เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม

 

ภาษาอังกฤษ! เปรียบเสมือนยาขมหมอใหญ่จริงหรือ หลายๆคนเรียนมาตั้งแต่อนุบาล ถึงมหาวิทยาลัยยังไม่สามารถที่จะสื่อสารได้?

ต้องขอออกตัวก่อนว่า ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรือเก่งด้านภาษาอังกฤษมากๆแต่อย่างใด
เพียงแต่ได้ศึกษาเรียนรู้ข้อมูล ตลอดจนวิธีการ แนวทางจากหลายๆแหล่ง ประกอบกับได้มีส่วนร่วมในการ
ส่งเสริมและพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษให้กับลูกๆที่บ้าน อายุ 7 และ 14 ปี
หลังจากได้ช่วยกันทดลองทำ ผิดบ้าง ถูกบ้าง ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง
สุดท้ายแล้วก็เกิดผลของการพัฒนาที่ดีขึ้นจนน่าพอใจ น่าประหลาดใจเลยทีเดียว
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นได้ยึดถือหลักในการเรียนรู้ภาษาแบบตามธรรมชาติของมนุษย์ในการเรียนรู้ภาษา
พอจะสรุปได้ออกมาเป็น English Skill Development Model ดังนี้

- แยกขั้นตอนของการพัฒนาทักษะภาษอังกฤษออกเป็น 3 ขั้นตอน ตามทักษะที่เพิ่มขึ้นและจำเป็นก่อน-หลัง

- แยกออกเป็น 4 ทักษะในการพัฒนาคือทักษะด้านการฟัง การอ่าน การพูด การเขียน

- STEP 1 จะเน้น 2 ทักษะพื้นฐานก่อน คือการฟังและการอ่าน เพราะจะเป็น
การเก็บสะสมข้อมูลเข้าไปในสมอง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล รูปประโยค คำศัพท์ การออกเสียง สถานการณ์ในการใช้

- STEP 2 หลังจากทำ STEP 1 จนมีข้อมูลด้านภาษาเพียงพอในระดับหนึ่งแล้ว
ซึ่งไม่สามารถกำหนดได้ว่า ในแต่ละขั้นตอนนั้นจะใช้เวลาเท่าใด เพราะขึ้นอยู่กับ
พื้นฐานด้านภาษา อายุ การเรียนรู้ ของแต่ละคน ขั้นตอนนี้จะเพิ่มทักษาด้านการพูด
เพิ่มเข้ามา ในขั้นตอนนี้จะสามารถสื่อสารได้แล้ว จะข้อมูลที่ได้เก็บสะสมมาใน STEP 1

- STEP 3 เมื่อผ่านมา 2 ขั้นตอนแล้ว จะมีความพร้อมทั้งหมด 3 ทักษะแล้วคือ การฟัง การอ่าน การพูด
ขั้นนี้ จะเพิ่มทักษา การเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นน้อยที่สุด ในการติดต่อสื่อสารแบบต่อหน้า แต่เป็นทักษะ
ที่ยากที่สุดในการพัฒนา

สิ่งที่สำคัญคือ
1. ในแต่ละขั้นตอนจะต้องมีการเพิ่มความยากขึ้นไปด้วย จะทำให้เกิดการพัฒนาทักษะด้านนั้นๆเพิ่มมากขึ้น
2. ในการพัฒนาแต่ละทักษะและแต่ละขั้นตอนจะต้องทำอย่างต่อเนื่องและเป็นประจำ ถึงจะเห็นผลในการพัฒนาที่ดีขึ้น
3. ระยะเวลาในแต่ละขั้นตอน ไม่สามารถกำหนดตายตัวได้ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานด้านภาษา อายุ การเรียนรู้ ของแต่ละคน
4. รูปแบบการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษนี้สามารถใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย เพียงแต่จะแตกต่างกันด้านสื่อที่ใช้และระยะเวลาในการพัฒนา

