เว็บทั้งหมดจะย้ายไปที่ www.2pasa.com แล้วนะครับ ตามไปที่นั่นได้เลย

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ - สองภาษาดอทคอม

อย่าเขย่าลูก! (Never Shake the Baby!) ตอนที่ 1: ข้อคิดจากคุณแม่ผู้ก่อตั้งมูลนิธิกำเนิดสุขแห่งประเทศไทย

น้องบิ๋มเป็นเพื่อนรุ่นน้องของดิฉันค่ะ จากเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นกับลูกสาว น้องบิ๋มได้เขียนบันทึกนี้ขึ้นเพื่อเตือนสติพ่อแม่ผู้ปกครองให้ระมัดระวังในการเขย่าเด็กทารกด้วยอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ... ลองอ่านดูนะคะ

 

บันทึกรักกำเนิดสุข ตอนที่ 1 :  ของขวัญจากฝากฟ้า

เขียนโดย: บุษบรรณ (สินธุเสก) นพวงศ์ ณ อยุธยา (บิ๋ม)

22 ตุลาคม 2551

พริมลูกรักของแม่ 

พริมจ๋า  อีก 3-4 สัปดาห์แม่ก็จะได้เห็นหน้าหนูแล้วนะจ๊ะ  ทั้งคุณพ่อและพี่ปรางก็ตื่นเต้นอยากเจอหนูมากๆเลยรู้มั๊ย  วันนี้แม่มาพบคุณหมอตามนัดหมาย ช่วงนี้คุณหมอนัดแม่ถี่ขึ้นเรื่อยๆเมื่อเริ่มย่างเข้า    ไตรมาสสุดท้าย คราวนี้คุณหมอขอตรวจอัลตราซาวด์อีกครั้งหนึ่ง คุณหมอบอกว่าแม่มีแคลเซี่ยมเกาะรก(อีกแล้ว)  ซึ่งเจ้าภาวะแคลเซี่ยมเกาะรกเนี่ยมันจะทำให้ลูกได้รับสารอาหารจากแม่ไม่เต็มที่  คุณหมอแนะนำแม่ว่าควรให้หนูออกมาช่วงนี้ดีกว่า เพราะถ้าหนูอยู่ต่อไปอีกซัก 2-3 สัปดาห์คงไม่ทำให้หนูน้ำหนักขึ้นไปจากนี้เท่าไหร่  พ่อกับแม่ตัดสินใจทำตามที่คุณหมอแนะนำ   ก็คงจะเหมือนกับคราวที่แล้วนั่นแหล่ะที่คุณหมอแนะนำให้แม่คลอดพี่ปรางก่อนเพราะแม่มีแคลเซี่ยมเกาะรกเนี่ยแหล่ะจ้ะ  คุณหมอบอกว่าถ้าพ่อกับแม่ไม่ได้ดูฤกษ์ผ่าท้องไว้  คุณหมอขอนัดแม่ผ่าท้องคลอดในวันรุ่งขึ้น ตอน 6 โมงเช้าเลย  พ่อกับแม่ไม่มีปัญหาอะไร  แม่รีบกลับบ้านไปเตรียมตัวในช่วงบ่ายแล้วกลับมาพักที่โรงพยาบาลในค่ำวันนั้น  กลางดึกคืนนั้น คุณพยาบาลคนสวยเข้ามาบอกแม่ว่าคุณหมอวิสัญญีแพทย์จำเป็นจะต้องขอเลื่อนนัดผ่าท้องคลอดเป็น 9 โมงเช้า เนื่องจากมีเคสคนไข้หนักที่คุณหมอต้องดูแลในช่วงเช้าอีกราย  ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่มีปัญหาอะไรเช่นเคย  แม่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ หลับตาทีไรใจนึกถึงหน้าหนูทุกที  พรุ่งนี้เช้าแล้วซินะที่เราจะได้เจอกัน

วันนี้เราจะได้เจอกันแล้วนะลูก ทันทีที่แม่ได้ยินเสียงของหนูและเห็นหน้าหนูในห้องผ่าตัดเพียงชั่วครู่  น้ำตาแห่งความปลื้มปิติก็ไหลอาบแก้มแม่แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว หนูช่างน่ารักเหลือเกินจ้ะ หลังจากแม่พักฟื้นอยู่ที่ห้องพักได้ไม่นาน  คุณหมอบอกแม่ว่าต้องให้หนูอยู่ในตู้อบและงดให้นมหนูก่อน เนื่องจากระบบย่อยอาหารของหนูยังทำงานไม่ดีนัก ก็ตอนั้นหนูเพิ่งจะ 35 สัปดาห์กว่าๆเอง คุณหมอจะต้องใช้ช้อนให้นมหนูเพื่อควบคุมปริมาณน้ำนมในแต่ละครั้งจนกว่าระบบย่อยอาหารหนูจะทำงานได้ดีขึ้น  แม่รู้สึกไม่สบายใจเลย ในใจนึกสวดมนต์ภาวนาขอสิ่งศักดิ์สิทธิคุ้มครองให้ทุกอย่างเรียบร้อยดี

