" height="340" src="/elctfl/rlga/imgstk/img4_345.jpg" width="240"></img></div>
<p><font size="2"><span class="smp_marine02"><strong>ฝึกลูก : เป็นตัวของตัวเอง</strong></span> <br></br><br></br>การดูแลฟูมฟักลูกรักให้เติบใหญ่ ใช่เพียงแต่จะให้ได้กินอาหารดีมีประโยชน์และการศึกษาดีเท่านั้นนะคะ หากอยู่ที่การสร้างความมั่นคงทางจิตใจให้ด้วย และหนึ่งในสิ่งที่จะเป็นกุญแจสำคัญก็คือ การสร้างความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งเริ่มได้ตั้งแต่อายุขวบสองขวบนี่เลยค่ะ …<br></br><br></br></font></p>
<p></p>
<p></p>
<div style="WIDTH: 240px; FLOAT: right; PADDING-TOP: 10px"><img alt="" src="/elctfl/rlga/imgstk/img4_345.jpg" width="240" height="340"/></div>
<p><font size="2"><span class="smp_marine02"><strong>ฝึกลูก : เป็นตัวของตัวเอง</strong></span> <br/><br/>การดูแลฟูมฟักลูกรักให้เติบใหญ่ ใช่เพียงแต่จะให้ได้กินอาหารดีมีประโยชน์และการศึกษาดีเท่านั้นนะคะ หากอยู่ที่การสร้างความมั่นคงทางจิตใจให้ด้วย และหนึ่งในสิ่งที่จะเป็นกุญแจสำคัญก็คือ การสร้างความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งเริ่มได้ตั้งแต่อายุขวบสองขวบนี่เลยค่ะ <br/><br/><strong><span class="smp_marine02"><strong>รู้ทฤษฎี ... เข้าใจลูก</strong></span></strong> <br/><br/>อีริกสัน นักจิตวิเคราะห์ชาวเดนมาร์ก แบ่งช่วงพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมของคนไว้ทั้งหมด 8 ระยะด้วยกัน โดยระยะที่หนึ่งถึงสามถือเป็นระยะเริ่มต้นที่สำคัญ อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ปี แต่ละระยะของพัฒนาการจะเน้นเกี่ยวกับพัฒนาการด้านอารมณ์ซึ่งอีริกสันบอกว่าหากแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการทางอารมณ์อย่างสมบูรณ์ช่วงต่อไปก็จะดีตาม แต่หากบกพร่องก็จะเกิดผลกระทบส่งต่อความบกพร่องไปยังช่วงอื่นๆ ด้วยเช่นกัน <br/><br/>ในช่วงอายุ 1-3 ปีนั้นถือเป็นช่วงของการความเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy) ด้วยพัฒนาการทางอารมณ์ที่ลูกเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเอง พูดได้ เดินได้ กินได้เอง กำลังสนุกอยู่กับการทดลองที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง แถมยังเพลิดเพลินกับการทดสอบอารมณ์ของพ่อแม่ด้วยการแผลงฤทธิ์ วีน เอาแต่ใจ ดื้อสารพัด เรียกว่าความป่วนทั้งหลายพร้อมใจมารวมตัวกันในวัยนี้ แต่ในขณะเดียวกันช่วงอายุ 1-3 ปีก็เป็นวัยที่เหมาะกับการบ่มเพาะความเป็นตัวของตัวเองให้งอกงามเติบโตในตัว ซึ่งถือเป็นการเตรียมการเพื่อสร้างพฤติกรรมที่เหมาะสมในอนาคต ซึ่งเรื่องนี้ต้องอาศัยความเข้าใจและความอดทนของคุณพ่อคุณแม่ที่จะสร้างความเป็นตัวของตัวเองที่พอเหมาะพอควรให้ลูกด้วยค่ะ <br/><br/><strong><span class="smp_marine02"><strong><span class="smp_red"><strong><span class="smp_marine02"><strong>"3 ไม่ " ขัดขวาง</strong></span></strong></span></strong></span></strong> <br/></font><font size="2"><span class="smp_marine02"><strong>ไม่ให้ทำเอง <br/></strong></span><br/>"ลูกไม่ต้อง ... แม่ทำเอง" ถ้าคุณเลี้ยงลูกให้เป็นเจ้านายในบ้าน แล้วตัวเองตามเป็นนางสนองพระโอษฐ์ คอยป้อนข้าว ป้อนน้ำ ไม่ยอมให้หยิบจับอะไรทั้งนั้น ดูแลลูกเหมือนกับเป็นเด็กเล็กๆ ตลอดเวลา <br/><br/><strong><span class="smp_marine02"><strong><em>แบบนี้ดีกว่า : "ปล่อยทำอะไรเอง"</em></strong></span></strong> <br/><br/>การได้จับช้อนกินข้าว ดื่มน้ำจากแก้ว เดินไปเก็บจานเอง ไม่มีเด็กคนไหนไม่ชอบหรอกค่ะ วัยนี้ชอบอยู่แล้วที่ได้เลียนแบบผู้ใหญ่ การช่วยเหลือลูกเกินไปทำให้เขาขาดประสบการณ์ ไม่ได้ฝึกฝน จึงขาดความมั่นใจที่จะทำ ในที่สุดก็เลยไม่ยอมทำอะไรเพราะคิดว่าทำได้ไม่ดีพอ <br/><br/><span class="smp_marine02"><strong>ไม่ให้ลองเล่น</strong></span> <br/><br/>"อย่าเล่นทรายลูก ใส่รองเท้าด้วยเดี๋ยวโคลนเลอะเปื้อนดิน" ฯลฯ เรียกว่าสกปรกนิดหน่อยเป็นไม่ได้ เรื่องที่จะปล่อยให้เล่นลุยมอมแมมไม่มีทางแน่ <br/><br/><strong><span class="smp_marine02"><strong><em>แบบนี้ดีกว่า : "ปล่อยให้เล่น ให้ลอง"</em></strong></span></strong> <br/><br/>บางทีการที่ลูกเล่นแผลงๆ กระโดดลงจากเตียง ปีนโต๊ะกินข้าว วิ่งหกล้มหัวคมำบ้างก็เป็นความซนเฉพาะวัย (แต่ต้องมั่นใจว่าพ่อแม่อยู่ด้วยปลอดภัยและไม่อันตรายร้ายแรง) จะช่วยให้ลูกกล้าคิด กล้าตัดสิน และกล้าลงมือ แล้วการที่จะสกปรก เลอะเทอะ หรือเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ จะเป็นบทเรียนให้ลูกได้เรียนรู้ว่าครั้งหน้าจะไม่ทำและระวังตัวมากกว่านี้ แถมการเล่นแผลงๆ บ้างก็เป็นการคิดอะไรใหม่ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างและกระตุ้นจินตนาการฝึกความคิดสร้างสรรค์ให้ลูกได้ดีทีเดียว การปล่อยให้ลูกทำเองโดยแม่คอยดูอยู่ห่างๆ จะทำให้ลูกรู้จักคิดที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง เสียงร้องห้ามทุกครั้งของผู้ใหญ่จะทำให้ลูกคิดว่าเขาเป็นคนไม่มีความสามารถ ไม่กล้าตัดสินใจ และไม่กล้าลงมือทำในที่สุด <br/><br/><strong><span class="smp_marine02"><strong>ไม่ให้ นอกกรอบ</strong></span></strong> <br/><br/>"อ๊ะๆ อย่าซนลูก อย่ากระโดดแบบนั้น" ห้ามเล่นทุกอย่างที่นอกลู่นอกทาง ลูกต้องอยู่ในกรอบหรือสิ่งที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้ จะเล่นได้เพียงตัวต่อเลโก้ในบ้าน ห้ามลอง ห้ามจับ ของเล่นแปลกใหม่ที่ (แม่) ไม่คุ้นตา <br/><br/><strong><em><span class="smp_marine02"><strong><em>แบบนี้ดีกว่า : "ปล่อยให้เลือก ได้ตัดสินใจ"</em></strong></span></em></strong> <br/><br/>การเพิ่มตัวเลือกให้ลูก(แต่เราอาจกำหนดขอบเขตตัวเลือกให้ได้)จะช่วยให้ได้ฝึกคิด รู้จักเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง เช่น ก่อนจัดเสื้อผ้าให้ลูกในแต่ละวันอาจลองถามว่าลูกอยากใส่ตัวไหน หรือเลือกของเล่นเอง เลือกแบ่งของเล่นให้เพื่อนเล่นด้วย เมื่อลูกเลือกแล้วต้องยอมรับและสนับสนุนความคิดลูกด้วยนะคะ ถ้าให้ลูกเลือกแต่ไม่ยอมรับความเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือครั้งต่อไปลูกจะไม่กล้าเลือก สูญเสียความมั่นใจและรู้สึกไม่เป็นที่ยอมรับ <br/><br/><strong><span class="smp_red"><strong>Parent Guide</strong></span></strong> <br/>* การเลี้ยงดูของพ่อกับแม่ต้องไปทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อต้องตัดสินหรือเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง(สรุปกันเสียก่อนที่จะคุยกับลูกเป็นวิธีที่จะทำให้ลูกไม่สับสนต่อความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันของพ่อแม่) <br/><br/>* รัก