สิ่งที่ไม่ควรกังวล
1. Grammar และ หลักการใช้ภาษาต่างๆ เพราะจริงๆแล้วการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ควรอยู่หลังจากที่เราได้เก็บสะสมข้อมูล รูปประโยค คำศัพท์ การออกเสียง สถานการณ์ในการใช้
แล้ว ถึงมาเรียนรู้หลักภาษาจะทำให้เข้าใจมากขึ้น
2. คำศัพท์ ไม่จำเป็นต้องท่องจำ หากเราพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพิ่งตามลำดับความยากง่าย เราจะรู้ศัพท์ไปในตัวโดยอัตโนมัติ เพราะหากเรารู้ศัพท์เยอะๆแต่ไม่สามารถนำมาผูกประโยค
หรือใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการได้ ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด
3. Phonics หรือการออกเสียง ถามว่าจำเป็นหรือไม่ ก็คงไม่จำเป็นในอันดับต้นๆ เพราะการออกเสียงที่ถูกต้องจะทำให้คนฟังเจ้าของภาษา ฟังออกง่าย
เหมือนกับคนต่างชาติพูดภาษาไทยไม่ชัดคือ Phonics ภาษาไทยไม่ถูกต้อง แต่เราก็ยังฟังออกได้ แต่หากจะฝึกควรฝึกตั้งแต่เด็กๆ

จริงๆแล้วในแต่ละทักษะหรือขั้นตอน จะมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกพอสมควร เอาเป็นว่าอยากให้มองเห็นเป็นภาพรวมก่อน
และถ้าหากมีโอกาสจะนำเสนอในรายละเอียดต่อไป

หวังว่าคงจะพอเป็นประโยชน์บ้างกับผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษทุกๆคนนะครับ

Views: 958

Comment

You need to be a member of หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ to add comments!

Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

Comment by แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ on October 10, 2013 at 10:47pm

คำถามของผมที่ผ่านมา ผมไม่ได้บอกว่า ไม่เห็นด้วย หรือชื่นชม หรือคัดค้าน โมเดลนี้นะครับ

คุณแม่คุณพ่อใจเย็นๆนะครับ เรามามองในมุมเดียวกันซะก่อน เพราะต่างคนก็ต่างบริบท ต่างก็ใช้วิธีที่ต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของตนเอง (และเพื่อลูกๆที่เรารัก)

ผมไม่ได้โต้เถียงกันว่าโมเดลนี้ถูกหรือผิดนะครับ แต่ที่ผมถามไปก็เพื่อที่พ่อแม่ท่านอื่นๆจะได้ลองคิดตามด้วย เพราะจะได้เลือกวิธีที่เหมาะกับลูกของตนเองอย่างที่ว่านั่นแหละครับ

สำหรับผมนะ (อย่าโกรธกันนะครับ) พูดกันตรงๆนะครับ ผมคิดว่าโมเดลนี้ควรใช้กับเด็กโตที่กำลังเรียนภาษาที่สองครับ ส่วนถ้าเป็นการสอนเด็กสองภาษาแบบธรรมชาติต้องใช้หลักการณ์เดียวกันกับแบบที่เราเรียนรู้ภาษาไทยตั้งแต่สมัยเราเป็นเด็กทารก คือ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ครับ

อันนี้แค่ตามความคิดผมเท่านั้นนะ  ไม่ทราบว่าคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นๆจะคิดเหมือนกันรึเปล่าหรือคิดเห็นเป็นประการใด

Comment by คุณแม่น้อง silvana & valentino on October 10, 2013 at 5:28pm

ก็น่าจะใช่นะคะคุณแม่หนิกพ่อเติ้ล  step 1 ฟัง อ่าน    อ่านในที่นี่หมายถึงพูดและอ่านให้เด็กฟังมากกว่าไม่ใช่เน้นให้เด็กอ่านเอง   เหมือนเราพูดอ่านนิทานให้เด็กฟัง เด็กก็จะจำได้น่าจะเป็นประมาณนั้น พูดอ่านให้เด็กฟังบ่อย ๆ เด็กก็จะจำรูปแบบได้และก็เก็บสะสมข้อมูลเข้าไปในสมอง    และหลังจากนั้นเด็กก็จะพูดตามได้เป็น step 2 ตามมา สามารถเล่านิทานให้เราฟังได้ ตามประสบการณ์ที่สอนลูกมาก็เป็น step อย่างนี้จริง ๆ 

Comment by vittaya maboontham on October 6, 2013 at 9:34am

ขอบคุณ คุณแม่น้องมีนาพี่ธันว์ ที่มาช่วยเพิ่มเติมให้ ขอบคุณ แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ ที่ร่วมแสดงความคิดเห็นครับ

รูปแบบ/ความพร้อมแต่ละครอบครัวแตกต่างกันจริงๆครับ แต่เป้าหมายของพวกเราเหมือนกันครับคือ พัฒนาเด็กๆของเรารักและเก่งภาษาอังกฤษ