หลังจากที่ระบบย่อยอาหารของหนูเริ่มทำงานได้ในระดับที่คุณหมอพอใจ หนูก็ได้กลับบ้านเราแล้วจ้ะ พริมลูกรัก วันแรกๆแม่ต้องปั๊มนมเก็บไว้แล้วป้อนหนูด้วยช้อนก่อน แม่ค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้นจนกระทั่งแม่สังเกตว่าหนูทานนมได้ดีขึ้นเรื่อยๆ  จากนั้นแม่ค่อยๆเริ่มให้หนูดูดนมโดยต้องควบคุมเวลาอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้หนูท้องอืด  มีหลายๆครั้งที่แม่ยอมใจอ่อนเพิ่มเวลาให้หนูเพราะเห็นว่าหนูกำลังมีความสุขมากๆ  โดยรวมแล้วหนูเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายมากไม่แพ้พี่ปรางเลยนะจ๊ะ  หนูจะมีงอแงอยู่บ้างเวลาอาบน้ำกับเวลาเย็นๆ  ผ่านไปได้ประมาณ 1 เดือน หนูเริ่มดูดนมได้มากขึ้นเรื่อยๆจนแม่เริ่มใจอ่อนเพิ่มเวลาให้หนูเรื่อยๆ  ช่วงนี้ตอนค่ำๆ ขณะที่แม่จะพาหนูเข้านอน แม่เริ่มสังเกตว่าหนูจะดูหงุดหงิดงอแงมากขึ้นกว่าเดิม หนูจะร้องให้ดังและนานมากจนพ่อกับแม่ต้องผลัดกันอุ้ม แรกๆเราคิดว่าหนูคงดูดนมมากไปจนท้องอืด แม่ก็พยายามบรรเทาอาการท้องอืดของหนู ซึ่งก็ช่วยทำให้หนูหยุดร้องไปได้ในหลายๆครั้ง  หนูเริ่มเพิ่มเวลางอแงไปช่วงอื่นๆบ้างตามสมควร  ที่สำคัญคือช่วงเวลาหัวค่ำทีไร  หนูเริ่มร้องอย่างจริงๆจังๆเกือบจะทุกคืนก็ว่าได้  แม่เริ่มเอะใจว่า ตกลงหนูร้องให้เพราะท้องอืดหรือหนูร้องให้แบบที่เรียกว่าโคลิคกันแน่  แต่หนูไม่ต้องกังวลนะจ๊ะ ถึงหนูจะงอแงขนาดไหน  พ่อกับแม่จะอยู่เคียงข้างหนูจนกว่าหนูจะหลับไปนั่นแหล่ะจ้ะ  ตามปรกติแม่จะเป็นคนพาหนูเข้านอนในห้องของพ่อกับแม่เองทุกคืน  นอกเสียจากว่าในค่ำนั้นพ่อกับแม่จำเป็นจะต้องออกไปข้างนอก ซึ่งก็ไม่บ่อยนัก

สามเดือนแรกแม่อยู่บ้านกับหนูตลอดเลยนะจ๊ะ  พอหนูได้สามเดือน แม่คิดว่าแม่คงต้องกลับไปดูงานที่บริษัทบ้าง  แต่ด้วยความที่อดเป็นห่วงหนูไม่ได้เพราะหนูยังเล็กมากนัก พ่อกับแม่จึงตัดสินใจพาหนูไปทำงานด้วยทุกวันที่แม่ไปทำงาน  หนูจะได้อยู่ใกล้ๆพ่อกับแม่ตลอดเวลาเลยดีมั๊ยจ๊ะ แม่ชอบวิธีนี้มากเลยเพราะสะดวกกับเวลาให้นมหนูแล้วก็เวลาคิดถึงหนูด้วยจ้ะ  พอหนูอายุได้ 4 เดือน พี่เลี้ยงหนูก็ขอลาออกโดยที่ทางศูนย์ก็จัดหาพี่เลี้ยงใหม่มาให้  แม่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผ่านมาเพียงแค่ 3-4 เดือน พี่เลี้ยงขอลาออกไปแล้วตั้งหลายคน  ทั้งๆที่แม่ว่าตอนกลางวัน  หนูออกจะเลี้ยงง่ายพอสมควรนะจ๊ะ  เท่าที่แม่ดู พี่เลี้ยงคนใหม่ของหนูคนนี้ก็ดูเข้าทีดี เสียอยู่ว่าเธอดูเป็นคนใจร้อนในบางครั้ง  ซึ่งแม่จะต้องคอยเตือนเธอบ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาแม่เห็นพี่เลี้ยงป้อนผลไม้บดให้หนูแล้วแม่ต้องบอกให้ค่อยๆทำทุกทีอีกเรื่องหนึ่งคือ ดูพี่เลี้ยงคนนี้เธอจะชอบแกว่งเก้าอี้โยกให้หนูถี่ๆจนหนูหลับไปเหลือเกิน แม่เห็นแล้วเวียนหัวแทนหนูจริงๆ  อันนี้แม่ก็เตือนเธอบ่อยๆว่าอย่าแกว่งเร็วมากนัก