เอาใจใส่และเข้าใจพัฒนาการที่เหมาะตามวัยเพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้ถูกทาง <br/><br/>* สนับสนุนและกระตุ้นให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเองอย่างเหมาะสมกับวัย อย่ายัดเยียดและเผลอคิดว่าลูกเป็นเด็กทารกอยู่ตลอดเวลาหรือลูกเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ <br/><br/>* ไม่ควบคุมหรือไม่ช่วยเหลือลูกมากเกินไป จนทำให้ลูกกลายเป็นลูกแหง่ทำอะไรเองไม่เป็น ซึ่งจะส่งผลเสียเมื่อลูกโตขึ้นจะทำให้เข้ากับเพื่อนลำบาก เมื่อไม่เป็นที่ยอมรับในกลุ่ม ความกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองของลูกก็จะถดถอยลงไปด้วย <br/><br/>* คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องแข็งขืนขัดใจลูกหรือโอนอ่อนยอมตามใจลูกบ้าง เรื่องนี้ต้องหาจุดกึ่งกลางสมดุลให้เหมาะสม และต้องพิจารณาการยอมหรือไม่ยอมตามใจลูกโดยยึดพื้นฐานความถูกต้อง ปลอดภัย ร่วมกับสถานการณ์ที่เป็นจริงในขณะนั้นประกอบกัน <br/><br/><strong><span class="smp_marine02"><strong>เอาแต่ใจ VS เป็นตัวของตัวเอง</strong></span></strong> <br/><br/>นายแพทย์ดุสิต ลิขนะพิชิตกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ ได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของพฤติกรรมทั้งสองนี้ว่า "พฤติกรรมการเอาแต่ใจกับการเป็นตัวของเองเป็นเส้นบางๆ ที่เกือบจะแยกกันไม่ออกสำหรับเด็กวัย 1-3 ปี แต่จุดที่แตกต่างกันก็คือ การเอาแต่ใจจะเป็นพฤติกรรมที่ทำตามอารมณ์ส่วนการเป็นตัวของตัวเองจะมีแบบแผนพฤติกรรมที่ชัดเจน เช่น หากเด็กเอาแต่ใจถูกบังคับอาจจะทำตามบ้างหรือไม่ทำตามแล้วแต่อารมณ์ ขณะที่เด็กที่เป็นตัวของตัวเองจะไม่ทำอย่างชัดเจนซึ่งเราจะเห็นรูปแบบนี้การปฏิเสธในครั้งต่อไปอย่างเป็นแบบแผนและมีสไตล์ของตัวเอง"</font></p>
<p></p>
<p></p>
<table style="WIDTH: 637px; HEIGHT: 83px" border="1" cellspacing="1" summary="" width="637">
<tbody><tr><td><p align="center"><strong><font size="2">เป็นตัวของตัวเองมากไป</font></strong></p>
</td>
<td><p align="center"><strong><font size="2">ไม่เป็นต้วของตัวเอง</font></strong></p>
</td>
</tr>
<tr><td><p align="left"><font size="2">- มั่นใจในตัวเองซึ่งอาจจะทั้งเรื่องดีและไม่ดี</font></p>
<p align="left"><font size="2">- ไม่รับฟังความคิดเห็นเพื่อนๆ หรือที่เรียกเอาแต่ใจ</font></p>
<p><font size="2">- ช่างเลือกยึดติดกับสิ่งที่ตัวเองมี ถ้าไม่ได้ก็จะโวยวายเอาให้ได้</font></p>
</td>
<td><p><font size="2">- ไม่มั่นใจ ไม่กล้าตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองไม่รู้จัก</font></p>
<p><font size="2">กาลเทศะเพราะพ่อแม่ไม่เคยห้าม</font></p>
<p><font size="2">- ทำตามเพื่อนทุกอย่างไม่กล้าแสดงความคิดเห็น</font></p>
<p><font size="2">- คิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถไม่มีสิทธิ์เลือกจนดูเป็นเด็กนิ่งเฉย</font></p>
</td>
</tr>
</tbody>
</table>
ไม่จบนอก...ก็สอนลูกspeak Englishได้....
