อรนัย รักในหลวง's Posts - หมู่บ้านเด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้2024-03-29T14:57:25Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jjhttp://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1932820867?profile=RESIZE_48X48&width=48&height=48&crop=1%3A1http://go2pasa.ning.com/profiles/blog/feed?user=2fr1dgc3njhxk&xn_auth=noI'm Ready for School!tag:go2pasa.ning.com,2010-11-09:2456660:BlogPost:4878362010-11-09T15:00:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
อ๊อบถ่ายคลิปจันทร์เจ้าไปร.ร.ไว้ดู...(ดูว่าเมื่อไหร่จะร้องไห้ ฮ่าๆๆๆ) เลยเอามาแบ่งให้ทุกคนได้ดูกันด้วย<br></br><br></br>จันทร์เจ้าเรียนร.ร.ไทยที่กวดขันเรื่องมารยาทมากๆ (ขอสงวนชื่อร.ร.นะค่ะ) การเป็นเด็ก 2 ภาษาไม่ได้ทำให้จันทร์เจ้าดูกลายเป็นเด็กที่มารยาทไม่งามตามแบบวัฒนธรรมไทยใดๆทั้งสิ้น วันนี้ป้าครูถึงกับเอ่ยปากชมว่าจันทร์เจ้ามีกิริยามารยาทที่ถือว่าดี สมตามวัย..รู้จักการรอคอย..รู้จักกาละเทศะ ถึงตรงนี้อยากบอกเพื่อนๆที่กลัวว่า "เด็กสองภาษา" จะเน้นแต่สองภาษาอังกฤษรึป่าว..ขอบอกว่า "สอนทุกอย่างที่ควรสอนเด็ก…
อ๊อบถ่ายคลิปจันทร์เจ้าไปร.ร.ไว้ดู...(ดูว่าเมื่อไหร่จะร้องไห้ ฮ่าๆๆๆ) เลยเอามาแบ่งให้ทุกคนได้ดูกันด้วย<br/><br/>จันทร์เจ้าเรียนร.ร.ไทยที่กวดขันเรื่องมารยาทมากๆ (ขอสงวนชื่อร.ร.นะค่ะ) การเป็นเด็ก 2 ภาษาไม่ได้ทำให้จันทร์เจ้าดูกลายเป็นเด็กที่มารยาทไม่งามตามแบบวัฒนธรรมไทยใดๆทั้งสิ้น วันนี้ป้าครูถึงกับเอ่ยปากชมว่าจันทร์เจ้ามีกิริยามารยาทที่ถือว่าดี สมตามวัย..รู้จักการรอคอย..รู้จักกาละเทศะ ถึงตรงนี้อยากบอกเพื่อนๆที่กลัวว่า "เด็กสองภาษา" จะเน้นแต่สองภาษาอังกฤษรึป่าว..ขอบอกว่า "สอนทุกอย่างที่ควรสอนเด็ก หากแต่เป็นภาษาอังกฤษค่ะ" <br/><br/>ใครได้ดู ครูคริส (Chris Delivery) ในรายการTonight Show เมื่อคืนบ้างค่ะtag:go2pasa.ning.com,2010-11-02:2456660:BlogPost:4793672010-11-02T04:00:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
ชอบส่วนไหนมาลองแชร์กันมั้ยคะ<br/><br/>อ๊อบชอบหลายอย่างมากเลยค่ะเริ่มจากเราต้องมีแรงบันดาลใจ...ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองก่อน...<br/><br/>.......................................<br/><br/>ใครพลาดไปอ๊อบเอามาแปะให้ที่หน้าแรกนะค่ะ...ลองดูค่ะอ๊อบว่าคุ้มค่า ให้ข้อคิดดีมากๆ<br/>
ชอบส่วนไหนมาลองแชร์กันมั้ยคะ<br/><br/>อ๊อบชอบหลายอย่างมากเลยค่ะเริ่มจากเราต้องมีแรงบันดาลใจ...ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองก่อน...<br/><br/>.......................................<br/><br/>ใครพลาดไปอ๊อบเอามาแปะให้ที่หน้าแรกนะค่ะ...ลองดูค่ะอ๊อบว่าคุ้มค่า ให้ข้อคิดดีมากๆ<br/>I Want My Daughter to be Like JunJao!tag:go2pasa.ning.com,2010-10-02:2456660:BlogPost:4376032010-10-02T03:01:08.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
เมื่อวานพาจันทร์เจ้าไปหาหมอที่รพ.มาค่ะ (เป็นลมพิษ) <br></br>ระหว่างรอคิวเด็กๆก็เล่นกันที่ของเล่นที่รพ.จัดไว้ให้เล่น...พ่อ แม่ก็ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ก็เห็นผู้หญิงคนนึงอุ้มลูกเล็กๆ (9 เดือน) มียืนใกล้ๆสไลเดอร์ที่จันทร์เจ้ากำลังเล่น....และ<br></br><br></br>Lady : What's your name?<br></br><br></br>JunJao : JunJao<br></br><br></br>Lady : How old are you?<br></br><br></br>JunJao : I'm 6 !?!?!? เอ่อ...หกขวบแล้วหรอค่ะลูกแม่...<br></br><br></br>Lady : Ha! You're 6, really?<br></br><br></br>อ๊อบเลยตอบให้แทนว่า 3 ขวบ ผู้หญิงคนนั้นเลยเดินเข้ามาคุยด้วย…
เมื่อวานพาจันทร์เจ้าไปหาหมอที่รพ.มาค่ะ (เป็นลมพิษ) <br/>ระหว่างรอคิวเด็กๆก็เล่นกันที่ของเล่นที่รพ.จัดไว้ให้เล่น...พ่อ แม่ก็ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ก็เห็นผู้หญิงคนนึงอุ้มลูกเล็กๆ (9 เดือน) มียืนใกล้ๆสไลเดอร์ที่จันทร์เจ้ากำลังเล่น....และ<br/><br/>Lady : What's your name?<br/><br/>JunJao : JunJao<br/><br/>Lady : How old are you?<br/><br/>JunJao : I'm 6 !?!?!? เอ่อ...หกขวบแล้วหรอค่ะลูกแม่...<br/><br/>Lady : Ha! You're 6, really?<br/><br/>อ๊อบเลยตอบให้แทนว่า 3 ขวบ ผู้หญิงคนนั้นเลยเดินเข้ามาคุยด้วย หลังจากคุยกันไปซักพัก ก็รู้จักชื่อกัน เธอชื่อ Yin เป็นคนพม่า สามีก็เป็นพม่ามาอยู่เมืองไทยตัวคุณ Yin นั่นทำ OTOL ภาษาอังกฤษ และภาษาพม่ากับลูก และหวังว่าลูกจะได้ภาษาไทยเมื่อเข้าร.ร.อีกต่างหาก<br/>ระหว่างคุยกันอ๊อบก็ต้องคอยเตือนจันทร์เจ้าให้นั่งลง (บนสไลเดอร์) ให้แบ่งของเล่นให้คนอื่น...และอื่นๆ...Yin แปลกใจกับการโต้ตอบที่เป็นธรรมชาติของจันทร์เจ้ามากๆ เธอบอกว่าเธออ่านหนังสือมา (ไม่รู้ใช่เด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้อ่ะป่าว :P) แต่เธอยังไม่เคยเห็นของจริงว่าเด็กเติบโตเป็นเด็กสองภาษาได้ด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมให้โดยไม่ต้องใช้เจ้าของภาษา หรือ อาศัยอยู่ในประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวย.....Yin ขอเข้าไปคุยกับจันทร์เจ้าอีก<br/><br/>Yin : Do you have any brother or sister?<br/><br/>JunJao : I have brother<br/><br/>Yin : What is his name?<br/><br/>JunJao : His name is P Kla (ออกเสียงว่า ผิ ก๋า...ขำมาก)<br/><br/>Yin : Where is he?<br/><br/>JunJao : ชี้มาที่ต้นกล้าซึ่งนั่งเล่มคอมฯอยู่ใกล้ๆ<br/><br/>Yin คุยกับจันทร์เจ้ามากกว่านี้ แต่เป็นเหตุการณ์จุ๊กจิ๊กๆ และ เราคุยกันต่ออีกพักนึงก่อนจะแยกย้ายกันกลับกัน...<br/><br/>Yin ทิ้งท้ายก่อนแยกว่า <span style="font-weight: bold;">I want my daughter to be like JunJao!</span> ด้วยสีหน้า และ แววตา..ที่ "เชื่อ" แล้วว่า "ทำได้จริง"<br style="font-weight: bold;"/><br/> <br/>ผิดไหม?tag:go2pasa.ning.com,2010-09-26:2456660:BlogPost:4282682010-09-26T00:00:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
<span style="font-weight: bold;">เราทำอะไรผิดไปรึป่าว.</span>...<br></br><br></br>เป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจเมื่อรู้สึกตัวได้ว่าจันทร์เจ้าพูดไทยไม่ค่อยได้ หรือ ไม่ค่อยโต้ตอบเมื่อใช้ภาษาไทย(สังเกตุเมื่อเดือนเม.ย..ที่ผ่านมา) กลับไปทบทวนหนังสือ เด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้ 1....ตายๆๆๆๆ คุณบิ๊กเขียนไว้ชัดเจนว่า ภาษาที่ 1 ต้องได้เต็มร้อย <br></br><br></br>เอ๊ะ..นั่นหมายความว่าต้องพูดไทยได้ก่อน? หรือ ต้องมีคนพูดไทยกับลูกได้เท่าๆกับคนที่พูดภาษาอังกฤษ? <br></br><br></br>เอ๊ะ..กลับไปนึกทบทวน...อ๊อบตั้งใจทำ OPOL โดยเราพูดภาษาอังกฤษ…
<span style="font-weight: bold;">เราทำอะไรผิดไปรึป่าว.</span>...<br/><br/>เป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจเมื่อรู้สึกตัวได้ว่าจันทร์เจ้าพูดไทยไม่ค่อยได้ หรือ ไม่ค่อยโต้ตอบเมื่อใช้ภาษาไทย(สังเกตุเมื่อเดือนเม.ย..ที่ผ่านมา) กลับไปทบทวนหนังสือ เด็กสองภาษาพ่อแม่สร้างได้ 1....ตายๆๆๆๆ คุณบิ๊กเขียนไว้ชัดเจนว่า ภาษาที่ 1 ต้องได้เต็มร้อย <br/><br/>เอ๊ะ..นั่นหมายความว่าต้องพูดไทยได้ก่อน? หรือ ต้องมีคนพูดไทยกับลูกได้เท่าๆกับคนที่พูดภาษาอังกฤษ? <br/><br/>เอ๊ะ..กลับไปนึกทบทวน...อ๊อบตั้งใจทำ OPOL โดยเราพูดภาษาอังกฤษ พี่ต่อพูดภาษาไทย..โดยหวังด้วยว่าต้นกล้าซึ่งเข้าร.ร.แล้วจะพูดไทยกับน้อง...เห็นมั้ยภาษาไทยตั้งสองแรง อ๊อบก็ภาษาอังกฤษถี่ๆไปเลย แบบว่าเข้มข้นไปเล้ยยยย....เพราะยิ่งพูดแม่ก็ยิ่งมัน<br/><br/>แต่เอ๊ะ...บางทีพี่ต่อก็พูดภาษาอังกฤษกับจันทร์เจ้านินา...อ้าว...ต้นกล้า..ไหงจ้อภาษาอังกฤษกับน้องล่ะ....<br/><br/>อ้าว...<br/><br/>อ้าว...<br/><br/>อ้าว...<br/><br/>แล้วใครจะพูดภาษาไทยกับจันทร์เจ้าล่ะ.........<br/><br/>เมื่อรู้ตัวแบบนี้แล้ว รีบปรับแผนเป็นการด่วน...จาก OPOL เปลี่ยนเป็น OTOL ด่วน! <br/>จากภาษาอังกฤษเข้มข้น เปลี่ยนเป็นภาษาไทยเข้มข้นแทน....ใช้หลักการเดียวกันกับที่คุณบิ๊กบอก "เรียนรู้จากประสาทสัมผัส" จันทร์เจ้ารับภาษาไทยได้ง่ายดาย....แหงล่ะ ก็อยู่เมืองไทยนิ สิ่งแวดล้อมนอกบ้านก็ไทยทั้งสิ้น แค่หาโอกาสให้ได้พูดออกมาเท่านั้น....วันนี้เวลาผ่านไป 5 เดือน..จันทร์เจ้าได้พูดไทยมากขึ้น (ไม่อยากใช้คำว่า พูดไทยได้มากขึ้น ดูกระแดะไงไม่รู้ อิอิ)<br/>พูดจามีหางเสียง...สามารถสลับพูดไทยเมื่อแม่พูดไทยด้วย พูดภาษาอังกฤษเมื่อแม่พูดภาษาอังกฤษด้วยในเวลาเดียวกันได้อย่างไม่สับสน แต่อาจจะยังมีเรียงคำสลับแบบภาษาอังกฤษบ้าง..แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก เชื่อว่าเดี๋ยวพอเข้าร.ร.ไปเจอภาษาไทยที่มีความถี่มากกว่าก็จะดีขึ้น....<br/><br/><br/>เฮ้อ...โล่งอกแล้วค่ะ อ๊อบคงไม่ได้ทำอะไรผิดไปนะ....<br/><br/><br/>อ๊อบ<br/><br/><br/>ปล.พัฒนาการของลูกเราไม่มีใครจะมาบอกได้เท่าเรา เราย่อมรู้ดีที่สุดค่ะ...<br/><br/><br/><span style="font-weight: bold;">ภาษาไทยของจันทร์เจ้าวันนี้...</span><br/><br/><a href="http://go2pasa.ning.com/video/2456660:Video:428331?xg_source=activity">http://go2pasa.ning.com/video/2456660:Video:428331?xg_source=activity</a><br/><br/><br/><br/><br/>ก็ไม่มีไดอารี่ แต่อยากเก็บเรื่องลูกๆง่ะtag:go2pasa.ning.com,2010-09-01:2456660:BlogPost:3935232010-09-01T18:00:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
<br></br><br></br>1 Sep 2010<br></br><br></br>เย็นวันนี้เราไปรับต้นกล้ากันที่ร.ร. ต้นกล้ากำลังเตะบอลกับเพื่อน แม่กะน้องก็ยืนดูอยู่ห่างๆ...เผลอแป๊บเดียว ก็เห็นพี่กล้ากำลังทะเลาะกับเพื่อน...ดูซิว่าจะทำไงกัน....ต้นกล้ากะเพื่อนก็ผลักกัน เตะกัน (เบบี๋เตะกันน่ะค่ะ ไม่โดนกันหรอกค่ะ) ยืนดูอยู่ได้ซักสองสามนาที.....ยายน้องตัวดี...เดินเข้าไปในวง.....เตะเพื่อนพี่....เฉยเลย....โอ๊ยๆๆๆๆลูกแม่...ทำไมซ่าส์งี้ (วะ)…
<br/><br/>1 Sep 2010<br/><br/>เย็นวันนี้เราไปรับต้นกล้ากันที่ร.ร. ต้นกล้ากำลังเตะบอลกับเพื่อน แม่กะน้องก็ยืนดูอยู่ห่างๆ...เผลอแป๊บเดียว ก็เห็นพี่กล้ากำลังทะเลาะกับเพื่อน...ดูซิว่าจะทำไงกัน....ต้นกล้ากะเพื่อนก็ผลักกัน เตะกัน (เบบี๋เตะกันน่ะค่ะ ไม่โดนกันหรอกค่ะ) ยืนดูอยู่ได้ซักสองสามนาที.....ยายน้องตัวดี...เดินเข้าไปในวง.....เตะเพื่อนพี่....เฉยเลย....โอ๊ยๆๆๆๆลูกแม่...ทำไมซ่าส์งี้ (วะ) <br/><br/>มวยคู่นั้นจบลงด้วยน้ำตาลูกผู้ชาย...และรอยยิ้มของแม่ต่อความใจนักเลงของลูกสาว...<br/><br/>แม่...<br/><br/><p style="text-align: left;"><img src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975956698?profile=original" alt=""/></p>
<p style="text-align: left;"><br/></p>
<p style="text-align: left;"><br/></p>
<p style="text-align: left;">---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------</p>
<p style="text-align: left;"><br/></p>
<p style="text-align: left;"><br/></p>ฝึกประสาทสัมผัสทั้งห้าของลูกรักด้วยกิจกรรมแสนสนุก/ดร.แพง ชินพงศ์tag:go2pasa.ning.com,2010-06-11:2456660:BlogPost:2911912010-06-11T04:30:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
<table border="0" cellspacing="0">