ตอนนี้หนูอายุได้ 4 เดือนครึ่งแล้วนะจ๊ะ กำลังอ้วนน่ารักเชียว พริมลูกรัก ค่ำวันนี้พ่อกับแม่จำเป็นต้องออกไปธุระข้างนอก หนูอยู่ในห้องกับพี่ปรางและพี่เลี้ยงนะจ๊ะ หนูเป็นเด็กดีนะลูก อย่างอแงกับพี่เลี้ยงมากเหมือนอยู่กับพ่อแม่นะจ๊ะ คืนนั้นพอแม่กลับมาแล้วแม่ก็รีบไปรับหนูเข้ามาในห้องแม่ทันที  แม่ให้หนูดูดนมตามปรกติ  และแล้วแม่เริ่มสังเกตอาการผิดปรกติในตัวหนูหลายอย่าง หนูกรีดร้องแบบคนที่รู้สึกเจ็บปวดอะไรอย่างมาก ทั้งร้องทั้งดิ้นทั้งอาเจียน สลับไปมาเกือบตลอดทั้งคืน พอวางหนูลงนอน  หนูก็กรีดร้องชนิดที่แม่ไม่เคยได้ยินลูกของแม่ร้องแบบนี้มาก่อน  แม่เริ่มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่ก็พยายามตั้งสติตลอดเวลา แม่สงสารลูกเป็นที่สุด แม่พยายามร้องเพลงกล่อมและอุ้มหนูอยู่ตลอดทั้งคืนจนหนูหลับไปตอนเกือบรุ่งสางด้วยความเพลีย 

รุ่งเช้า พ่อกับแม่รีบพาหนูไปโรงพยาบาล คุณหมอให้หนูพักอยู่ในโรงพยาบาลทันทีที่ซักอาการเริ่มต้น คุณหมอสังเกตการณ์และซักประวัติอย่างละเอียด  จนกระทั่งคุณหมอเริ่มสังเกตอาการผิดปรกติที่กระหม่อมของหนู  นั่นคือกระหม่อมของหนูดูแข็งตึง ซึ่งตามปรกติกระหม่อมของเด็กทารกบริเวณที่กะโหลกยังไม่ปิดสนิทนั้นจะบางเป็นพิเศษจนเราจะต้องเห็นศรีษะเต้นตุ๊บๆ คุณหมอยังสังเกตอาการผิดปรกติโดยรวมเห็นว่าหนูเริ่มมีอาการซึม และสังเกตปฏิกริยาการตอบรับแสงที่ม่านตาของหนูอีกด้วย  คุณหมอถามแม่ว่ามีใครเคยทำหนูตกลงมาจากที่สูงบ้างหรือไม่  แม่บอกว่าไม่เคยแต่อย่างไรก็ดีอาจมีใครทำหนูตกแล้วไม่กล้าบอกความจริงก็ได้  ดังนั้น คุณหมอจึงขอเอ็กซเรย์หนูทั้งตัว ทำ CT Scan และ MRI ผลของเอ็กซเรย์ พบว่าไม่มีร่องร่อยของการถูกกระทบกระเทือนใดๆ ส่วนผลของ CT Scan และ MRI พบว่ามีเลือดออกทีบริเวณเยื่อหุ้มสมองส่วนข้างหน้าด้านขวา นอกจากนี้ยังมีเลือดออกที่จอประสาทตา(Retina) ข้างขวาอีกด้วย

วินาทีที่แม่ได้ยินคุณหมอพูดออกมาเป็นช่วงเวลาที่แม่รู้สึกแย่มากๆ แม่สับสนและไม่อยากเชื่อหูตัวเอง มันเป็นความรู้สึกปวดแปลบเข้าไปที่หัวใจ เจ็บปวดเกินกว่าจะบรรยาย เป็นความรู้สึกเหมือนหัวใจแทบจะสลาย  แม่เสียใจจนร้องให้ออกมาต่อหน้าคุณหมอและคุณพ่อ แม่ไม่เข้าใจและไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก เมื่อไหร่ และอย่างไร ..... ทำไม โลกใบนี้ช่างดูมืดมนและโหดร้ายกับหนูเสียเหลือเกิน .....