tag:go2pasa.ning.com,2010-02-27:2456660:BlogPost:198354
2010-02-27T11:00:00.000Z
mamychi
https://go2pasa.ning.com/profile/1643gq5yha8yz
<p>ผ่านไปกว่า6ด. กับพัฒนาการของน้องโตชิ ก็มีทีท่าดีขึ้นเรื่อยๆๆๆๆๆๆ แรกเริ่ม</p>
<p>ก็ไปซื้อหนังสือ"เด็ก2ภาษาพ่อแม่สร้างได้" มาอ่าน พออ่านจบเราก็เริ่มเลย</p>
<p>ซึ่งตอนนั้นโตชิเพิ่งจะ 1ขวบ3ด. แต่ลูกก็พูดไทยได้หลายคำแล้ว เราเลยแทรก</p>
<p>พูดอังกฤษกับลูก ซึ่งลูกก็พูดตาม แต่เค้าคงยังไม่เข้าใจหรอก คิดว่าแม่คงพูดกับเขา</p>
<p>เหมือนภาษาไทยมั้ง หลังจากนั้นก็ค่อยๆๆเพิ่มทีละประโยค พูดกับเขาให้บ่อย</p>
<p>เท่าที่เราจะทำได้ การตื่นนอน อาบน้ำ กินข้าว ซึ่งลูกก็ซึมซับสำเนียงทุกวัน</p>
<p>หาDVD…</p>
<p>ผ่านไปกว่า6ด. กับพัฒนาการของน้องโตชิ ก็มีทีท่าดีขึ้นเรื่อยๆๆๆๆๆๆ แรกเริ่ม</p>
<p>ก็ไปซื้อหนังสือ"เด็ก2ภาษาพ่อแม่สร้างได้" มาอ่าน พออ่านจบเราก็เริ่มเลย</p>
<p>ซึ่งตอนนั้นโตชิเพิ่งจะ 1ขวบ3ด. แต่ลูกก็พูดไทยได้หลายคำแล้ว เราเลยแทรก</p>
<p>พูดอังกฤษกับลูก ซึ่งลูกก็พูดตาม แต่เค้าคงยังไม่เข้าใจหรอก คิดว่าแม่คงพูดกับเขา</p>
<p>เหมือนภาษาไทยมั้ง หลังจากนั้นก็ค่อยๆๆเพิ่มทีละประโยค พูดกับเขาให้บ่อย</p>
<p>เท่าที่เราจะทำได้ การตื่นนอน อาบน้ำ กินข้าว ซึ่งลูกก็ซึมซับสำเนียงทุกวัน</p>
<p>หาDVD ที่ในหนังสือแนะนำ มาเปิดให้เขาคุ้นสำเนียง เปิดMommy & Me</p>
<p>ซึ่งเขาก็ชอบ จนปัจจุบันก็สามารถร้องเพลงได้หลายเพลง ซึ่งทำให้เราภูมิใจ</p>
<p>นะ ถึงร้องได้ไม่จบ เวลาลูกร้องเราก็จะร้องไปกับลูกด้วย และก็คอยชม</p>
<p>ว่า very good that's good ...... เขาก็จะยิ้มรับ .......และก็พยายามร้องตาม</p>
<p>ที่บ้านเลยร้องเป็นไปกับลูกด้วยเลย เพราะลูกจะให้เปิดบ่อย</p>
<p>มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราก็บอกลูกเป็นไทยว่า "อันนี้เล่นไม่ได้นะ มันอันตราย"</p>
<p>ลูกก็พูดออกมาเลยทันทีว่า" แม่เจน don't do like that นะ เราก็เออเฮ้ยลูกจำได้</p>
<p>เลยทำให้พูดไทยกับลูกให้น้อยลง พูดอังกฤษให้มากขึ้น ให้เขามีคลังคำศัพท์</p>
<p>เยอะๆๆ อย่างเวลาลูกจะอยากกินขนม แม่ก็จะไม่แกะให้ ก็จะบอกว่า</p>
<p>Mommy : you should say that.......</p>
<p>Tochi : open to me pls.....</p>
<p>เวลาเขาเห็นchocolate บนโต๊ะ ก็อยากจะกิน เราก็จะพูดขึ้นต้นให้</p>
<p>Mommy : I want........</p>
<p>Tochi : I want to eat this...ชี้ไปที่บนโต๊ะ</p>
<p>ทุกวันนี้คำที่ติดปากลูก ก็คือ drink milk sleepy พร้อมกับเปิดนมแม่ด้วย</p>
<p>ละเมอก็พูดคำนี้ เราก็แอบขำไม่ได้อ่ะ.......</p>
<p>หรือถ้าอยากจะพูดกับลูกแบบนี้ ไม่รู้ว่าใช้ศัพท์แบบไหน ประโยคใด</p>
<p>ก็เข้าไปที่ห้องEng ได้ตลอด ก็มีครูใจดีหลายท่านมาช่วย</p>
<p>ตอบให้ด้วย เนี่ยแหละคะ ไม่จบนอก แม่ก็สอนลูกฟุดฟิตฟอไฟได้นะ</p>
<p>จริงไหม๊หละคะ ^--^</p>
<p></p>
<p></p>
<p></p>
<p></p>