<tbody><tr><td align="left" class="body" valign="baseline"><font color="#003366">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</font></td>
<td align="left" class="date" valign="baseline">9 มิถุนายน 2553 15:02 น.</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<br></br>
<br></br>
<strong><font color="#333333">โดยธรรมชาติแล้ว<br />
เด็กเล็กๆจะเรียนรู้ได้ดีผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งได้แก่ การมองเห็น การฟัง การสัมผัส การดมกลิ่นและการชิมรส…</font></strong>
<table border="0" cellspacing="0">
<tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline"><font color="#003366">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</font></td>
<td class="date" align="left" valign="baseline">9 มิถุนายน 2553 15:02 น.</td>
</tr>
</tbody>
</table>
<br/>
<br/>
<strong><font color="#333333">โดยธรรมชาติแล้ว<br />
เด็กเล็กๆจะเรียนรู้ได้ดีผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งได้แก่ การมองเห็น การฟัง การสัมผัส การดมกลิ่นและการชิมรส โดยกิจกรรมที่เหมาะสมในการช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้ามีตัวอย่างดังนี้<br/>
<br/>
</font> <font color="#333333" size="3">กิจกรรมฝึกประสาทสัมผัสทั้งห้า<br/>
</font></strong> <br/>
<font color="#990000" size="3"><strong>***กิจกรรมฝึกการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทางการมองเห็น</strong></font><br/>
<br/>
<strong><font color="#333333">- การอ่านหนังสือ</font></strong> ถือเป็นการเรียนรู้โดยผ่านประสาทสัมผัสทางตาโดยตรง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรให้ความใส่ใจในการเลือกสรรหนังสือสำหรับลูก เช่นหนังสือนิทานที่ให้ลูกอ่าน ควรมีสีสันหลากหลายและสดใสเพื่อลูกจะได้ฝึกแยกแยะเรื่องสี นอกจากนี้ตัวหนังสือต้องมีขนาดใหญ่พอสมควรที่จะเห็นได้ชัดและอ่านได้อย่างสบายตา เพื่อที่จะไม่ต้องใช้สายตาหนักมากเกินไป<br/>
<br/>
<strong><font color="#333333">- งานศิลปะ</font></strong> กิจกรรมวาดรูป ระบายสีเป็นกิจกรรมง่ายๆที่ฝึกให้ลูกได้ใช้ประสาทสัมผัสทางสายตาอย่างมากเพราะส่วนใหญ่ลูกมักจะวาดหรือระบายสีรูปมาจากสิ่งที่เขาได้เคยพบเห็น เช่นวาดรูปนกก็วาดให้มีลักษณะเป็นปีกสองข้าง วาดรูปกระต่ายก็จะวาดให้มีหูยาวๆระบายสีท้องฟ้าก็จะระบายสีฟ้า ก้อนหินก็ระบายเป็นสีดำดังนั้นงานศิลปะนอกจากจะเป็นการฝึกด้านสายตาแล้ว<br/>
ยังฝึกเรื่องของการสังเกตและความจำของลูกด้วยอีกทางหนึ่ง<br/>
<br/>
<strong><font color="#333333">- ทัศนศึกษา</font></strong>การพาลูกไปเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ เช่นพาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ พาไปทะเลพาไปสวนสัตว์ ทำให้ลูกได้พบเห็นสิ่งใหม่ๆจึงเป็นการฝึกการใช้สายตาในการมองรายละเอียดของสถานที่ต่างๆรวมถึงสิ่งแวดล้อมที่พบเห็นได้เป็นอย่างดี<br/>
<br/>
<strong><font color="#333333">- เกม</font></strong> เช่นการต่อจิ๊กซอว์เป็นกิจกรรมที่ลูกจะได้ใช้สายตาในการสังเกตชิ้นส่วนต่างๆของจิ๊กซอว์เพื่อนำไปต่อให้ถูกต้อง ซึ่งเกมนี้นอกจากจะฝึกเรื่องสายตาแล้วยังฝึกเรื่องของสมาธิและการสังเกตอีกด้วย<br/><br/><p style="text-align: left;"><img src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975952296?profile=original" alt=""/></p>
<p style="text-align: left;"><br/></p>
<font color="#990000" size="3"><strong>***กิจกรรมฝึกการเรียนรู้ผ่าน ประสาทสัมผัสทางการสัมผัส<br/>
</strong></font> <br/>
<strong><font color="#333333">- งานศิลปะ</font></strong> เช่นการปั้น การตัด การแปะ การประดิษฐ์สิ่งของเป็นกิจกรรมที่ลูกต้องใช้การสัมผัสโดยตรงเพราะเป็นกิจกรรมที่จำเป็นต้องใช้กล้ามเนื้อมือเป็นหลักในการใช้มือหยิบ จับ ตัด ปั้นวัตถุและอุปกรณ์ต่างๆรวมถึงใช้สัมผัสเพื่อแยกแยะความแตกต่างของสิ่งต่างๆด้วย เช่นการผสมแป้งกับน้ำเพื่อใช้ในการปั้นเมื่อเด็กสัมผัสแป้งจะรู้ว่ามีลักษณะเป็นผงและเมื่อสัมผัสน้ำจะรู้ว่ามันเปียกแต่เมื่อนำทั้งสองอย่างมาผสมกันแล้วและเด็กๆใช้มือนวดหรือคลึงมันก็จะรวมตัวกันเป็นก้อนสามารถเอาไปปั้นเป็นรูปร่างต่างๆได้<br/>
<br/>
<strong><font color="#333333">- กิจกรรมการเล่นบล็อก</font></strong>ทำให้ลูกได้ฝึกใช้มือในการหยิบ จับ วาง เพื่อต่อให้เป็นรูปทรงแบบต่างๆดังนั้นจึงมีประโยชน์ที่จะฝึกใช้ทั้งมือและสายตาในการมองด้วย<br/><br/><p style="text-align: left;"><img src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975953369?profile=original" alt=""/></p>
<br/> <br/>
<strong><font color="#990000" size="3">***กิจกรรมฝึกการเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทางการฟัง</font><br/>
</strong> <br/>
<strong><font color="#333333">- ดนตรี</font></strong> ดนตรีเป็นเรื่องของเสียง จึงต้องเรียนรู้ผ่านทางการฟัง ดังนั้น การที่คุณพ่อคุณแม่ให้ลูกได้ทำกิจกรรมดนตรี ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง ร้องเพลง เต้นรำ เล่นดนตรี จะช่วยพัฒนาความสามารถในด้านการฟังของเด็กๆได้ดีมากและถ้ายิ่งเปิดโอกาสให้ลูกได้มีประสบการณ์ทางด้านดนตรีมากๆจะช่วยพัฒนาทักษะในการฟังและการใช้หูให้เกิดประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดีด้วย<br/>
เช่น ลูกจะสามารถแยกแยะเสียงในระดับต่างๆได้อย่างแม่นยำทำให้เล่นดนตรีได้เก่งและไพเราะ สามารถร้องเพลงได้ไม่เพี้ยน สามารถแต่งเพลงได้<br/>
<br/>
<strong><font color="#333333">- การสนทนาพูดคุย</font></strong> การที่คุณพ่อคุณแม่พูดกับลูกบ่อยๆจะช่วยพัฒนาการฟังของลูกได้อย่างดีที่สุดเพราะเมื่อลูกได้ฟังบ่อยๆก็จะสามารถจดจำรายละเอียดของเสียงหรือคำต่างๆที่ ได้ยินได้ เราจะพบได้ว่าเด็กๆสมัยนี้ช่างพูดช่างคุยพูดศัพท์ยากๆได้จนผู้ใหญ่ยังงงนั่นเพราะเขาได้เรียนรู้ผ่านทางการฟังมานั่นเอง ดังนั้น หากต้องการจะฝึกลูกให้เก่งด้านภาษา จึงต้องฝึกให้ลูกได้ฟังมากๆ เช่นถ้าต้องการให้ลูกพูดภาษาต่างประเทศได้ก็ให้ลูกมีโอกาสได้พูดคุยกับคนที่เป็นเจ้าของภาษาหรือหาซีดีเกี่ยวกับการสนทนาในภาษาต่างๆให้ลูกฟังเมื่อเขาฟังบ่อยๆเขาจะค่อยๆจดจำและซึมซับรายละเอียดของเสียง สำเนียงจนสามารถนำมาใช้ได้ในที่สุด<br/>
<br/><font color="#990000" size="3"><strong>***กิจกรรมฝึกการเรียนรู้ผ่าน
ประสาทสัมผัสทางการดมกลิ่น</strong></font><br/>
<br/>
<strong><font color="#333333">- การทำอาหาร</font></strong> มีความจำเป็นต้องใช้ประสาทสัมผัสด้านการดมกลิ่นอย่างมาก เพราะสามารถใช้แยกแยะประเภทของอาหาร ลักษณะและสภาพของอาหารได้ เช่น ดมแล้วมีกลิ่นหอมหวาน ก็รู้ได้ว่าเป็นขนมแต่ถ้าดมแล้วมีกลิ่นฉุนแสบร้อนจมูก ก็รู้ได้ว่าเป็นอาหารคาวหรือถ้าดมแล้วมีกลิ่นเปรี้ยวอาจต้องสงสัยว่าอาหารนี้อาจหมดอายุหรือเสื่อมสภาพแล้วซึ่งการทำอาหารนี้นอกจากจะฝึกเรื่องของการใช้จมูกในการดมกลิ่นแล้วยังช่วยฝึกเรื่องการสังเกตและการวิเคราะห์อีกด้วย<br/><br/><p style="text-align: left;"><img src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975955057?profile=original" alt=""/></p>
<br/> <br/>
<strong><font color="#333333">- วิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม</font></strong> เป็นกิจกรรมที่สามารถฝึกการใช้ประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นเพื่อแยกแยะสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเราได้ เช่น การให้ลูกดมกลิ่นดอกไม้ที่ต่างชนิดกันจะทำให้ลูกแยกแยะความแตกต่างๆของดอกไม้แต่ละชนิดได้<br/><br/><p style="text-align: left;"><img src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975956783?profile=original" alt=""/></p>
<br/><br/><br/><br/>จงสอนลูกให้ "รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"/ดร.แพง ชินพงศ์tag:go2pasa.ning.com,2010-05-26:2456660:BlogPost:2733482010-05-26T13:00:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
<div style="text-align: left;"><strong><font color="#333333">การสอนและปลูกฝังให้ลูกเป็นคนที่มีหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แม้จะดูว่าเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินที่ใครๆก็สามารถเรียนรู้ที่จะรักได้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว</font></strong><br></br><strong><font color="#333333">แต่สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรมุ่งเน้นก็คือการสอนให้ลูก "รักให้เป็น"เพราะเมื่อรักเป็นแล้วก็จะเกิดความรู้สึกที่สวยงาม</font></strong><br></br><strong><font color="#333333">สร้างสรรค์และเมื่อเกิดขึ้นกับใครหรือในสังคมใดแล้ว คนๆ…</font></strong></div>
<div style="text-align: left;"><strong><font color="#333333">การสอนและปลูกฝังให้ลูกเป็นคนที่มีหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แม้จะดูว่าเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินที่ใครๆก็สามารถเรียนรู้ที่จะรักได้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว</font></strong><br/><strong><font color="#333333">แต่สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรมุ่งเน้นก็คือการสอนให้ลูก "รักให้เป็น"เพราะเมื่อรักเป็นแล้วก็จะเกิดความรู้สึกที่สวยงาม</font></strong><br/><strong><font color="#333333">สร้างสรรค์และเมื่อเกิดขึ้นกับใครหรือในสังคมใดแล้ว คนๆ นั้นหรือสังคมนั้นๆก็จะมีแต่สิ่งที่ดีงามเกิดขึ้น</font></strong><br/><strong><font color="#333333">
</font></strong><br/><strong><font color="#333333">
</font></strong> ปกติเรามักสอนให้ลูกรักคุณพ่อคุณแม่หรือรักตัวของเขาเอง ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่การสอนและปลูกฝังให้ลูกรู้จักรักผู้อื่นและสิ่งต่างๆรอบตัวด้วยนั้นก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากไม่น้อยไปกว่ากันเลย นั่นเป็นเพราะว่าความรักที่มีให้แก่ผู้อื่นและสรรพสิ่งใดๆจะสามารถสร้างสิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นได้ในสังคมของเรานั่นเอง ซึ่งการสอนให้ลูกเรียนรู้ที่จะรักผู้อื่นหรือสิ่งอื่นใดนั้น<br/>
อาจเริ่มจากผู้คนหรือสิ่งต่างๆ ใกล้ตัว เช่น สอนให้เขารักญาติพี่น้อง รักเพื่อน รักคุณครู รักสัตว์เลี้ยง รักธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม<br/>
<br/>
<font color="#990000">นอกจากนี้</font><font color="#990000">ความรักอีกรูปแบบหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรละเลยที่จะปลูกฝังให้กับลูกตั้ง</font><font color="#990000">แต่เล็กๆ ก็คือความรักที่มีต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ เพราะทั้ง 3</font><font color="#990000">ส่วนนี้มีความสำคัญและเป็นเหมือนรากเหง้าของสังคมไทยตั้งแต่อดีตมาจนถึง</font><font color="#990000">ปัจจุบัน ที่ไม่ว่าจะเป็นคนยุคใดสมัยใด</font><font color="#990000">ก็ควรจะต้องมีความรักอย่างแท้จริงให้</font><font color="#990000">ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกมีความรักต่อชาติ</font> <font color="#990000">ศาสนาและพระมหากษัตริย์ได้ด้วยวิธีการดังนี้</font><br/><font color="#990000">