ทีมแพทย์ประชุมและให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ หลังจากทราบผลการตรวจได้ไม่นาน ทีมแพทย์เข้าทำการรักษาทันที พยาบาลโกนผมของหนูออกจนหมดเพื่อให้คุณหมอดูดเลือดในกระหม่อมบริเวณที่โป่งตึงนั้นออก ซึ่งหากอาการไม่ดีขึ้น ทางทีมแพทย์อาจต้องทำการเปิดหนังศรีษะออกเพื่อทำการรักษาขั้นต่อไป พริมลูกรัก หนูรู้มั๊ยว่าช่วงเวลานั้นสำหรับพ่อกับแม่แล้วมันช่างนานมาก แม่ได้แต่สวดมนต์อธิษฐานจิตถึงพระรัตนไตรและสิ่งศักดิ์สิทธิให้คุ้มครองลูกให้ปลอดภัย  ทันทีที่หนูออกจากห้องผ่าตัด หนูถูกนำตัวเข้าห้องไอซียูทันที แม่เห็นสายห้องระโยงระยางเต็มตัวหนูไปหมด เป็นภาพที่แม่ไม่อยากจะจดจำเลยแต่มันก็ยังติดตาแม่อยู่จนทุกวันนี้ ....  ทุกครั้งที่เข้าไปเยี่ยมหนู แม่เห็นหนูนอนนิ่ง หนูทำให้แม่ใจหายมากรู้มั๊ย .... พริมจ๋า หนูช่วยขยับแขนหรือขาให้แม่เห็นบ้างได้มั๊ยลูก ....

พ่อและแม่พร่ำสวดมนต์อธิษฐานวันละหลายๆรอบ  ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายโปรดช่วยคุ้มครองหนูด้วย หนูมีอาการเช่นนั้นอยู่หลายวัน จนแม่ชักใจไม่ดี แม่ร้องให้ทุกครั้งที่เห็นหนู แม่สงสารหนูเหลือเกิน พ่อกับแม่ไปทำบุญให้กับหนู พ่อกับแม่ยังไปบริจาคเลือดและบริจาคดวงตาให้กับสภากาชาดไทยอีกด้วยจ้ะ พริมจ๋า .... หนูเชื่อในปาฏิหารย์มั๊ยจ๊ะลูก แม่ก็เชื่ออย่างนั้นจ้ะ หนูเริ่มมีอาการดีขึ้นตามลำดับ เริ่มขยับแขนขาได้และเริ่มมีปฏิกริยาตอบสนองได้ดีขึ้นเรื่อยๆจ้ะ

ทีมแพทย์ของหนูยังประชุมกันอีก ผลการวินิจฉัยทางการแพทย์สรุปออกมาแล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวหนูไม่ใช่ความบกพร่องทางสมองที่อาจเป็นกันได้โดยกำเนิด  หากแต่เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับหนู เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการที่หนูถูกเขย่าอย่างรุนแรง หรือที่เรียกกันว่า Shaken Baby Syndrome (SBS) .....

Views: 3684

Comment

You need to be a member of หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้ to add comments!

Join หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้

Comment by gitanjali saengsang on October 12, 2011 at 4:44pm
เป็นเรื่องที่มีประโยชน์มากๆค่ะ ขอบคุณที่เอามาแบ่งบันกันนะคะ
Comment by jinnylovetigtig on October 12, 2011 at 3:39pm
สู้ต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้น้องและคุณแม่ด้วยค่ะ
Comment by วริษา กมลนาวิน on October 12, 2011 at 10:03am

สุดท้ายของสุดท้ายค่ะ

บทสรุปต่อท้าย

ปัจจุบันน้องมิมิอายุ 4 ปี กำลังพูดได้คล่องขึ้นเรื่อยๆ มิมิเป็นเด็กที่ฉลาด สนุกสนานร่าเริง อารมณ์ดีและเป็นที่รักของทุกๆคน  จะเหลือเรื่องที่พ่อกับแม่ต้องคอยแก้ไขคือเรื่องของตาข้างขวาที่จะเขออกเป็นบางครั้งเมื่อมองระยะไกล