ดังนั้นวิธีการต่างๆที่แนะนำไม่ว่าจะจากหนังสือ/อินเทอร์เน็ตหรือสื่อต่างๆ อาจไม่เหมาะกับครอบครัวเรา

เราคงไม่เอาหนังสือมากางทำตามขั้นตอนแบบนั้น ไม่ทำตามแบบผู้รู้ทุกๆขั้นตอน

สิ่งที่ดีที่สุดคือ การนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทในครอบครัวของเราครับ

ผมขอสรุปนะครับ...สิ่งสำคัญเริ่มแรกจริงๆที่จะทำให้การฝึกพัฒนาด้านภาษาประสบความสำเร็จคือ

ต้องทำให้เค้าชอบ/รักภาษานั้นๆก่อน ทำอย่างไร ให้ภาษานั้นๆเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเค้า

เราก็จะเริ่มจากการ์ตูนที่สนุกๆ หนังสือที่สนุกๆ เหมือนกับหลอกล่อให้เค้าติด...ประมาณนั้น

พอเค้าเริ่มติด อย่างหนังสือ Floppy เด็กๆก็ชอบ เราก็ให้เค้าอ่าน และหนังสือก็มีระดับความง่าย->ยาก ก็เป็นการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น ต่อไปยังหนังสือระดับยากๆขึ้นไปอีก ... พื้นฐานเหล่านี้ผมรวมว่าเป็นการเก็บสะสมข้อมูลด้านภาษาครับ พอเค้าเก็บข้อมูลเข้าไปมากๆ แล้วเราจะเห็นมันพรั่งพรูออกมามากมาย ทั้งจากสิ่งที่ให้เค้าลองพูดเล่าเรื่อง หรือแต่งเรื่อง ตามจินตนาการ เค้าก็ทำใด้หมดครับ

Comment by แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ on October 5, 2013 at 1:06am

อืม..เข้าใจแล้วครับ

เห็นด้วยครับที่แต่ละบ้านสถานการณ์แวดล้อมไม่เหมือนกัน เพื่อลูกเราเราก็หาวิธีที่เหมาะสมปรับใช้กันไปครับ

ที่ผมชอบมาอ่านความเห็นจากคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นๆก็เพราะอย่างนี้แหละครับ

ขอบคุณมากครับ

Comment by น้องมีนา on October 4, 2013 at 3:52pm

มาอธิบายแทน คุณพ่อน้องธันว์ กะ น้องมีนานะค่ะ เป็นคุณแม่ของเด็กๆ ค่ะ

Model ที่คุณพ่อเค้าเขียนมา เราเริ่มทำก่อนที่จะรู้จัก 2pasa ค่ะ ยอมรับว่าตอนนั้น ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการสอนภาษาอังกฤษให้กับลูก คิดว่าลูกได้เรียนในโรงเรียนดีๆ วันหยุดก็ไปเรียนเสริมสถาบันชื่อดัง คิดว่าลูกคงได้รับมาอย่างเต็มที่

 

ลูกชายคนโต ตอนนั้นอยู่ ป.4 ลูกชายอ่านภาษาอังกฤษแทบไม่ได้ เราเลยหาวิธีตอนแรกให้เรียนพิเศษหลังเลิกเรียน กับคุณครูคนไทย  ไม่ได้ผลค่ะ คุณครูเน้นสอนแกรมม่า ให้ทำแบบฝึกหัด

เราเลยคิดว่าการอ่าน จะทำให้ลูกชายได้คำศัพท์เพิ่มขึ้น เลยใช้หนังสือ ซึ่งได้ผล แล้วก็เริ่มเสริมด้วยสื่ออื่นๆ อย่างที่คุณพ่อเค้าอธิบาย วิธีนี้อาจจะช้าหน่อย เพราะลูกชายกว่าจะเห็นผล ก็ประมาณ ป.6 - ม.1 ค่ะ

 