</font> <br/>
<strong><font color="#333333" size="3">1.</font></strong><strong><font color="#333333" size="3">สอนให้ลูกตระหนักถึงความหมายและความสำคัญของ "ชาติ"</font></strong><br/>
<br/>
ชาติ คือสิ่งที่แสดงถึงที่มาที่ไปและความเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์และตัวบุคคล ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกตระหนักถึงความเป็นชาติไทยให้ลูกมีความรักและภูมิใจในความเป็นชาติไทยได้โดยผ่านประวัติศาสตร์ไทย ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย วัฒนธรรมไทย ภาษาไทย เช่น คุณพ่อคุณแม่บอกให้ลูกรู้ว่าประเทศไทยมีภาษาเป็นของเราเอง ดังนั้น ลูกควรใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องเพื่อแสดงถึงความรักและความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ความเป็นชาติไทยของเรา<br/>
<br/>
<strong><font color="#990000">***วิธีง่ายๆในการปลูกฝังให้ลูกรัก</font></strong><strong><font color="#990000">ชาติ</font></strong><br/>
<br/>
ให้ลูกฟังเพลงชาติ ร้องเพลงชาติเพลงปลุกใจให้รักชาติและฝึกให้ยืนตรงเคารพธงชาติ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่อาจเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยหาหนังสือภาพเกี่ยวกับขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมไทยที่เป็นความภาคภูมิใจให้ลูกได้ดูและอ่าน เช่น ภาพการไหว้ของเด็กๆ ที่น่ารัก อ่อนช้อยและงดงาม ภาพการละเล่นแบบไทยๆ ภาพประเพณีวันสงกรานต์ วันลอยกระทง<br/>
สิ่งเหล่านี้จะช่วยหล่อหลอมและปลูกจิตสำนึกให้ลูกเกิดความรักและความภาคภูมิใจในความเป็นคนชาติไทยได้<br/></div>
<br/><p style="text-align: left;"><img src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975954575?profile=original" alt=""/></p>
<p style="text-align: left;"><br/></p>
<strong><font color="#333333" size="3">2. สอนให้ลูกตระหนักถึงความหมายและความสำคัญของ "ศาสนา"</font></strong><br/>
<br/>
ศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในชาติ ประเทศชาติใดไม่มีหลักศาสนาค้ำจุน ก็จะเกิดปัญหาการขาดศีลธรรมของคนในชาติซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่สามารถทำให้ประเทศชาตินั้นล่มสลายและถูกทำลายลงได้ แม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีคนหลายศาสนาอยู่ร่วมกัน แต่ก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรต้องสอนให้ลูกเรียนรู้ที่จะเข้าใจ<br/>
ให้ความเคารพและรักคนที่นับถือศาสนาต่างจากเรา เพราะไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาใดก็ตามแต่ แก่นแท้ของทุกศาสนาล้วนสอนให้คนเป็นคนดี มีคุณธรรมจริยธรรมทั้งต่อตนเองต่อผู้อื่นและต่อสังคมด้วยกันทั้งสิ้น<br/> <strong><font color="#990000"><br/>***วิธีง่ายๆในการปลูกฝังให้ลูกรักศาสนา</font></strong><br/>
<br/>
คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกได้เข้าใจเรื่องศาสนาตั้งแต่ยังเล็กโดยการสอนให้ลูกรู้จักหลักคำสอนตามศาสนาที่ได้นับถือ<br/>
หรือหากมีเวลาควรพาลูกไปสถานที่สำคัญทางศาสนา เช่น ถ้าเป็นครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธก็พาลูกไปวัด ไปฟังเทศน์ ฟังธรรม ทำบุญ ตักบาตร ถ้าเป็นครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์ก็พาลูกไปนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์วันอาทิตย์<br/>
ถ้าเป็นครอบครัวที่นับถือศาสนาอิสลามก็พาลูกไปมัสยิดเพื่อทำศาสนพิธีกรรมตามหลักศาสนา ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะช่วยทำให้ลูกได้ซึมซับหลักธรรมคำสอนต่างๆเพื่อขัดเกลาจิตใจและจะทำให้เกิดความรักศาสนาหรือเป็นคนที่มีศาสนาอยู่ในหัวใจนั่นเอง<br/><br/><p style="text-align: left;"><img src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975956324?profile=original" alt=""/></p>
<br/><br/><strong><font color="#333333" size="3">3. สอนให้ลูกตระหนักถึงความหมายและความสำคัญของ "พระมหากษัตริย์"</font></strong><br/>
<br/>
พระมหากษัตริย์ของไทยทุกพระองค์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทรงเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของคนไทยทุกคน ทุกพระองค์ทรงดูแลพสกนิกรรักษาเอกราชและพัฒนาประเทศให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขและมีความเจริญรุ่งเรือง ในฐานะคนไทยและลูกหลานไทยจึงต้องรักและเทิดทูนพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด<br/>
<br/>
<font color="#990000"><strong>***วิธีง่ายๆในการปลูกฝังให้ลูกรักพระมหากษัตริย์</strong></font><br/>
<br/>
คุณพ่อคุณแม่ควรเล่าพระประวัติของพระมหากษัตริย์ของไทยทุกพระองค์ให้ลูกฟัง และกล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงยอมสละพระองค์เพื่อรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ เช่น พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้น ทำให้ชาติไทยได้สะสมความรู้ทางวิชาการและศิลปะต่างๆ สืบทอดกันมา, สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกู้อิสรภาพของไทยจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรก,พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่5) ทรงเลิกทาสและพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองเทียบเท่าอารยประเทศ , พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่9)ทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าให้มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินไทยอย่างมีความสุขจวบจนวันนี้ นอกจากนี้การสอนให้ลูกแสดงความเคารพต่อพระมหากษัตริย์ เช่นยืนตรงเมื่อได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมี การไม่พูดจาจาบจ้วงหรือกล่าวหาก็ถือเป็นการปลูกฝังให้ลูกรักสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยเช่นกัน<br/><br/><br/><br/><p style="text-align: left;"><img src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975958532?profile=original" alt=""/></p>
<br/> <br/>
<strong><font color="#333333">การสอนให้ลูกรักชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์ อย่าคิดว่าเป็นเพียงแต่การสอนตามหน้าที่เท่านั้นเพราะในแก่นที่แท้จริงแล้ว การสอนให้ลูกรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์นั้นเปรียบเหมือนการสอนและย้ำเตือนถึงความรักและความภูมิใจที่เรามีต่อตนเองด้วย เพราะจะมีใครสักกี่คนบนโลกใบนี้ที่มีโอกาสได้อยู่อาศัยบนแผ่นดินที่สวยงาม<br/>
ร่มเย็น ไม่อยู่ในอาณัติหรือเป็นเมืองขึ้นใครจะมีสักกี่ที่บนโลกใบนี้ที่จะให้เรามีอิสระในการนับถือศาสนาใดก็ได้โดยไม่ถูกต่อต้านและที่สำคัญจะมีสักกี่คนบนโลกใบนี้ที่โชคดีเหลือเกินที่มีพระมหากษัตริย์ที่รักและอยู่เคียงข้างกับประชาชนเสมอไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุขก็ตาม ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะปฏิเสธไม่ให้เราและลูกของเรารักชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ของเราเอง</font></strong><br/><br/>** ขอบคุณ manager online ค่ะ<br/>
<br/>Mommy...but I'm ready!tag:go2pasa.ning.com,2010-05-17:2456660:BlogPost:2663012010-05-17T03:00:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
<p style="text-align: left;"><img alt="" src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975955338?profile=original"></img></p>
<p style="text-align: left;"><br></br></p>
<p style="text-align: left;">JunJao : Mommy, I want to eat mango..teen.</p>
<p style="text-align: left;"><br></br></p>
<p style="text-align: left;">Op : It's unripe, it's not ready to eat yet.</p>
<p style="text-align: left;"><br></br></p>
<p style="text-align: left;">JunJao : But, I'm ready!!</p>
<p style="text-align: left;"><br></br></p>
<p style="text-align: left;">Op :…</p>
<p style="text-align: left;"><img src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975955338?profile=original" alt=""/></p>
<p style="text-align: left;"><br/></p>
<p style="text-align: left;">JunJao : Mommy, I want to eat mango..teen.</p>
<p style="text-align: left;"><br/></p>
<p style="text-align: left;">Op : It's unripe, it's not ready to eat yet.</p>
<p style="text-align: left;"><br/></p>
<p style="text-align: left;">JunJao : But, I'm ready!!</p>
<p style="text-align: left;"><br/></p>
<p style="text-align: left;">Op : ??!!???!!!???<br/></p>15 วิธีง่ายๆ สร้างลูกให้ฉลาด/ดร.แพง ชินพงศ์tag:go2pasa.ning.com,2010-05-10:2456660:BlogPost:2610302010-05-10T20:00:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
<strong><font color="#333333"><br></br></font></strong>
<p><strong><font color="#333333"><br></br>วันนี้ทีมงาน Life & Family ขอนำเสนอ 15 วิธีปฏิบัติง่าย ๆ<br></br>ที่จะช่วยสร้างให้ลูกของคุณเป็นเด็กฉลาดได้<br></br>ซึ่งวิธีการเหล่านี้ได้รวบรวมมาจากประสบการณ์<br></br>ผลงานวิจัยและแนวคิดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการซึ่งเป็นที่ยอมรับว่า<br></br>เมื่อนำมาใช้กับเด็กแล้วสามารถสร้างลูกให้ฉลาดได้อย่างจริงแท้แน่นอน ดังนี้…<br></br></font></strong><br></br></p>
<strong><font color="#333333"><br/></font></strong>