ในส่วนของมูลนิธิ  ปัจจุบันมูลนิธิกำเนิดสุขแห่งประเทศไทยได้ริเริ่มแคมเปญ “Never Shake The Baby” เพื่อรณรงค์เรื่องการไม่เขย่าเด็กเล็กอย่างรุนแรง  โดยมุ่งหวังให้สังคมไทยได้รับรู้ถึงอันตรายที่จะตามมา สร้างความรู้ความเข้าใจ เป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการเขย่าเด็กเล็ก  นอกจากนี้  มูลนิธิกำเนิดสุขฯยังวางแผนที่จะช่วยเหลือเด็กที่มีความบกพร่องทางสมองและพัฒนาการ  รวมทั้งส่งเสริมกิจกรรมต่างๆเพื่อสร้างความรักความผูกพันในครอบครัว  การแบ่งปันทัศนคติการเลี้ยงดูเด็กใม่จำกัดประเภทอีกด้วย  สนใจรับข้อมูลข่าวสารหรือกิจกรรมดีๆ ได้ที่ Facebook  ค้นคำว่า  HAP Foundation  หรือ http://www.hap.or.th

Comment by วริษา กมลนาวิน on October 12, 2011 at 10:02am

ตอนต่อไปนะคะ (สุดท้ายแล้วค่ะ)

และใช้ชื่อเต็มเป็นภาษาอังกฤษว่า  “Humanity And Peaceful (HAP) Foundation of Thailand”   ส่วนชื่อภาษาไทยนั้นแม่ตั้งชื่อว่า “มูลนิธิกำเนิดสุชแห่งประเทศไทย”

มิมิจ๋า  แม่เชื่อเสมอว่าหนูจะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมจ้ะ  พ่อกับแม่เชื่ออย่างนั้นจ้ะ  แม่คอยสังเกตพัฒนาการของหนูในแต่ละเดือน   แม่เชื่อว่าหนูจะสามารถผ่านพัฒนาการในช่วงสำคัญๆของเด็กๆได้เหมือนกับเด็กคนอื่นๆแน่นอนจ้ะ  แต่เพื่อไม่ให้เป็นการกดดันตัวเองจนเกินไปนัก  แม่มักจะแอบตั้งเป้าไว้ช้ากว่าเกณฑ์มาตรฐานนิดหน่อย  อันนี้ก็แล้วแต่ความยากง่ายของพัฒนาการด้วยนะจ๊ะ  และในแต่ละครั้งที่หนูสามารถทำได้  พ่อกับแม่ดีใจมากๆเลยจ้ะ  แม่ยังจำได้ถึงช่วงเวลาสำคัญๆ เช่น การนอนพลิกคว่ำพลิกหงายได้เอง  อันนี้คุณหมอพัฒนาการสั่งให้มาฝึกท่าพลิกตัวกันเลยทีเดียว  กว่าหนูจะทำได้เองโดยไม่มีใครช่วย  เล่นเอาแม่เหนื่อยไปเลย  แม่เริ่มมีกำลังใจมากขึ้นในทุกๆวันที่เห็นหนูมีพัฒนาการที่ดีขึ้นจ้ะ 