ส่วนลูกสาวคุณแม่ได้รู้จัก 2pasa ตอนน้องมีนา 3-4 ขวบ ที่จริงเราใช้วิธีเดียวกับพี่เค้า โดยให้เค้าได้สัมผัสหนังสือมาก่อนแล้ว แต่ต้องยอมรับครอบครัวเราไม่มีใครเก่งเรื่องภาษาอังกฤษ คุณพ่อพอได้บาง พูดคุยกะคนต่างชาติได้บ้าง คุณแม่ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ศูนย์ การที่จะพูดคุยกับน้องแบบ 100 % เราทำไม่ได้ แต่ทุกวันนี้กับลูกสาวคุณแม่จะใช้ภาษาอังกฤษกับน้องเท่าที่จะทำได้  ซึ่งยอมรับเลยว่าพอน้องเข้าเรียนปฐม การพูดคุยอังกฤษลดลงไปมาก ไม่เหมือนตอนน้องอยู่อนุบาล ไหนจะเรื่องเรียน เรื่องความประพฤติ สิ่งที่เค้าสนใจที่เราจะต้องอธิบาย หนังสือคุณบิ๊คก็เขียนไว้ว่า ให้ทำด้วยความสนุก ไม่เครียด   แต่ยอมรับเลยว่าเรื่องเครียดห้ามไม่ได้ค่ะ ก็คุณลูกพัฒนาไปเร็วมาก แม่ตามไม่ทัน

 

ตอบ แม่หนิกพ่อเติ้ลฯ เรื่อง Phonics

คุณพ่อเค้าบอกว่าไม่ต้องกังวล  ไม่ใช่ว่าไม่ใส่ใจค่ะ  เราให้ความสำคัญ Phonics เหมือนกันค่ะ แต่ลูกชายคนโตไม่ได้สอนค่ะ เค้ามีวิธีการเลียนแบบจากหนัง เพลง การสื่อสารเค้าเลยไม่ติดขัด เค้ามีวิธีการเรียนรู้ของเค้าเอง  แต่ลูกสาวคนเล็กคุณแม่สอนค่ะ แต่ยอมรับเลยนะค่ะ บางทีเราสอนเรายังออกเสียงไม่ถูก ต้องอาศัย DVD ดูคลิปเยอะๆ คุณแม่ออกเสียงยังไม่ชัดเท่าลูกสาว ทุกวันนี้บางคำลูกสาวสอนค่ะว่าแม่ออกเสียงไม่ถูกต้อง ตัว R L TH เราต้องฝึกอย่างหนัก แต่ลูกสาวเค้าหัดมาแต่อนุบาล ตัว R เค้าออกเสียงได้ก่อนตัว ร อีกค่ะ ร นี้มาได้ตอน ป.1 เอง

 

ทุกอย่างที่กล่าวมา บางคนอาจจะไม่เห็นด้วย  แต่จุดหมายของแต่ละครอบครัว คืออยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ 

ซึ่งแต่ละบ้านอาจจะใช้วิธีที่ไม่เหมือนกัน ลองค้นหาข้อมูลแล้วนำมาปรับใช้กันดูนะค่ะ

 

อ๋อ อีกอย่างหนึ่ง เรื่องวินัยค่ะ  ไม่ใช่เฉพาะคุณลูกนะค่ะ คุณพ่อคุณแม่ ต้องมีวินัยด้วยเช่นกัน

คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษ แต่ไม่ค่อยพูดกับลูก แล้วลูกจะพูดได้อย่างไร

คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ แต่คุณพ่อคุณแม่ ไม่ยอมอ่านกับลูก แล้วลูกจะยอมอ่านไหม

คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกดูการ์ตูนอังกฤษ  แต่คุณพ่อคุณแม่ยังดูทีวีไทย แล้วลูกจะดูไหม

Comment by แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ on October 4, 2013 at 2:21pm

เอ แต่ผมว่า Phonics จำเป็นในอันดับต้นๆเลยนะ เพราะว่าการที่เราพูดให้ชัดมันคือการที่ลูกเรารับไปชัด(ฟังสิ่งที่ถูกต้องชัดเจน) เมื่อฟังชัด ความสามารถเรื่องการเลียนแบบของเด็กจะเป็นไปอย่างถูกต้องเช่นกัน
หรือว่าผมเข้าใจผิด ใครก็ได้ช่วยอธิบายด้วยนะครับ

Comment by แม่หนิกพ่อเติ้ลพี่เนลโลน้องเนรัญ on October 4, 2013 at 2:12pm

เอ .. STEP 1 "ฟัง อ่าน" หรอครับ
แต่ที่เคยไปฟังคุณบิ๊กๆบอกว่าหลักการเรียนรู้ธรรมชาติต้อง ฟังกับพูด นี่นา
อ่านมันน่าจะคู่กับเขียนนะ และตามข้อเท็จจริงที่เราโตกันมาก็ฟังกับพูดเป็นก่อนจะอ่านออกเขียนได้
หรือว่าผมเข้าใจผิด ช่วยอธิบายด้วยครับ

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service