<p><strong><font color="#333333"><br/>วันนี้ทีมงาน Life & Family ขอนำเสนอ 15 วิธีปฏิบัติง่าย ๆ<br/>ที่จะช่วยสร้างให้ลูกของคุณเป็นเด็กฉลาดได้<br/>ซึ่งวิธีการเหล่านี้ได้รวบรวมมาจากประสบการณ์<br/>ผลงานวิจัยและแนวคิดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการซึ่งเป็นที่ยอมรับว่า<br/>เมื่อนำมาใช้กับเด็กแล้วสามารถสร้างลูกให้ฉลาดได้อย่างจริงแท้แน่นอน ดังนี้<br/></font></strong><br/><font color="#990000"><strong>1.ให้กินนมแม่</strong></font><br/>ผลการวิจัยพบว่าเด็กที่ได้กินนมแม่เป็นเวลา 8-9<br/>เดือนจะมีความฉลาดมากกว่าเด็กที่กินนมแม่เพียง 1-2 เดือน<br/>เพราะในนมแม่มีสารอาหารที่ครบถ้วนเป็นประโยชน์ในการใช้สร้างเซลล์สมองของ<br/>เด็กทารก ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุ<br/>จึงมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของลูกอย่างมาก<br/><br/><strong><font color="#990000">2.ให้ลูกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์</font></strong><br/><br/>อาหารที่ดีและมีประโยชน์ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงแต่ต้องเป็นอาหารที่มีสาร<br/>อาหารครบทั้ง5หมู่ ได้แก่ นม ไข่และเนื้อสัตว์ต่าง ๆ<br/>ซึ่งมีสารโปรตีนช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตแข็งแรง มีภูมิต้านทานดี ข้าว<br/>แป้ง เผือก มัน มีสารคาร์โบไฮเดรต ซึ่งให้พลังงาน<br/>จึงเป็นประโยชน์ต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของลูก พืชผักผลไม้ต่าง ๆ<br/>ให้สารวิตามินและแร่ธาตุเพื่อเสริมสร้างการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย<br/>น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ ให้ความอบอุ่นและพลังงานแก่ร่างกาย ดังนั้น<br/>เมื่อร่างกายสมบูรณ์พร้อม<br/>การเรียนรู้ก็จะสามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพนั่นเอง<br/><br/><strong><font color="#990000">3.เล่นกับลูก</font></strong><br/>ของเล่นที่ดีที่สุดในโลกของลูกคือ <font color="#990000">"พ่อแม่"</font><br/>ดังนั้น<br/>คุณพ่อคุณแม่ที่ไม่สามารถไปหาซื้อของเล่นที่มีขายตามท้องตลาดมาให้ลูกเล่น<br/>ได้ก็ไม่ต้องกังวลใจไปว่าลูกจะไม่มีของเล่นยอดฮิตยอดนิยมเหมือนเพื่อนคนอื่น<br/>ๆ แค่เพียงคุณพ่อคุณแม่เล่นเป็นเพื่อนลูก<br/>ก็ถือว่าเป็นการเล่นที่มีประโยชน์และมีคุณค่าที่สุดแล้ว เช่น เล่นเกมจ๊ะเอ๋<br/>เล่นเกมซ่อนหา หรือเล่นคลานแข่งกับลูก<br/>เพียงแค่นี้ก็ทำให้ลูกสนุกสนานมีความสุข<br/>อีกทั้งช่วยพัฒนาความฉลาดและกระตุ้นการเรียนรู้ของลูกด้วย<br/>ดีกว่าปล่อยให้ลูกนั่งจมกองของเล่นอยู่ตามลำพังอย่างว้าเหว่<br/>เพราะการทำเช่นนี้นอกจากทำให้ลูกไม่มีความสุขอย่างแท้จริงแล้ว<br/>อาจสร้างปัญหาด้านจิตใจและด้านสังคมตามมา<br/>ซึ่งจะมีผลต่อการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของลูกได้<br/><br/><strong><font color="#990000">4.พาลูกออกไปนอกบ้าน</font></strong><br/>เช่น พาไปเดินเล่นสวนสาธารณะในวันหยุด พาไปซื้อของที่ตลาด<br/>เป็นการเปิดสมองและเปิดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีให้กับลูกได้อย่างดีที<br/>เดียว เพราะลูกสามารถเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ผ่านสิ่งที่เขาได้พบเห็น เช่น<br/>ที่ตลาดมีผัก ผลไม้<br/>เนื้อสัตว์หลายชนิดแตกต่างกันไปและมีคนหลากหลายอาชีพมาซื้อของที่ตลาด<br/>เช่นนี้ลูกก็จะได้เรียนรู้เรื่องของพืช<br/>สัตว์และวิถีชีวิตของผู้คนไปพร้อมๆกัน<br/>ซึ่งเป็นการช่วยพัฒนาความฉลาดในด้านการคิดวิเคราะห์และการสังเกตได้ดี<br/><br/><strong><font color="#990000">5.ให้ลูกได้ทำงานศิลปะ</font></strong> เช่น วาดรูป ระบายสี ปั้น ตัดแปะ<br/>นอกจากเป็นการช่วยพัฒนาสมองด้านความคิดสร้างสรรค์<br/>ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อนิ้วและมือแล้ว<br/>ยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ลูกมีอารมณ์อ่อนโยน<br/>มีความสุนทรีย์และเป็นการฝึกสมาธิในตัวอีกทางหนึ่งด้วย<br/>ซึ่งแน่นอนว่าหากลูกเป็นเด็กมีสมาธิดีแล้วก็จะทำให้การเรียนรู้เกิดผลได้ดี<br/>ขึ้น<br/><br/><font color="#990000"><strong>6.ร้อง เล่น เต้นสนุก</strong></font> <font color="#000000">การร้องเพลง</font> การเต้นระบำและเล่นดนตรี<br/>ช่วยพัฒนาความฉลาดของเด็กโดยตรง<br/>เพราะการที่เด็กเรียนรู้เรื่องของจังหวะและการอ่านโน้ตดนตรีจะช่วยพัฒนาสมอง<br/>ซีกซ้ายซึ่งเกี่ยวกับด้านคณิตศาสตร์และการคิดวิเคราะห์<br/>และการที่เด็กได้คิดสร้างสรรค์ท่าทางตามเพลงจะช่วยพัฒนาสมองซีกขวาซึ่ง<br/>เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์นั่นเอง<br/>แต่คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจในการเลือกเพลงที่มีเนื้อหาหรือทำนองที่เหมาะสมกับ<br/>เด็กจริง ๆ<br/>เช่นไม่ควรเลือกเนื้อเพลงที่มีเนื้อหาประเภทชิงรักหักสวาทหรือไม่ควรเลือก<br/>ดนตรีที่มีจังหวะรุนแรงดุดันเพราะอาจกลายเป็นผลร้ายทำให้เด็กมีพฤติกรรม<br/>รุนแรงได้<br/><br/><strong><font color="#990000">7.การอ่าน</font></strong><br/>การอ่านเป็นประตูสู่ความฉลาดอย่างที่ไม่มีใครเถียงได้ ดังนั้น<br/>คุณพ่อคุณแม่ต้องส่งเสริมให้ลูกได้อ่านและคลุกคลีกับหนังสือตั้งแต่เด็ก<br/>แม้ในเด็กเล็กที่ยังอ่านหนังสือเองไม่ได้<br/>คุณพ่อคุณแม่ก็ควรอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟังทุก ๆ วัน<br/>หรือหาหนังสือภาพให้ลูก ๆ ได้ดู<br/>เพราะนั่นจะเป็นการเปิดประตูสู่พัฒนาการที่ดีให้กับลูก<br/>ทั้งช่วยพัฒนาในด้านภาษา ช่วยพัฒนาทักษะการคิด<br/>การมีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ<br/><br/><font color="#990000"><strong>8.เล่นเกม</strong></font><br/>เกมประเภทหมากฮอส หมากรุก ครอสเวิร์ด เกมเศรษฐี ซุโดกุ<br/>ช่วยพัฒนาความฉลาดของลูกในด้านของ การแก้ปัญหา การคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ<br/>การคิดวางแผนและความจำได้เป็นอย่างดี<br/><br/><strong><font color="#990000">9.ออกกำลังกาย</font></strong><br/>การออกกำลังกายนอกจากจะช่วยพัฒนาทางด้านร่างกายของลูกให้เติบโตอย่างแข็งแรง<br/>และมีสุขภาพดีแล้ว ยังเป็นการปลุกสมองของลูกให้ตื่นตัว กระฉับกระเฉง<br/>พร้อมเต็มที่ในการเปิดรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้อย่างง่ายและรวดเร็วขึ้น<br/>ทั้งนี้ควรดูแลให้ลูกออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ ไม่หักโหมและไม่เป็นอันตราย<br/><br/><strong><font color="#990000">10.ให้ลูกเข้าสังคม</font></strong><br/>การให้ลูกได้มีโอกาสไปพบปะผู้คนทุกเพศทุกวัยอยู่เสมอ<br/>เป็นการพัฒนาความฉลาดทางด้านอารมณ์ (EQ)<br/>ซึ่งนอกจากจะทำให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้แล้ว<br/>ยังทำให้ลูกเป็นคนเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น<br/>นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยเปิดมุมมองความคิดและการเรียนรู้ในด้านต่าง<br/>ๆให้ลูกด้วย เช่น ถ้าพาลูกไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่อย่างปู่ย่าตายาย<br/>ท่านก็อาจจะเล่าเรื่องวิถีชีวิตของคนในยุคสมัยก่อนให้ได้ฟัง<br/>ก็ทำให้ลูกได้เรียนรู้เรื่องของประวัติศาสตร์นั่นเอง<br/><strong><font color="#990000">11.พาลูกเข้าครัว</font></strong> ครัวเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีประโยชน์มากสำหรับลูก<br/>การให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการทำอาหารจึงเป็นการช่วยให้ลูกได้พัฒนาความฉลาด<br/>ทางด้านต่างๆมากมาย ทั้งด้านภาษา<br/>โดยเรียนรู้ผ่านชื่ออุปกรณ์การทำอาหารและส่วนผสมของอาหารต่าง ๆ เช่น กระทะ<br/>ตะหลิว ครก สาก น้ำปลา น้ำมัน ทั้งด้านคณิตศาสตร์ โดยเรียนรู้เรื่องการชั่ง<br/>ตวง วัด และทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยเรียนรู้การใช้ประสาทสัมผัสในการสังเกต<br/>เช่น สีของอาหารที่ทอดสุกแล้ว การสัมผัส เช่น ความร้อน ความเย็น<br/>และการชิมเพื่อทราบรสชาติ เช่น รสเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด<br/><br/><strong><font color="#990000">12.ให้ลูกช่วยทำงานบ้าน</font></strong><br/>เช่น รดน้ำต้นไม้ กวาดบ้าน ถูบ้าน เก็บเสื้อผ้า<br/>เป็นการฝึกความรับผิดชอบและยังช่วยฝึกสมองในการวางแผนการทำงาน<br/>การแก้ไขปัญหา การรู้จักคิดอย่างละเอียดลออ<br/><br/><strong><font color="#990000">13.ให้ลูกได้อยู่กับตัวเอง</font></strong><br/>คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้มีโอกาสนั่งเงียบ ๆ<br/>หรือนั่งเล่นสำรวจสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวด้วยตนเองสักประมาณวันละ5-10นาที<br/>เพื่อเป็นการฝึกสมาธิและพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง<br/>ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ลูกกล้าที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง<br/><br/><strong><font color="#990000">14.ให้เวลากับลูก</font></strong><br/>คุณพ่อคุณแม่ควรมีเวลาพูดคุยกับลูกอยู่เสมอ<br/>เพื่อซักถามเรื่องราวในชีวิตของลูกและเพื่อตอบคำถามที่ลูกมีข้อสงสัย<br/>จะเป็นการช่วยให้ลูกได้พัฒนาทักษะการคิด ความมีเหตุมีผล<br/>ทั้งยังส่งเสริมการกล้าแสดงออก และฝึกความมั่นใจในตนเองให้กับเขา<br/>นอกจากนี้การได้พูดคุยกับลูกจะช่วยคุณพ่อคุณแม่ได้สังเกตพฤติกรรมอื่น ๆ<br/>ของลูกด้วย เช่น<br/>ถ้าลูกพูดโดยมีคำที่ไม่สุภาพติดมาก็จะได้ตักเตือนและแก้ไขได้<br/>และจะได้ซักถามว่าลูกไปเอาคำเหล่านี้มาจากไหน เช่น<br/>ถ้าลูกบอกว่าได้ยินจากโทรทัศน์<br/>ก็จะได้ระวังดูแลในการเลือกรายการที่เหมาะสมให้ลูกดู<br/><br/><strong><font color="#990000">15.ให้ความรักกับลูก</font></strong><br/>ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่อบอวลไปด้วยความรัก<br/>ความเข้าใจและการยอมรับซึ่งกันและกัน<br/>ถือเป็นเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตนเองให้แก่ลูกได้ดีที่สุด<br/>ซึ่งความภาคภูมิใจในตนเองนี้จะช่วยทำให้ลูกเป็นคนมองโลกในแง่ดี<br/>เป็นคนมีความฉลาด กล้าคิด<br/>กล้าทำและมีความมั่นใจในศักยภาพของตนเองในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ<br/><br/><font color="#333333"><strong>การที่คุณพ่อคุณแม่ส่งเสริมให้ลูก<br/>เป็นคนฉลาดเป็นสิ่งที่ดี<br/>แต่ในขณะเดียวกันต้องอย่าลืมที่จะส่งเสริมให้ลูกเป็นคนที่มีคุณธรรมหรือจิต<br/>ใจที่ดีงามด้วย เพราะเป็นคนฉลาดอย่างเดียวนั้นไม่พอ แต่ต้องเป็นคนดีด้วย<br/>จึงจะสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างราบรื่น<br/>และถ้าทุกคนในสังคมทั้งฉลาดและทั้งดี<br/>คนไทยก็จะเป็นคนที่มีความสุขและประเทศไทยก็จะเป็นประเทศที่มีแต่ความเจริญ<br/>รุ่งเรืองอย่างแน่นอน</strong></font></p>
<p></p>
<p></p>
<p><font color="#333333"><strong><br/><br/>แหล่งข้อมูลจาก manager online ค่ะ<br/></strong></font></p>There is a solution for every problem!!!tag:go2pasa.ning.com,2010-04-25:2456660:BlogPost:2465332010-04-25T17:30:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
<p>เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จู่ๆก็เกิดความกังวลใจกับภาษาไทยของจันทร์เจ้า เพราะตั้งใจว่าปีหน้าจะให้เข้าเรียนที่เดียวกับต้นกล้าแล้วร.ร.จะเข้าใจเรามั้ยว่า <strong>ทำไมลูกพูดไทยไม่ชัด...เวลาสัมภาษณ์ลูกจะฟังรู้เรื่องมั้ย...จะตอบคำถามได้มั้ย.......</strong></p>
<p></p>
<p>ท้าวความถึง OTOL บ้านเราซะหน่อย...เราทำตามแนวนี้มาได้ 1 ปี 2 เดือนแล้วโดยแม่เป็นคนพูดภาษาอังกฤษกับลูก ทำได้ซักพักแม่ก็ชวนพ่อให้มาพูดภาษาอังกฤษกับลูกด้วย ด้วยหวังว่า จันทร์เจ้าจะได้ฝึกฝนภาษาไทยจากสิ่งแวดล้อม…</p>
<p>เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จู่ๆก็เกิดความกังวลใจกับภาษาไทยของจันทร์เจ้า เพราะตั้งใจว่าปีหน้าจะให้เข้าเรียนที่เดียวกับต้นกล้าแล้วร.ร.จะเข้าใจเรามั้ยว่า <strong>ทำไมลูกพูดไทยไม่ชัด...เวลาสัมภาษณ์ลูกจะฟังรู้เรื่องมั้ย...จะตอบคำถามได้มั้ย.......</strong></p>
<p></p>
<p>ท้าวความถึง OTOL บ้านเราซะหน่อย...เราทำตามแนวนี้มาได้ 1 ปี 2 เดือนแล้วโดยแม่เป็นคนพูดภาษาอังกฤษกับลูก ทำได้ซักพักแม่ก็ชวนพ่อให้มาพูดภาษาอังกฤษกับลูกด้วย ด้วยหวังว่า จันทร์เจ้าจะได้ฝึกฝนภาษาไทยจากสิ่งแวดล้อม และพี่ต้นกล้า.....แต่ไปๆมาๆอีท่าไหนเราไม่ทันรู้ตัว บ้านเราใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันซะเป็นส่วนมาก....โดยลืมไปเลยว่าจันทร์เจ้าอยู่ในสิ่งแวดล้อมปิด วันๆเจอแม่มากที่สุด พี่ต้นกล้ารองลงมา และพ่อน้อยที่สุด....นานๆจะได้เจอญาติพี่น้อง แถมเพื่อนที่ไปมาหาสู่กันต่างก็พูดภาษาอังกฤษกับจันทร์เจ้าแทบทั้งสิ้น...</p>