พ่อกับแม่พาหนูไปโรงพยาบาลอย่างสม่ำเสมอ  หนูต้องพบสารพัดคุณหมอเพื่อติดตามดูอาการของหนู  ไม่ว่าจะเป็นกุมารแพทย์ด้านระบบประสาท กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการ  จักษุแพทย์ หรือแม้กระทั่งกุมารแพทย์ด้านกระดูกสันหลัง   ในช่วง 1-2 ปีแรก  การติดตามอาการด้านระบบประสาทของหนูดูเหมือนจะดีขึ้นตามลำดับ  ภายหลังการตรวจคลื่นสมองในครั้งหลังสุดดูไม่มีอาการที่น่าเป็นห่วง  คุณหมอจึงสั่งเลิกทานยากันชัก เช่นเดียวกับด้านพัฒนาการกล้ามเนื้อของหนูก็ค่อยๆดีขึ้น  จะช้ามากน้อยขึ้นอยู่กับความยากง่ายของพัฒนาการ  แม่จำได้ว่ากว่าหนูจะเดินได้ก็ประมาณ 1 ขวบ 6 เดือน ตอนนั้นแม่แอบกลุ้มอยู่หลายเดือนเชียว  ช่วงนั้นดูเหมือนทุกอย่างเริ่มไปได้ดี  เมื่อหนูอายุได้ขวบกว่าๆ หนูเริ่มพูดเป็นคำๆได้บ้าง  คุณหมอขอให้พยายามกระตุ้นพัฒนาการพูดต่อไป  จะมีที่น่าเป็นห่วงก็เรื่องอาการเลือดออกในจอตาข้างขวาเนี่ยแหล่ะจ้ะ  ไม่น่าเชื่อเลยว่ากว่าเลือดจะออกจากจอตาหมดนี่ใช้เวลาเป็นปี  เลยทำให้ตาข้างขวาหนูเป็นตาขี้เกียจ (Lazy Eye) เพราะแทบจะเรียกได้ว่าหนูไม่ค่อยได้ใช้ตาข้างขวามาตั้งแต่หนูอายุได้ 5 เดือนแล้วนี่จ๊ะ  คุณหมอพยายามรักษาหลายวิธีมาก ไม่ว่าจะให้หนูปิดตาข้างที่ดีเพื่อฝึกตาข้างที่ขี้เกียจ  หนูก็กระชากออกทุกครั้ง  ให้ใส่แว่นตา  หนูก็ดึงออก  คุณหมอบอกว่าอาการตาขี้เกียจสามารถรักษาได้แต่ไม่ควรทิ้งไว้เกินอายุ 6-7 ปี  มิมิจ๋า หนูช่วยให้ความร่วมมือหน่อยได้มั๊ยจ๊ะ  ไม่อย่างนั้น  คุณหมออาจต้องผ่าตาหนูด้วยนะ  (อันนี้แม่ไม่ชอบเลย)

หนูเริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาลเมื่ออายุได้ 2 ปี 2 เดือน  ในช่วงแรกของการไปเรียน หนูมักจะร้องให้มากเนื่องจากต้องปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนมากมาย แม่ไปอยู่กับหนูที่โรงเรียนด้วยเป็นเดือน  มีอยู่ครั้งหนึ่งทางโรงเรียนแจ้งแม่ว่าจะขอให้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษมาดูเด็กๆที่โรงเรียน  ซึ่งทางโรงเรียนจะขอดูหนูด้วย  ผลการประเมินออกมาก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงอะไร นอกจากจะแนะนำให้หนูปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง  อย่างไรก็ดี แม่เริ่มกังวลและหาข้อมูลอย่างหนักอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าพัฒนาการบางอย่างของหนูที่ล่าช้านี้เกิดจากอุบัติเหตุกระทบกระทือนทางสมองในครั้งนั้น  มิใช่เกิดจากอาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ  แม่เริ่มกังวลหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่หนูซนมากๆ อีกทั้งยังเจ้าอารมณ์ชอบร้องกรี๊ด  รวมทั้งการที่หนูพูดช้าไม่สมวัย โชคดีที่แม่ได้พบกับกลุ่มเรนโบว์ที่ก่อตั้งโดยรุ่นพี่มาแตร์ของแม่  แม่ได้รับข้อมูลดีๆ  จากป้าโรส ป้าติ๊ก และรู้จักคนดีๆอีกมากมาย  นอกจากนั้นแม่ยังพาหนูไปหานักบำบัดการพูดอยู่ช่วงหนึ่ง  รวมทั้งกลับไปหาคุณหมอด้านระบบประสาทและคุณหมอพัฒนาการเด็กเพื่อเช็คอาการต่างๆ  คุณหมอบอกว่าหนูไม่ได้มีลักษณะอาการแบบเด็กที่มีความต้องการพิเศษ  ช่วงนั้นแม่ศึกษาข้อมูลรวมทั้งพาหนูไปหาหมอและนักบำบัดอยู่พักใหญ่ๆ และทุกครั้งที่แม่พูดกับคุณพ่อ  เราจะต้องหงุดหงิดกันทุกครั้ง  หลายครั้งที่แม่ร้องให้  แม่พยายามอธิบายให้คุณพ่อหนูฟังว่าแม่เพียงแค่ต้องการเช็คดูในหลายๆด้านให้มั่นใจว่าลูกเราเป็นอะไร  เพื่อที่เราจะได้คอยสนับสนุนเขาให้ถูกวิธี

ตลอดช่วงอายุ 2-3 ปีของหนู  แม่พยายามฝึกหนูเองโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายๆอย่างของหนู โดยเฉพาะอาการเอาแต่ใจตัวเอง  ก็อย่างที่คุณหมอเคยเตือนพ่อกับแม่ไว้นั่นแหล่ะว่าไม่ให้ตามใจหนูมากจนเกินไปเพราะโดยมากพ่อกับแม่มักจะสงสารและตามใจเด็กที่เคยมีปัญหาตอนเล็กๆ จนทำให้เด็กเสียนิสัย  แม่เชื่อว่าหนูคงจะเป็นแบบนั้นนั่นแหล่ะ  หลังจากหนูไปโรงเรียนได้ 1 ปีครึ่ง ครูที่โรงเรียนเอ่ยปากชมหนูเสมอๆว่าหนูมีพัฒนาการด้านการพูดดีขึ้นมาก รวมทั้งทักษะการเข้าสังคม หนูร่าเริงและเป็นที่รักของเพื่อนๆและคุณครู  มิมิจ๋า พ่