<p></p>
<p>จนกระทั่งได้ทราบเคสของน้องอันนา (ขอบคุณอ๋อมากที่เอามาแบ่งปัน ทำให้พี่หันมาวิเคราะห์ตัวเอง) จึงเกิดความคิดว่าคงจะต้องให้ลูกพูดไทยมากขึ้นหน่อยเพื่อจะได้ออกไปใช้กับคนภายนอกได้...จนถึงวันนี้เป็นเวลา 3 อาทิตย์ที่ <strong>"ลอง"</strong></p>
<p></p>
<p></p>
<p></p>
<p><strong>ระยะแรก</strong></p>
<p></p>
<p></p>
<ul>
<li>ตอบภาษาไทยช้ากว่าเวลาถามภาษาอังกฤษ</li>
</ul>
<p></p>
<p></p>
<ul>
<li>เรียงประโยคแบบภาษาอังกฤษ เช่น "เจ้าถือแม่กางเกง = Jao hold mommy's pants"</li>
</ul>
<p></p>
<p></p>
<ul>
<li>ถามภาษาไทยตอบภาษาอังกฤษ</li>
</ul>
<p></p>
<p></p>
<ul>
<li>ไม่มีหางเสียง...</li>
</ul>
<p></p>
<p></p>
<p><strong>วันนี้</strong></p>
<p></p>
<p></p>
<p></p>
<p>จันทร์เจ้าพูดได้ยาวๆแล้วค่ะ เรียงประโยคดีขึ้นมาก แถมหางเสียงก็ดีขึ้นมาก.....เชื่อแล้วค่ะว่าสิ่งแวดล้อม(ที่แม้จะมีน้อยนิด)สามารถปรับเด็กได้จริงๆ ที่ผ่านมาจันทร์เจ้าได้ยินภาษาไทยจากแม่คุยกับพ่อ แม่คุย(ดุ อบรม)กับพี่ มาโดยตลอดแต่มีโอกาสที่จะได้ฝึกพูด(โดยเฉพาะกับแม่)น้อยกว่าภาษาอังกฤษ เมื่อแม่ยื่นโอกาสให้ได้ทำ...จันทร์เจ้าก็ทำได้โดยไม่นานนัก..</p>
<p></p>
<p></p>
<p></p>
<p>ตอนนี้หมดข้อกังวลแล้วค่ะ ตั้งใจว่าจะแบ่งเวลาอ่านหนังสือให้เป็นภาษาไทย คุยสัพเพเหระกันก่อนนอน เป็นภาษาไทย...คิดว่าอีกไม่นานภาษาไทยตีเสมอภาษาอังกฤษได้แน่นอน...ส่วนเรื่องพูดไทยไม่ชัดไม่กังวลเลยค่ะ เชื่อว่าเมื่อไหร่เข้าร.ร.จันทร์เจ้าจะมีคนให้เลียนเสียงภาษาไทยมากมาย ถึงตอนนั้นคิดว่าจะดีขึ้นค่ะ</p>
<p></p>
<p></p>
<p></p>
<p>.</p>
<p>.</p>
<p><strong>***ปัจจัยของแต่ละครอบครัวในการสร้างเด็กสองภาษาต่างกัน เลือกเอาแบบที่เหมาะกับครอบครัวตัวเอง..ทำให้มีความสุข..สนุกกับมันนะค่ะ***</strong></p>Why??tag:go2pasa.ning.com,2010-02-25:2456660:BlogPost:1973782010-02-25T16:26:36.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"><font size="5">กินขนมปังไหม้ไปแล้ว มาดูกันว่าทำไมแม่ถึงปิ้งขนมปังไหม้..อ่านแล้วเห็นใจหัวอกแม่ๆ เมียๆ จริงๆ</font></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"><font size="5">l…</font></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"><font size="5">กินขนมปังไหม้ไปแล้ว มาดูกันว่าทำไมแม่ถึงปิ้งขนมปังไหม้..อ่านแล้วเห็นใจหัวอกแม่ๆ เมียๆ จริงๆ</font></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"><font size="5">l</font></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"><font size="5">l</font></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"><font size="5">V</font></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"><font size="5">Why I love mom.........</font></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"><font size="3">Mom & dad were watching TV when mom said ' I'm tired and it's getting late. I think I'll go to bed'. She went to the kitchen to make sandwiches for the next day's lunches. Rinsed out the popcorn bowls, took meat out of the freezer for supper the following evening, checked the cereal box levels, filled the sugar container, put spoons and bowls on the table and started the coffee pot for brewing the next morning. She then put some wet clothes in the dryer, put a load of clothes into the washer, ironed a shirt and secured a loose button. She picked up the game pieces left on the table, put the phone back on the charger and put the telephone book into the drawer. She watered the plants, emptied a wastebasket and hung up a towel to dry. She yawned and stretched and headed for the bedroom. She stopped by the desk, wrote a note to the teacher, counted out some cash for the field trip, and pulled a text book out from hiding under the chair. She signed a birthday card for a friend, addressed and stamped the envelope and wrote a quick note for the grocery store. She put both near her purse.</font></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"><font size="3">Mom then washed her face with 3 in 1 cleanser, put on her night solution & age fighting moisturizer, brushed and flossed her teeth and filed her nails. Daddy called out, 'I thought you were going to bed....' 'I'm on my way' she said. She put some water into the dog's dish then made sure the doors were locked and the patio light was on. She looked in on each of the kids and turned out their bedside lamps and TV's, hung up a shirt, threw some dirty socks into the hamper, and had a brief conversation with the one up still doing homework. In her own room, she set the alarm, laid out clothing for the next day, straightened up the shoe rack. She added three things to her 6 most important things to do list. She said her prayers, and visualized the accomplishment of her goals.</font></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"><font size="3">About that time, Dad turned off the TV and announced to no one in particular. 'I'm going to bed' and he did. With out another thought. Anything extraordinary here? wonder why women live longer...? Cause we are made for the long haul....(and we can't die sooner, we still have things to do!!!!!!)</font></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"><font size="3">เอามาจากฟอร์เวิ้ดเมล์ตามเคยจ้า</font></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"><span style="FONT-SIZE: 9pt"></span></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p></p>
<p class="MsoNormal" style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt; TEXT-ALIGN: justify"></p>
<p></p>Spoiled Children: Preventiontag:go2pasa.ning.com,2010-01-20:2456660:BlogPost:1707112010-01-20T01:30:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
ทำการบ้านห้อง English เกิดไปเจอเรื่องนี้เข้า เลยเอามาฝากชาวหมู่บ้านจ้า<br />
<br />
<b>อ่ะ..ลองแปลดูนะค่ะ อาจจะได้วันละนิดละหน่อย แจมกันได้นะค่ะ</b><br />
------------------------------------------------------------------------------------------------------------<br />
<br />
<b>What is a spoiled child?</b>เด็กเสีย..เสียเด็ก<br />
<br />
<br />
A spoiled child is undisciplined, manipulative, and unpleasant to be with much of the time. He behaves in<br />
many of the following ways by the time he is 2 or 3 years old:…
ทำการบ้านห้อง English เกิดไปเจอเรื่องนี้เข้า เลยเอามาฝากชาวหมู่บ้านจ้า<br />
<br />
<b>อ่ะ..ลองแปลดูนะค่ะ อาจจะได้วันละนิดละหน่อย แจมกันได้นะค่ะ</b><br />
------------------------------------------------------------------------------------------------------------<br />
<br />
<b>What is a spoiled child?</b>เด็กเสีย..เสียเด็ก<br />
<br />
<br />
A spoiled child is undisciplined, manipulative, and unpleasant to be with much of the time. He behaves in<br />
many of the following ways by the time he is 2 or 3 years old: เด็กที่เอาแต่ใจตัวเองคือเด็กที่ไม่มีระเบียบวินัย ต้องได้รับการจัดการ และไม่น่าอยู่ด้วยเลยยยยยย เด็กเอาแต่ใจจะประพฤติตนตามแบบข้างล่างนี้ เมื่ออายุได้ 2-3 ขวบ<br />
<br />
•Doesn't follow rules or cooperate with suggestions.<br />
ไม่ปฏิบัติตามกฏ หรือไม่ร่วมมือตามที่ได้รับคำแนะนำ<br />
•Doesn't respond to "no," "stop," or other commands.<br />
ไม่สนองต่อคำสั่ง "อย่า" "หยุด" หรือคำสั่งอื่นๆ<br />
•Protests everything.<br />
ต่อต้านทุกสิ่งอย่าง<br />
•Doesn't know the difference between his needs and his wishes.<br />
ไม่รู้ถึงความแตกต่างของ "ความต้องการ" และ "ความอยาก"<br />
•Insists on having his own way.<br />
ยืนยันที่จะทำตามแบบตัวเอง<br />
•Makes unfair or excessive demands on others.<br />
มักจะต้องการมากเกินไป และไม่ยุติธรรมต่อผู้อื่น<br />
•Doesn't respect other people's rights.<br />
ไม่เคารพสิทธิของคนอื่น<br />
•Tries to control people.<br />
พยายามที่จะควบคุมคนอื่น<br />
•Has a low tolerance for frustration.<br />
มีความอดทนต่ำ ขี้หงุดหงิด<br />
•Frequently whines or throws tantrums.<br />
มักจะบ่นบ่อยๆ หรือไม่ก็ลงไปชักดิ้นชักงอ<br />
•Constantly complains about being bored.<br />
บ่นว่าเบื่อเสมอๆ<br />
<br />
<b>What is the cause?</b> อะไรเป็นเหตุ..ละเนี่ย<br />
The main cause of spoiled children is lenient, permissive parenting. Permissive parents don't set limits and they give in to tantrums and whining. If parents give a child too much power, the child will become more self-centered. Such parents also rescue the child from normal frustrations. Sometimes a child is cared for by a nanny or baby sitter who spoils the child by providing constant entertainment and by giving in to unrealistic demands. สาเหตุหลักคือ พ่อแม่ที่ยอมตาม ยอมอ่อนข้อให้ ตามใจ. พ่อแม่ที่ตามใจลูกโดยไม่มีข้อกำหนดและปล่อยให้มีการชักดิ้นชักงอเวลา หรือ บ่น. ถ้าพ่อแม่ปล่อยให้เด็กมีอำนาจมาก ลูกก็จะเป็นคนยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง. พ่อแม่เหล่านั้นยังปกป้องลูกจากความผิดหวัง หรือ เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบเสียเด็กจากพี่เลี้ยง ซึ่งมักจัดหาสิ่งบรรเทิงเริงใจ หรือ สนองต่อความต้องการแบบผิดๆ แบบไม่สมกับความเป็นจริง<br />
<br />
The reason some parents are too lenient is that they confuse the child's needs (for example, for feeding) with his wishes (for example, for play). They don't want to hurt their child's feelings or hear him cry. They may choose the short-term solution of doing whatever prevents crying which, in the long run, causes more crying.สาเหตุที่พ่อแม่ยอมตามใจมากไปเพราะ พ่อแม่ไม่ใจลูกว่าลูกต้องการอะไรกันแน่ พวกเค้าไม่อยากให้ลูกร้อง หรือทำร้ายความรู้สึกลูก จึงเลือกใช้วิธีการทำอะไรก็ได้ไม่ให้ลูกร้อง แต่ในระยะยาว วิธีนั้นจะทำให้ร้องมากขึ้นๆ<br />
<br />
A child's ability to cry and fuss deliberately to get his way usually begins at about 5 or 6 months of age. There may be a small epidemic of spoiling in our country because some working parents feel guilty about not having enough time for their children. To make up for this, they spend their free time together trying to avoid the friction that setting limits might cause.<br />
<br />
The difference between giving children the attention they need and spoiling them can be unclear. In general, attention is good for children. However, it can become harmful if it is excessive, given at the wrong time, or always given immediately. Attention from a parent is excessive if it interferes with a child's learning to do things for himself and deal with life's frustrations. Giving attention when you are busy because your child demands it is an example of giving attention at the wrong time. Another example is when a child is throwing a tantrum and needs to be ignored. If attention is always given immediately, your child won't learn to wait.<br />
<br />
Some parents worry about holding and cuddling as a form of attention. Holding babies is equivalent to loving them. In many cultures, parents hold their babies much more than we do in this country. Lots of holding does not spoil a child.<br />
<br />
<b>How long does it last?</b><br />
Without changes in child-rearing, spoiled children run into trouble by the time they reach school age. Other children do not like them because they are too bossy and selfish. Adults do not like them because they are rude and make excessive demands. Eventually spoiled children become hard for even their parents to love because of their behavior. Because they don't get along well with other children and adults, spoiled children eventually become unhappy. They may show decreased motivation and perseverance in their school work. There is also an association with increased risk-taking behaviors during adolescence, such as drug abuse. Overall, spoiling a child prepares a child poorly for life in the real world.<br />
<br />
<b>How do I prevent my child from becoming spoiled?</b><br />
1.Provide age-appropriate limits and rules for your child.<br />
Parents have the right and the responsibility to take charge and make rules. Adults must keep their child's environment safe. Age-appropriate discipline must begin by the age of crawling. Hearing "no" occasionally is good for children. Children need external controls until they develop self-control and self-discipline. Your child will still love you if you say "no" to him. If your kids like you all the time, you're not being a good parent.<br />
<br />
2.Require cooperation with important rules.<br />
Your child must respond properly to your directions long before he starts school. Important rules include staying in the car seat, not hitting other children, being ready to leave on time in the morning, going to bed on time, and so forth. These adult decisions are not open to negotiation. Do not give your child a choice when there is none.<br />
<br />
Give your child a chance to decide about such things as which cereal to eat, which book to read, which toys to take into the tub, and which clothes to wear. Make sure your child understands the difference between areas in which he has choices and areas in which he does not. Try to limit your important rules to no more than 10 or 12, and be willing to take a firm stand about these rules. Also, be sure all of your child's adult caretakers enforce your rules consistently.<br />
<br />
3.Expect your child to cry.<br />
Distinguish between your child's needs and wishes. Needs include relief from pain, hunger, and fear. In these cases, respond to crying immediately. Other crying is harmless and usually relates to your child's wishes. Crying is a normal response to change or frustration. When crying is part of a tantrum, ignore it. There are times when you will have to withhold attention and comforting temporarily to help your child learn something that is important (for example, that he can't pull on your hair or earrings). Don't punish your child for crying, call him a cry-baby, or tell him he shouldn't cry. Avoid denying him his feelings, but don't be moved by his crying.<br />
<br />
Respond to the extra crying your child does when you are tightening up on the rules by providing extra cuddling and enjoyable activities when he is not crying or having a tantrum.<br />
<br />
4.Do not allow tantrums to work.<br />
Children throw temper tantrums to get your attention, to wear you down, to get you to change your mind, and to get their own way. Crying is used to change your "no" to a "yes." Tantrums may include whining, complaining, crying, breath-holding, pounding the floor, shouting, or slamming a door. As long as your child stays in one place and is not too disruptive or in a position to harm himself, you can safely ignore him during a tantrum. By all means, don't give in to tantrums.<br />
<br />
5.Don't overlook discipline during quality time.<br />
If you are a working parent, you will want to spend part of your free time each day with your child. This time needs to be enjoyable, but also reality-based. Don't ease up on the rules. If your child misbehaves, remind him of the limits. Even during fun activities, you need to enforce the rules.<br />
<br />
6.Don't try to negotiate with young children.<br />
Don't give away your power as a parent. When your child reaches the age of 2 or 3 years, have rules, but don't talk too much about them. Toddlers don't play by the rules. Young children mainly understand action, not words. By age 4 or 5, your child will begin to respond to reason about discipline issues, but he still lacks the judgment necessary to make the rules. During the elementary school years, show a willingness to discuss the rules. By age 14 to 16, an adolescent can be negotiated with as an adult. You can ask for his input about what limits and consequences are fair (that is, rules become joint decisions).<br />
<br />
<b>The more democratic a parent is during a child's first 2 or 3 years, the more demanding the child tends to become</b>. In general, young children don't know what to do with power. Left to their own devices, they usually spoil themselves. If they are testing everything at age 3, it is abnormal and needs help. If you have given away your power, take it back (that is, set new limits and enforce them). <b>You don't have to give a reason for every rule. Sometimes it is just because "that's the rule."</b><br />
7.Teach your child to cope with boredom.<br />
Your job is to provide toys, books, and art supplies. Your child's job is to use them. Assuming you talk and play with your child several hours a day, you do not need to be his constant playmate. Nor do you need to always provide him with an outside friend.<br />
<br />
When you're busy, expect your child to amuse himself. Even 1-year-olds can keep themselves occupied for 15 minutes at a time. By age 3, most children can entertain themselves about half of the time. Sending your child off to "find something to do" is doing him a favor. Much good creative play, thinking, and daydreaming come from coping with boredom. If you can't seem to resign as social director, consider enrolling your child in a play group or preschool.<br />
<br />
8.Teach your child to wait.<br />
Waiting helps children learn to deal with frustration. All adult work carries some degree of frustration. Delaying immediate gratification is something your child must learn gradually, and it takes practice. Don't feel guilty if you have to make your child wait a few minutes now and then (for example, when you are talking with others in person or on the telephone). Waiting doesn't hurt a child as long as it isn't excessive. His perseverance and emotional fitness will be improved.<br />
<br />
9.Don't rescue your child from normal life challenges.<br />
Changes such as moving and starting school are normal life stressors. These are opportunities for learning and problem solving. Always be available and supportive, but don't help your child with situations he can handle by himself. Overall, make your child's life as realistic as he can tolerate for his age, rather than going out of your way to make it as pleasant as possible. His coping skills and self-confidence will benefit.<br />
<br />
10.Don't overpraise your child.<br />
Children need praise, but it can be overdone. Praise your child for good behavior and following the rules. Encourage him to try new things and work on difficult tasks, but teach him to do things for his own reasons too. Self-confidence and a sense of accomplishment come from doing and completing things that he is proud of. Praising your child while he is in the process of doing something may cause him to stop at each step, expecting more praise. Giving your child constant attention can make him praise-dependent and demanding. Avoid the tendency (especially common with the first-born) to overpraise your child's normal development.<br />
<br />
11.Teach your child to respect the rights of adults.<br />
A child's needs for love, food, clothing, safety, and security obviously come first. However, your needs are important too. Your child's wishes (for example, for play or an extra bedtime story) should come after your needs are met and as time allows. This is especially important for working parents where family time is limited.<br />
<br />