Comment by วริษา กมลนาวิน on October 12, 2011 at 9:58am

ดิฉันไม่ทราบว่าทำไมบันทึกตอนที่ 2 มันยังไม่ปรากฎขึ้นในหน้าแรก ถ้างั้นดิฉันขออนุญาตเอาตอน 2 มาแปะไว้ตรงนี้เลยแล้วกันนะคะ คุณพ่อคุณแม่ในหมู่บ้านฯ จะได้อ่านต่อรวดเดียวจนจบ

 

บันทึกรักกำเนิดสุข ตอนจบ ความรัก กำลังใจ และความศรัทธา

เขียนโดย: บุษบรรณ (สินธุเสก) นพวงศ์ ณ อยุธยา (บิ๋ม)

พริมลูกรักของแม่ 

ผลการวินิจฉัยทางการแพทย์สรุปออกมาแล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวหนูไม่ใช่ความบกพร่องทางสมองที่อาจเป็นกันได้โดยกำเนิด  หากแต่เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับหนู เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการที่หนูถูกเขย่าอย่างรุนแรง หรือที่เรียกกันว่า Shaken Baby Syndrome (SBS)

แม่ไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกของแม่จะถูกเขย่าอยากรุนแรงจนเลือดออกในเยื่อหุ้มสมองและแก้วตาข้างขวา  ใครนะช่างใจร้ายทำหนูได้ถึงเพียงนี้  แม่ปวดแปลบเข้าไปที่หัวใจอีกครั้งหนึ่ง  มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวด  ในขณะนั้นแม่ไม่รู้ว่าลูกจะเป็นอย่างไรต่อไป ทุกครั้งที่พ่อกับแม่พูดกันถึงเรื่องของหนู  แม่ร้องให้ทุกครั้งซึ่งคุณพ่อของหนูก็พยายามให้กำลังใจแม่ตลอดเวลา  พริมจ้ะ  แม่กลัวเหลือเกิน  แม่ไม่อยากให้หนูเป็นอะไรเลย  แม่ได้แต่ภาวนาขอให้หนูกลับมาเป็นปรกติทุกอย่างดังเดิม

หนูมีอาการดีขึ้นจนกระทั่งคุณหมออนุญาตให้หนูออกจากห้อง NICU ได้แล้วจ้ะ  อย่างไรก็ดี  หนูยังต้องพักในโรงพยาบาลกับแม่อีกระยะหนึ่งจนกว่าจะแข็งแรงขึ้นนะจ๊ะ  ช่วงนี้ทีมแพทย์ได้เข้ามาดูอาการของหนูอย่างใกล้ชิด  พ่อกับแม่ได้สอบถามคุณหมอว่าเหตุใดทีมแพทย์จึงสรุปอาการของหนูออกมาว่าเป็นการถูกเขย่าอย่างรุนแรง  คุณหมอได้ให้คำอธิบายว่า อาการถูกเขย่าอย่างรุนแรง  หรือ  Shaken Baby Syndrome (SBS)  คืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการที่สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงโดยการเขย่าตัวเด็ก  ทำให้คอและศรีษะของเด็กเล็กถูกแรงเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาข้างหน้าและข้างหลังอย่างแรง  การที่ลำคอของเด็กเล็กซึ่งยังไม่แข็งแรงนักและศรีษะของเด็กเล็กมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัวถูกแรงเหวี่ยงไปๆมาๆอย่างแรงและเร็วเพียงเวลาไม่นานนัก  ก็สามารถทำให้เส้นเลือดในบริเวณเยื่อหุ้มสมองฉีกขาด  รวมทั้งส่งผลไปถึงเส้นเลือดในจอตา (Retina) ฉีกขาดอีกด้วย  อาการสองอย่างนี้เป็นสาเหตุหลักในการสรุปผลการวินิจฉัยอาการ Shaken Baby Syndrome (SBS) 