Both the quality and quantity of time you spend with your child are important. Quality time is time that is enjoyable, interactive, and focused on your child. Children need some quality time with their parents every day. But spending every free moment of your evenings and weekends with your child is not good for your child or for you. You need a balance to preserve your mental health. Scheduled nights out with your spouse or friends will not only nurture your adult relationships, but also help you to return to parenting with more to give. Your child needs to learn to accept separations from his parents. If he isn't taught to respect your rights, he may not learn to respect the rights of other adults.<br />
<br />
<br />
แหล่งข้อมูล <a href="http://www.med.umich.edu/1libr/pa/pa_prevspo_hhg.htm">www.med.umich.edu/1libr/pa/pa_prevspo_hhg.htm</a>Tips of the day!!tag:go2pasa.ning.com,2010-01-07:2456660:BlogPost:1630882010-01-07T01:00:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
สวัสดีปีใหม่ค่ะ<br></br>
<br></br>
ฤกษ์งามยามดี เอาเรื่องราว เคล็ดลับดีๆมาแชร์กันต้นปีเลยนะค่ะ<br></br>
อ๊อบพยายาม search หาข้อมูลเพื่อจะเอามาแชร์กับเพื่อนๆแต่หาไม่เจอซักที ใจจริงไม่อยากเขียนเองเลยกลัวผิด..แต่เอ้า..ผิดเป็นครูๆ (แต่ถ้าถูกเป็นครูใหญ่..อ่ะป่าว อิอิ) ขอใช้ความรู้ ความทรงจำสมัยเรียนมาเรียบเรียงถ้าใครอยากแจม..ได้เลยนะค่ะ..ร่วมด้วยช่วยกันๆ<br></br>
<br></br>
เห็นช่วงหลังๆนี่คุณบิ๊กนำเสนอเรื่อง "การออกเสียง" ซึ่งมีประโยชน์มากๆ ถ้าเราชะลอสปีดในการสร้างเด็กสองภาษาลงนิดนึงเพื่อมาศึกษาการออกเสียง…
สวัสดีปีใหม่ค่ะ<br/>
<br/>
ฤกษ์งามยามดี เอาเรื่องราว เคล็ดลับดีๆมาแชร์กันต้นปีเลยนะค่ะ<br/>
อ๊อบพยายาม search หาข้อมูลเพื่อจะเอามาแชร์กับเพื่อนๆแต่หาไม่เจอซักที ใจจริงไม่อยากเขียนเองเลยกลัวผิด..แต่เอ้า..ผิดเป็นครูๆ (แต่ถ้าถูกเป็นครูใหญ่..อ่ะป่าว อิอิ) ขอใช้ความรู้ ความทรงจำสมัยเรียนมาเรียบเรียงถ้าใครอยากแจม..ได้เลยนะค่ะ..ร่วมด้วยช่วยกันๆ<br/>
<br/>
เห็นช่วงหลังๆนี่คุณบิ๊กนำเสนอเรื่อง "การออกเสียง" ซึ่งมีประโยชน์มากๆ ถ้าเราชะลอสปีดในการสร้างเด็กสองภาษาลงนิดนึงเพื่อมาศึกษาการออกเสียง รับรองว่าเราจะได้เด็กสองภาษาแบบมีคุณภาพมากๆ คือไม่ต้องมาแก้กันใหม่<br/>
<br/>
อ๊อบเลยขอเอาเรื่องนี้มาเสริม เพื่อให้การออกเสียงภาษาอังกฤษของเรา "สวย" ยิ่งขึ้น<br/>
<br/>
คือ <b>การออกเสียงของ K (Ch) / P / T เมื่ออักษรเหล่านี้ตามหลัง S และ X</b><br/>
<br/>
K = เขอะ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ตามหลัง S --- K จะกลายเป็น เกอะ เช่นเดียวกับ Ch<br/>
เช่น Skim / Sky / Skin / Schedule / School<br/>
<br/>
P = เพอะ แต่พอตามหลัง S ปุ๊บ จะออกเสียงเป็น เปอะ ปั๊บ<br/>
เช่น Spring /Sprite / Spot<br/>
<br/>
T = เทอะ แต่เมื่อตามหลัง S เทอะก็กลายเป็น เตอะ..ซะงั้น<br/>
เช่น Star / Steam / Stop<br/>
<br/>
<b>อย่า..อย่า</b>..อย่าเพิ่งเชื่อนะคะ ลองเช็คเสียงเหล่านี้ก่อน <a href="http://www.thefreedictionary.com">www.thefreedictionary.com</a><br/>
<br/>
ใครมี Tips ดีๆ เอามาแชร์กันนะค่ะ<br/>
<br/>
ปล.เคยเอา tips นี้ไปเล่าให้เพื่อนชาวอังกฤษฟัง อันเนื่องมาจากเค้ามาเรียนภาษาไทยแล้วออกเสียง เตอะ เปอะ ไม่ได้<br/>
ฝรั่งถึงกะงง..เฮ้ย ภาษาอังกฤษของกระผม (ของตรู) มีเคล็ดลับแบบนี้ด้วยหรอ<br/>
<br/>
<p style="text-align: left;"><img src="http://storage.ning.com/topology/rest/1.0/file/get/1975951273?profile=original" alt=""/></p>
<br/>
<br/>
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------<br/>
<br/>
<b>เพิ่มเติมค่ะ</b><br/>
<br/>
นอกจากตามหลัง S แล้วทำให้เสียงอักษรเหล่านั้นออกเสียงเปลี่ยนไป ยังรวมไปถึงเวลาที่ตามหลัง X ด้วย เช่น<br/>
<br/>
Expert / Experience / Expire / Extinguisher / Extra เป็นต้น<br/>
<br/>
แต่อ๊อบนึกศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วย Ex แล้วมี K or Ch ตามหลังยังไม่ได้เลย ใครนึกออกเอามาแจมกันหน่อยนะค่ะ<br/>
<br/>
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------<br/>
<br/>
อ้อ!!! ลืมบอกไปอย่างนึงค่ะไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคำที่ขึ้นต้นด้วย S นะค่ะที่ทำให้ K / P / T เปลี่ยนเสียงไป<br/>
เป็นคำที่มี s แทรกกลางก็ได้ เช่น Asparagus / Downstairs /<br/><br/>-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------<br/><br/><br/>Such a touching story!!.....ซึ้งงงงงงง!!tag:go2pasa.ning.com,2009-10-01:2456660:BlogPost:1031972009-10-01T18:30:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
เช้านี้ตื่นขึ้นมาฝนตกพรำๆ ต้อนรับวันปิดเทอมของต้นกล้า<br />
<br />
ตื่นมาป่วนแต่เช้า..หาอะไรให้ลูกทำดีกว่า<br />
<br />
Op : Tonkla, come & help.<br />
TK : What's that mommy?<br />
Op : Help me fold these cloths, I'll donate them to people in Philipine..donate means give...there was heavy rain in Phillipine and water is everywhere, so people can not stay in their house....ลูกชายบอก...อ๋อ น้ำท่วมๆๆ Yes that's called Flood. Every where is full of water, do you think they will cold or not?<br />
TK : Yes<br />
Op : So.....what we can help…
เช้านี้ตื่นขึ้นมาฝนตกพรำๆ ต้อนรับวันปิดเทอมของต้นกล้า<br />
<br />
ตื่นมาป่วนแต่เช้า..หาอะไรให้ลูกทำดีกว่า<br />
<br />
Op : Tonkla, come & help.<br />
TK : What's that mommy?<br />
Op : Help me fold these cloths, I'll donate them to people in Philipine..donate means give...there was heavy rain in Phillipine and water is everywhere, so people can not stay in their house....ลูกชายบอก...อ๋อ น้ำท่วมๆๆ Yes that's called Flood. Every where is full of water, do you think they will cold or not?<br />
TK : Yes<br />
Op : So.....what we can help them is to share our unused cloths.<br />
ระหว่างพับไปลูกชายก็บ่น ตัวโน้นก็ไม่ให้ ตัวนี้ก็ไม่ให้<br />
TK : No, not this one mommy...I like baseball (เสื้อมีรูปเบสบอล รัดติ้ว)<br />
Op : It's too small for you now. If you don't give it to them, it will just stay in the wardrope...forever.<br />
TK : Ok.<br />
.<br />
.<br />
TK : Not this one mommy...this is my favorite (รู้จักใช้คำนี้แล้วค่ะ....เสื้อก็รัดติ้วเช่นเคย)<br />
Op : It's too small and you don't need it anymore...it will become someone's favorite too...think about it this shirt can be the favorite of you & someone else...<br />
TK : Ok.<br />
.<br />
.<br />
ระหว่างที่แม่ก็นั่งจมกองผ้า ลูกชายก็ไปรื้อๆที่กล่องของเล่น...อ้าว...ไหนว่าจะช่วยกันเนี่ย...<br />
<br />
TK : <b>Mommy, I can give them my toy. My old toy can be their new toy.</b>ทำไมต้อง 2 ภาษา???tag:go2pasa.ning.com,2009-09-19:2456660:BlogPost:956722009-09-19T02:00:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
เมื่อปลายเดือนที่แล้วได้มีโอกาสแอบแว่บหนีเวป 2 ภาษาไปทำงาน 3วัน งานที่ว่านั่นคือไปช่วยประสานงาน เป็นล่ามให้กับบ.server บ.นึงของสิงคโปร์ที่เค้าเข้ามาประมูลงานของธ.ไทย สาเหตุที่ต้องมีล่ามเพราะพนง.ธนาคารไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้....<br />
<br />
งานหินเชียวล่ะคะ...เพราะศัพท์แสงทั้งหลายที่เค้าพูดกันก็เป็นภาษา Finance บอกได้ว่าว่า...ทั้งมึน...ทั้งงง...<br />
ภาษาอังกฤษที่เรารู้มาเป็นแค่พื้นฐานมากๆ ถ้าเทียบกับพวกเค้า พูดถึงพนง.ธนาคาร จริงๆแล้วเค้าสามารถฟัง Presentation ได้เข้าใจทั้งหมด…
เมื่อปลายเดือนที่แล้วได้มีโอกาสแอบแว่บหนีเวป 2 ภาษาไปทำงาน 3วัน งานที่ว่านั่นคือไปช่วยประสานงาน เป็นล่ามให้กับบ.server บ.นึงของสิงคโปร์ที่เค้าเข้ามาประมูลงานของธ.ไทย สาเหตุที่ต้องมีล่ามเพราะพนง.ธนาคารไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้....<br />
<br />
งานหินเชียวล่ะคะ...เพราะศัพท์แสงทั้งหลายที่เค้าพูดกันก็เป็นภาษา Finance บอกได้ว่าว่า...ทั้งมึน...ทั้งงง...<br />
ภาษาอังกฤษที่เรารู้มาเป็นแค่พื้นฐานมากๆ ถ้าเทียบกับพวกเค้า พูดถึงพนง.ธนาคาร จริงๆแล้วเค้าสามารถฟัง Presentation ได้เข้าใจทั้งหมด เพราะศัพท์ก็เป็นศัพท์เทคนิคที่พวกเค้าเรียนมาทั้งนั้น แต่ทำไมต้องให้มีล่ามล่ะ...เพราะเค้าไม่สามารถพูดได้ หรือพูดได้ก็ไม่กล้าพูด เพราะอายเพื่อนร่วมงานด้วยกัน...ทั้งๆที่คำถามบางคำที่เค้าให้เราแปลก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถของพนง.ธนาคารเลย<br />
<br />
ตลอดการ Presentation โดยคนสิงคโปร์ สำเนียงภาษาอังกฤษของเค้าอยู่ในเกณฑ์ธรรมดา สำเนียง Singlish แต่ฟังได้เข้าใจหมด เพราะลีลาเค้าเป็นธรรมชาติมากๆ เหมือนเป็นภาษานึงของเค้า คล่องปาก ใครถามไรเค้าก็ตอบได้ โดยไม่เคอะเขิน....ทำให้เราคิดอยู่ตลอดเวลาเลยว่า เออ..ที่เราปูพื้นภาษาอังกฤษให้ลูกเรามาถูกทางแล้วล่ะ เราอาจจะไม่ได้สอนถึงขั้นล้ำลึกจนไปประกอบอาชีพอย่างคนพวกนี้ได้ แต่พื้นฐานและทัศนคติที่เราวางไว้ให้ ก็หวังว่าเค้าจะเอาไปต่อยอดให้กับหน้าที่การงานในอนาคตเค้าเองได้ไม่มากก็น้อย........ปัญหาแรกของการไม่ได้เรียนร.ร.2ภาษาของต้นกล้า!!!!tag:go2pasa.ning.com,2009-08-01:2456660:BlogPost:683202009-08-01T16:21:22.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
เฮ้อ................<br />
<br />
มีเรื่องให้คิดหนักจนได้คร้าบบบบบ..พี่น้อง..<br />
<br />
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ลูกชายกลับมาบ้านรายงานว่า ครูฝึกสอนที่ร.ร.บอกว่าต้นกล้าเรียนไทยโปรแกรม ให้พูดภาษาไทยไม่ให้พูดภาษาอังกฤษ ก็สอบถามเจ้าลูกชายช่างพูดของเราว่าแล้วลูกไปพูดอะไรกับเพื่อนล่ะ "ต้นกล้าก็แค่ชี้รูป sheep cow horse อะไรแค่นั้นเองแม่ แต่ครู(ฝึกสอน)บอกว่าไม่ให้พูดภาษาอังกฤษ" แค่นั้นไม่พอ เวลาไปรับลูกเราก็พูดภาษาอังกฤษตามแบบที่เราฝึกกันมาอยู่แล้ว ต้นกล้าเอามือมาปิดปากเราแล้วก็ทำเสียง "จุ๊ๆๆๆ"…
เฮ้อ................<br />
<br />
มีเรื่องให้คิดหนักจนได้คร้าบบบบบ..พี่น้อง..<br />
<br />
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ลูกชายกลับมาบ้านรายงานว่า ครูฝึกสอนที่ร.ร.บอกว่าต้นกล้าเรียนไทยโปรแกรม ให้พูดภาษาไทยไม่ให้พูดภาษาอังกฤษ ก็สอบถามเจ้าลูกชายช่างพูดของเราว่าแล้วลูกไปพูดอะไรกับเพื่อนล่ะ "ต้นกล้าก็แค่ชี้รูป sheep cow horse อะไรแค่นั้นเองแม่ แต่ครู(ฝึกสอน)บอกว่าไม่ให้พูดภาษาอังกฤษ" แค่นั้นไม่พอ เวลาไปรับลูกเราก็พูดภาษาอังกฤษตามแบบที่เราฝึกกันมาอยู่แล้ว ต้นกล้าเอามือมาปิดปากเราแล้วก็ทำเสียง "จุ๊ๆๆๆ" ไม่ให้เราพูด........<br />
<br />
ร้อนอาสน์คร้าบบบ..พี่น้อง..<br />
<br />
วันรุ่งขึ้นเลยขอเข้าพบครูประจำชั้น ถามครูว่าลูกเราทำพฤติกรรมไรที่ยอมรับไม่ได้ ตรงๆเลยก็คือ ลูกเราพูดภาษาอังกฤษมากจนเว่อร์ไปรึป่าว ครูประจำชั้นบอกว่า ไม่เลย ไม่ได้ทำอะไรที่ดูแปลกแยกไปจากเพื่อนเลย ก็เลยต้องรายงานให้ครูประจำชั้นทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายเรา ครูเค้าก็บอกว่าเค้าเสียใจที่ครูฝึกสอนทำแบบนี้ แต่พอยท์หลักของเราคือแล้วความมั่นใจที่ไอ้เจ้าลูกชายเราเสียไปอ่ะ จะฟื้นฟูไงดี...ครูประจำชั้นรับปากว่าจะไปจัดการให้.....................<br />