หนูอยู่โรงพยาบาลประมาณ 2 อาทิตย์  ในที่สุดคุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้จ้ะ ช่วงแรกๆ เวลาอุ้มหนูแม่ต้องคอยช้อนคอไว้เหมือนเด็กทารกแรกเกิดประมาณ 2-3 เดือน ทั้งๆที่ตอนนั้นหนูอายุได้ 5 เดือนแล้ว  หนูเริ่มคอแข็งขึ้นและร่างกายแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ  ทำให้แม่มีกำลังใจมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกันจ้ะ  เวลาหนูอยู่ในอ้อมอกและดูดนมแม่เป็นช่วงที่มีความสุขมาก แม่ได้กอดหนูไว้นานๆให้หนูได้ฟังเสียงหัวใจแม่เต้นและรู้ว่าแม่รักหนูมากแค่ไหน  แม่เชื่อว่าพลังแห่งความรักที่พ่อกับแม่ส่งให้หนูเนี่ยแหล่ะเป็นยาขนาดดีที่สุดในการรักษา  เกือบทุกครั้งที่หนูอยู่ในอ้อมอกแม่  แม่จะนั่งสมาธิอธิฐานจิตถึงเจ้ากรรมนายเวรของหนูเพื่อขออโหสิกรรมในสิ่งใดก็ตามที่อาจส่งผลให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับหนู   พริมจ้ะ  มีคนแนะนำให้หนูเปลี่ยนชื่อเป็นตัว ม.ม้า นะจ๊ะ  พ่อกับแม่เลือกชื่อให้หนูใหม่แล้ว ส่วนชื่อเล่นเราเปลี่ยนให้หนูด้วยเป็น “มิ” นะจ๊ะ (น่าเสียดาย  แม่กับพี่ปราง ชอบชื่อพริมมากๆเลย) 

แม่ยังได้ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการ Shaken Baby Syndrome (SBS)  แม่ถึงกับช็อคเมื่อรู้ว่าหากเด็กถูกเขย่าอย่างรุนแรงมากและไม่ได้รับการรักษาอย่างทันถ่วงที  เด็กก็มีโอกาสเสียชีวิตได้  หรือถ้ารอดชีวิต  เด็กเหล่านั้นอาจมีความบกพร่องทางสมองหรือทางพัฒนาการด้านต่างๆ  รวมทั้งอาจทำให้เด็กพิการหรือตาบอดไปเลยก็ได้   ในหลายๆประเทศได้มีเด็กที่ถูกทำร้ายเช่นนี้อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย  สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งเกิดจากการกระทำชั่ววูบเพราะความโมโหหรืออ่อนเพลียจากการเลี้ยงลูก  โดยมักจะเกิดขึ้นในเด็กที่ร้องให้กวนใจมากๆ  แม่พบว่าหลายๆรัฐในสหรัฐอเมริกาได้ให้ความสำคัญในการรณรงค์สร้างความตระหนักในเรื่องนี้กันพอสมควร  แม่เชื่อว่ายังมีพ่อแม่อีกหลายๆครอบครัวเลยนะจ๊ะที่ไม่เคยรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการเขย่าเด็กทารก

แม่มาย้อนคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่พ่อกับแม่ต้องเครียดต้องลุ้นอยู่หน้าห้องผ่าตัด  แม่เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ของเด็กเล็กๆที่ป่วยหนักทุกคนเลยว่าจะมีความรู้สึกทุกข์ใจเพียงใดในวินาทีที่ต้องเฝ้าลูกหน้าห้องผ่าตัดเพื่อรอฟังผลของลูกน้อย  แม่ปรึกษาคุณพ่อว่าแม่อยากมีโอกาสได้ช่วยเด็กเหล่านี้  ในที่สุดเราเลยคิดที่จะก่อตั้งมูลนิธิขึ้น  แม่ตั้งชื่อย่อว่า HAP ซึ่งมีความหมายว่า “Fortunate or Goodluck”  และใช้ชื่อเต็มเป

Comment by แม่น้องตะวัน on October 12, 2011 at 7:50am
สู้สู้นะค่ะ และขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่นำมาเล่าต่อเป็นประโยชน์มากค่ะ
Comment by นราทิพย์ มะหิงสิบ on October 11, 2011 at 10:08pm
ขอบคุณค่ะสำหรับคำแนะนำดีๆเพราะดิฉันก็ชอบเขย่าลูกเป็นประจำต่อไปคงเลิกทำแล้วค่ะ

--oO--

สแกนโค้ด แอดไลน์ @2pasa แล้วลุ้นของรางวัลรวมคลิปเวิร์กช็อปทั้งหมด

Events

หนังสือในชุดเด็กสองภาษา



© 2024   Created by ผู้ใหญ่บิ๊ก.   Powered by

Badges  |  Report an Issue  |  Terms of Service