<br />
จากเรื่องนี้ ทำให้คิดทบทวนอ่ะค่ะว่าการที่เราคิดว่า ให้ลูกเรียนสามัญแล้วเราสอนภาษาอังกฤษเองตามแนวนี้ไปเรื่อยในขณะที่สิ่งแวดล้อมของลูกไม่ได้เอื้อกับการเป็นเด็ก 2 ภาษาเท่าที่ควรจะเป็นปัญหากับเค้าต่อไปในอนาคตมั้ย......????On your mark...Get set...Go!!!tag:go2pasa.ning.com,2009-07-25:2456660:BlogPost:658832009-07-25T05:30:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
<u><b>วิธีเริ่มนะค่ะ</b></u><br />
<br />
1 อ่านหนังสือให้จบ แล้วอย่าให้ใครยืมนะค่ะ ต้องคอยเอามาอ่านบ่อยๆเผื่อลืม<br />
<br />
2 หาแรงบันดาลใจให้เจอ<br />
<br />
3 สร้างเงื่อนไขในการให้ลูกพยายามพูดภาษาอังกฤษเช่น อยากได้ช้อกโกแลต ต้องขอเป็นภาษาอังกฤษ กล่าวขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษด้วยฯลฯ<br />
<br />
4 ให้ภารกิจการเรียนการสอนครั้งนี้เป็นไปด้วยความสนุก อย่ากดดัน<br />
<br />
5 การ์ตูน ทั้งหลายให้ดูเป็นภาษาอังกฤษ เด็กๆชอบเลียนแบบการ์ตูน แนะนำ Caillou เรื่องนี้มีคำพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวันเยอะค่ะ อีกเรื่องนึงคือ Wonder pets อันนี้มีเพลงด้วยเพลง น่ารักค่ะ…
<u><b>วิธีเริ่มนะค่ะ</b></u><br />
<br />
1 อ่านหนังสือให้จบ แล้วอย่าให้ใครยืมนะค่ะ ต้องคอยเอามาอ่านบ่อยๆเผื่อลืม<br />
<br />
2 หาแรงบันดาลใจให้เจอ<br />
<br />
3 สร้างเงื่อนไขในการให้ลูกพยายามพูดภาษาอังกฤษเช่น อยากได้ช้อกโกแลต ต้องขอเป็นภาษาอังกฤษ กล่าวขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษด้วยฯลฯ<br />
<br />
4 ให้ภารกิจการเรียนการสอนครั้งนี้เป็นไปด้วยความสนุก อย่ากดดัน<br />
<br />
5 การ์ตูน ทั้งหลายให้ดูเป็นภาษาอังกฤษ เด็กๆชอบเลียนแบบการ์ตูน แนะนำ Caillou เรื่องนี้มีคำพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวันเยอะค่ะ อีกเรื่องนึงคือ Wonder pets อันนี้มีเพลงด้วยเพลง น่ารักค่ะ ลูกๆที่บ้านชอบ คุณพ่อคุณแม่นั่งดูกะลูกด้วยนะคะ<br />
<br />
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------<br />
<br />
ประสบการณ์ของตัวเองที่ใช้สอนลูกคนโต<br />
<br />
ทำไงดี..ลูกโตแล้ว ถนัดภาษาไทยไปซะแล้ว????<br />
<br />
1 สั้นๆ - เริ่มด้วยวลีสั้นๆ จะจำได้ดี ยิ่งคำถามคือคำตอบได้ยิ่งดี เพราะจะเกิดการเลียนแบบ<br />
2 ง่ายๆ - ใช้คำศัพท์ง่ายๆ อย่าเน้นศัพท์ยาก<br />
3 บ่อยๆ - ยิ่งประโยคไหน คำไหนเค้ายอมพูดออกมาแล้ว เร่งกระตุ้นถามคำถามแบบนั้นบ่อยๆ จะจำแม่น<br />
<br />
ขโมยวลีจากในการ์ตูนเรื่องโปรด เลียนเสียงคาร์แรคเตอร์ในการ์ตูนมาพูดกะเค้า เค้าจะชอบมากๆๆ<br />
พอเค้ายอมพูด..ต้องชื่นชมมากๆๆ สร้างกำลังใจให้ผมหน่อยคร้าบบบบบบบ :D<br />
<br />
<br />
จากประสบการณ์ของอ๊อบ คือพอสังเกตุได้ว่าเค้าเริ่มพูดเป็นวลีสั้นๆได้มากขึ้น บ่อยขึ้น นั่นแสดงถึงการตอบรับที่ดี เริ่มไม่ต่อต้าน อ๊อบก็เริ่มพูดคุยในรูปประโยคที่เป็น Proper English มากขึ้น<br />
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------Next Steptag:go2pasa.ning.com,2009-05-20:2456660:BlogPost:385362009-05-20T17:00:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
อีกก้าวนึงของต้นกล้า<br />
<br />
หลังจากได้หนังสือ Clifford มาจากร้านคุณลุงหลายเล่ม วันแรกเริ่มประเดิมอ่านให้ต้นกล้าฟัง<br />
ต้นกล้าทำท่าไม่สนใจ ตั้งท่าจะต่อต้านเพราะชอบให้อ่านนิทานอีสปก่อนนอนมากกว่าเหมือนกับว่า พูดมาตั้งเยอะเกือบทั้งวันแล้ว ช่วงก่อนนอนขอให้เป็นช่วงที่เค้าเลือกได้เถอะ ซึ่งแม่ก็หยวนให้ทุกครั้ง ใช้กลอุบายหลอกล่อบ้าง สลับกันบ้าง<br />
<br />
ผลตอบรับกับ Clifford ตั้งใจฟังอยากมาก ถามอะไรก็ participate ตลอด<br />
<br />
Mommy : There are many ..... in library<br />
TonKla : ต้นกล้าเติมให้ว่า book<br />
Mommy : You must be very…
อีกก้าวนึงของต้นกล้า<br />
<br />
หลังจากได้หนังสือ Clifford มาจากร้านคุณลุงหลายเล่ม วันแรกเริ่มประเดิมอ่านให้ต้นกล้าฟัง<br />
ต้นกล้าทำท่าไม่สนใจ ตั้งท่าจะต่อต้านเพราะชอบให้อ่านนิทานอีสปก่อนนอนมากกว่าเหมือนกับว่า พูดมาตั้งเยอะเกือบทั้งวันแล้ว ช่วงก่อนนอนขอให้เป็นช่วงที่เค้าเลือกได้เถอะ ซึ่งแม่ก็หยวนให้ทุกครั้ง ใช้กลอุบายหลอกล่อบ้าง สลับกันบ้าง<br />
<br />
ผลตอบรับกับ Clifford ตั้งใจฟังอยากมาก ถามอะไรก็ participate ตลอด<br />
<br />
Mommy : There are many ..... in library<br />
TonKla : ต้นกล้าเติมให้ว่า book<br />
Mommy : You must be very ....<br />
TonKla : quiet<br />
Mommy : It is polite to be quiet when you are in the library<br />
TonKla : polite คือไร<br />
ถามภาษาไทยแต่แม่ตอบภาษาอังกฤษไปว่า<br />
Mommy : Polite is the good thing to do like when you talk to mommy you have to say Krab<br />
ต้นกล้าเก็ตเลยว่า Polite คือ สุภาพ<br />
ไหนๆกะลังเก็ตถามต่อเลย<br />
Mommy : Is it polite to talk while eating? (ยกตัวอย่างเรื่องนี้เพราะจะพูดว่า Don't talk while eating ทู้กวัน)<br />
TonKla : No.<br />
Mommy : Good.<br />
<br />
หลังจากอ่าน Clifford เสร็จ ด้านหลังจะมี Quiz ให้ด้วย<br />
ข้อแรก ง่าย ตอบได้..ก็โอเค<br />
<br />
พอถึงข้อที่ให้เรียงลำดับเหตุการณ์<br />
What happened first / next / last ?<br />
ต้นกล้าเรียงได้ถูกหมด...โอ่ววววววววววว<br />
ดีใจจัง คงเหมือนที่แม่ๆทุกคนดีใจเวลาเห็นอีกก้าวนึงของลูก.....<br />
<br />
ปลื้ม :D<br />
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------<br />
<br />
22 May 2009<br />
<br />
วันนี้อ่าน Clifford เป็นวันที่ 3 คิดว่าเรื่องนี้คงจะเหมาะกับวัยของต้นกล้า<br />
เพราะดูรอคอยที่จะได้ฟัง รอคอยที่จะได้ตอบ Quiz รอคำชมจากแม่<br />
ก่อนอ่านจะบอกลูกทุกครั้งว่าให้ตั้งใจฟัง จะได้ตอบคำถามได้ถูก<br />
ทั้งๆที่ใจอยากบอกว่าจะได้มีสมาธิแต่กลัวจะยากไปสำหรับเด็กจะเข้าใจ<br />
ต่อไปจะเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นบ้าง แล้วคิดคำถามเอาเอง..น่าสนุก :D<br />
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------<br />
<br />
24 May 2009<br />
<br />
นั่งเลยเพลินๆ เลยแอบถาม<br />
Mommy : TonKla, Tell me the place there are many books is called....<br />
TonKla : Library.<br />
Mommy : Can you run or play there?<br />
TonKla : No..No..not polite<br />
Mommy : Grrrrrrreat!!!!<br />
<br />
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------Notes for Parents!tag:go2pasa.ning.com,2009-05-16:2456660:BlogPost:362512009-05-16T17:43:34.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
'<br />
'<br />
Start by reading the book aloud to your child, taking time to talk about the pictures. This is will help your child see that pictures often give clues about the story.<br />
<br />
Over a period of time, try to read the same book several times so that your child becomes familiar with the story and the words and phrases. Gradually your child will want to read the book aloud with you. It helps to <b>run your finger under the words as you say them</b>.<br />
<br />
Occasionally, stop and encourage your child to…
'<br />
'<br />
Start by reading the book aloud to your child, taking time to talk about the pictures. This is will help your child see that pictures often give clues about the story.<br />
<br />
Over a period of time, try to read the same book several times so that your child becomes familiar with the story and the words and phrases. Gradually your child will want to read the book aloud with you. It helps to <b>run your finger under the words as you say them</b>.<br />
<br />
Occasionally, stop and encourage your child to continue reading aloud with you. Join in again when your child needs help. This is the next step toward helping your child become an independent reader.<br />
<br />
Finally, your child will be ready to read alone. Listen carefully to your child and give plenty of praise.<br />
<br />
Remember to make reading an enjoyable experience.<br />
<br />
<br />
<b><u>Remember these four important stages</u></b>:<br />
<br />
* Read the story <b>to</b> your child.<br />
<br />
* Read the story <b>with</b> your child.<br />
<br />
* Encourage your child to read <b>to you</b>.<br />
<br />
* Listen to your child read <b>alone</b>.<br />
<br />
<br />
เอามาจากในหนังสือลูกค่ะ :)กลัวลูกหาว่า "งก"tag:go2pasa.ning.com,2009-04-11:2456660:BlogPost:220912009-04-11T09:00:00.000Zอรนัย รักในหลวงhttp://go2pasa.ning.com/profile/oranai_tk_jj
เมื่อตั้งใจจะสอนลูกทั้งสองให้เป็นเด็กสองภาษา สร้างได้โดยพ่อแม่ (เปลี่ยนสโลแกนซะงั้น) ก็เริ่มทำทันที แต่ทะเลาะกับพ่อนิดหน่อยเพราะแย่งกันสอนภาษาอังกฤษ แต่ให้รู้ซะบ้างในบ้านน่ะ "ครายยยยยหญ่ายยยยยย"<br />
<br />
ลูกคนโต 4 ขวบ 9 เดือน ค่อนข้างยากตรงที่เค้าถนัดภาษาไทยไปซะแล้ว แต่ยังดีที่มีทุนเดิมจากคำศัพท์ทั้งหลายที่คอยป้อนให้ และสำเนียงที่แม่เน้นนักเน้นหนาว่าสำคัญไม่น้อยนะลูก<br />
ลูกคนเล็ก 1 ขวบ 7 เดือน เริ่มพูดได้นิดหน่อย แต่ก็ยังง่ายหน่อย…
เมื่อตั้งใจจะสอนลูกทั้งสองให้เป็นเด็กสองภาษา สร้างได้โดยพ่อแม่ (เปลี่ยนสโลแกนซะงั้น) ก็เริ่มทำทันที แต่ทะเลาะกับพ่อนิดหน่อยเพราะแย่งกันสอนภาษาอังกฤษ แต่ให้รู้ซะบ้างในบ้านน่ะ "ครายยยยยหญ่ายยยยยย"<br />
<br />
ลูกคนโต 4 ขวบ 9 เดือน ค่อนข้างยากตรงที่เค้าถนัดภาษาไทยไปซะแล้ว แต่ยังดีที่มีทุนเดิมจากคำศัพท์ทั้งหลายที่คอยป้อนให้ และสำเนียงที่แม่เน้นนักเน้นหนาว่าสำคัญไม่น้อยนะลูก<br />
ลูกคนเล็ก 1 ขวบ 7 เดือน เริ่มพูดได้นิดหน่อย แต่ก็ยังง่ายหน่อย ป้อนไรก็รับ<br />
<br />
แล้วก็โชคดีที่มีลูกสองคน<br />
เวลาพี่ชายงอแงไม่อยากให้แม่พูดภาษาอังกฤษ ก็ใช้ลูกสาวเป็นเครื่องมือ เช่น สอนน้องให้แม่หน่อย หรือ ถ้าลูกเบื่อแม่สอนน้องคนเดียวก็ได้ (หายเบื่อแทบไม่ทัน หุหุหุ)<br />
สอนกันไปมา น้องสาวเลียนแบบพี่ชาย พี่ชายก็ภูมิใจ แม่ก็สบาย :D<br />
<br />
บางครั้งก็เหนื่อยนะเพราะนึกไม่ออก จะบอกให้ลูกสาว "เงยหน้า" จะเช็ดคอให้ก็นึกไม่ออก ถ้าเราพูดแบบแปลไทยเป็นอังกฤษมันมีกรอปเยอะจริงๆ บางทีต้องเลี่ยงรูปประโยคไปเป็นแบบอื่น แต่คงความหมายเดิม (ลูกรู้มั้ยเนี่ยว่า มันไม่ง่ายเลยนะลูก)<br />
แต่อยากบอกพ่อแม่ทุกคนที่กำลังจะสร้างเด็กสองภาษาว่าถ้าเราพูดบ่อยๆเดี๋ยวคำต่างๆมันจะหลั่งไหลมาเอง<br />
<br />
ต้องขอบคุณคุณพงษ์ระพีสำหรับแรงบันดาลใจและแนะนำให้รู้จักเพื่อนที่ดีอย่าง 'Caillou'<br />
คุณแพท ที่ปรึกษากิติมศักดิ์ (คุณแพทอาจจะไม่รู้ตัว อิอิ) และเปิ้ล เพื่อนที่มีสามีเป็นฝรั่งที่คอยให้คำปรึกษาเวลานึกคำไม่ออก บางทีท้อๆก็บ่นกะเปิ้ล<br />
เปิ้ลบอกว่า อย่าเบื่อเลย เรารู้แล้วไม่บอกลูก เดี๋ยวลูกโตไป กลับมาว่าเราได้นะว่า แม่ "งก" จัง รู้อะไรดีๆก็ไม่แบ่งกันบ้างเลย :)