ป้้าเเนทเอามาฝาก (อีกละ) - Dress Code เเต่งตัวออกงานอย่างไรให้ถูกกาละเทศะ

บทความนี้ป้าเเนทเอามาฝากคุณพ่อ - คุณเเม่โดยเฉพาะเลยค่ะ
เผื่อมีโอกาสได้ไปออกงาน จะได้เเต่งตัวได้อย่างถูกต้อง สง่างามค่ะ ^_^


แต่งกายตาม “Dress Code” อย่างไร? ให้ถูกกาลเทศะ

Urban Chic” “Smart Chic” “Smart Casual” อาจเป็นคำที่หลายคนคุ้นชิน
โดยเฉพาะนักออกงานสังคมตัวยง ที่มักจะพบคำๆ นี้ปรากฏบนการ์ดเชิญแสนเก๋ ที่เจ้าภาพร่อนมาให้ ภาษาอังกฤษคำเก๋ๆ เหล่านี้ คือ Dress Code หรือ คำกำหนดลักษณะการแต่งตัวให้กับแขกสวมใส่ไปร่วมงานได้อย่างเหมาะสม แม้คำๆ นี้จะไม่คุ้นหูคนทั่วไปมากนัก
แต่การสวมใส่เสื้อผ้าตามกาลเทศะนั้น คนไทยให้ความใส่ใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

หมู-พลพัฒน์ อัศวะประภา ที่ปรึกษาส่วนตัวด้านแฟชั่นแห่งสยามพารากอน
กล่าวถึงความสำคัญของ Dress Code ว่า อันที่จริงคนไทยให้ความสำคัญกับการแต่งตัวให้ถูกกาลเทศะ โดยเฉพาะ การเข้าร่วมงานประเพณีของบ้านเรา เช่นแต่งกายสีดำไปร่วมงานศพ แต่งกายสุภาพไปงานทำบุญ แต่หากนำมาใช้ในงานสากล คนไทยยังไม่คุ้นเคยมากนัก เพราะคำๆ นี้ เป็นฟังก์ชั่นของฝรั่ง แต่ถ้าให้พูดง่ายๆ คำว่า Dress Code ก็คือ
การแต่งตัวตามกาลเทศะนั่นเอง

"การแต่งตัวตาม Dress Code นั้น สื่อได้หลายอย่าง ที่สำคัญเป็นการให้เกียรติตัวเอง ให้เกียรติเจ้าภาพที่เชิญเรา และยังสะท้อนความเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้น หากใครได้รับบัตรเชิญ และในบัตรกำหนดเดรสโค้ดมาให้ ก็อย่าอายที่จะสวมเสื้อผ้าให้ถูกกาลเทศะของงาน" หมูกล่าว

สำหรับงานที่แจกการ์ดเชิญ และกำหนด Dress Code ส่วนใหญ่จะเป็นทั้งงานที่เป็นทางการ
และงานปาร์ตี้สนุกสนานทั่วไป ดังนั้น การแต่งกายให้ถูกกาลเทศะและเข้ากับงานนั้นจึงสำคัญอย่างยิ่ง

เริ่มจากงานที่เป็นทางการ ซึ่งกำหนด Dress Code อย่าง Black Tie
- ผู้ชายควรใส่สูททักซิโด้
- ส่วนผู้หญิงควรสวมชุดราตรีให้ดูหรูหรา



ส่วน White Tie งานอาจทอนความเป็นทางการลงมาหน่อย
- ผู้ชายสวมสูทแบบเต็มยศ ที่สำคัญควรมีเสื้อกั๊กสวมไว้ด้านในสูท
- ผู้หญิงใส่ชุดราตรี หรืออาจมีผ้าคลุมไหล่ และสวมถุงมือ



แต่หากในการ์ดเขียนไว้ว่า
Lounge Suit
- ผู้ชายควรสวมสูทสีเข้ม
- ผู้หญิงอาจเปลี่ยนจากชุดราตรียาว เป็นชุดค็อกเทล




นอกจาก นั้น ยังมี Dress Code สำหรับงานที่เป็นทางการอื่นๆ อีก
เช่น
Black Tie Optional หรือ Creative Black Tie
- ผู้ชายก็จะแต่งกายแบบ Black Tie หรือจะใส่สูทสีดำกับเสื้อเชิ้ตดำก็ได้
จะผูกเนคไทหรือไม่ผูกก็แล้วแต่
- ส่วนผู้หญิงควรใส่เดรสสั้นที่ดูเป็นทางการ หรือชุดค็อกเทลหรูนิดๆ




ส่วนคำว่า
Semi-Formal มักจะใช้กับงานแต่งงานที่จัดหลัง 6 โมงเย็นไปแล้ว
แขกเหรื่อก็สามารถใส่ลูกเล่นให้กับชุดได้มากขึ้น
- ผู้ชายอาจใส่เพียงสูทสีเข้ม
- ผู้หญิงจะใส่เดรสสั้น หรือชุดค็อกเทล หรือจะใส่กางเกงสแล็กกับเสื้อคัตติ้งเนี้ยบๆ แทนก็ได้




คำว่า Cocktail Attire นั้น
- ผู้ชายอาจเปลี่ยนสูทเป็นเสื้อแจกเก็ตสีเข้ม กับกางเกงสีก็ได้ ไม่จำเป็นต้องผูกเนคไท
- ในขณะที่ผู้หญิงควรใส่ชุดค็อกเทล หรือเดรสสั้นเท่านั้น ไม่ควรใส่กางเกงเป็นอันขาด




หมูอธิบายการสวมใส่ชุดไปงานที่เป็นทางการว่า
“ผู้ที่ไปร่วมงาน Black Tie ควรให้ความสำคัญกับการแต่งกายเป็นอย่างมาก เพราะงานค่อนข้างเป็นทางการ แต่ปัจจุบันได้ลดความเป็นทางการลงบ้างแล้ว สำหรับใครที่ไม่มีทักซิโด้ ก็ไม่ใช่เรื่องผิด อาจใส่สูทสีดำ เสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเนคไทสีดำก็ได้ แต่ที่สำคัญไม่ควรใส่สูทสีอ่อน กางเกงยีนส์ หรือกางเกงผ้าสีพื้นเด็ดขาด”

ส่วนการแต่งกายตาม Dress Code ในลักษณะ Casual
ปัจจุบันเจ้าของงาน ได้หาคำแฟชั่นต่างๆ มากำหนดการแต่งกายให้เข้ากับคอนเซ็ปต์งาน
ดูมีสีสันยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Smart Casual, Urban Chic, Casual Chic หรือคำแปลกใหม่ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นเพียงลูกเล่นของการจัดงาน แต่ที่สำคัญ แขกที่ไปร่วมงานก็ควรหาชุดลำลองที่ดูสุภาพ และถูกกาลเทศะ เช่นเดียวกัน

หมูแนะนำ การแต่งตัวประเภทลำลองแบบสุภาพว่า คำว่าลำลองในที่นี้ ไม่ควรเป็นกางเกงขาก๊วย เสื้อยืด และคงไม่ต้องถึงกับผูกเนคไท
- ผู้ชายควรสวมแจกเก็ตที่ดูไม่เป็นทางการนัก หรืออาจจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีเรียบ กางเกงควรเป็นกางเกงขายาว รองเท้าหุ้มส้น หรือคัชชู
- ส่วนผู้หญิงสามารถใส่กางเกงได้ จะสั้นหรือยาว ก็ขึ้นอยู่กับงาน
เพราะเดี๋ยวนี้กางเกงขาสั้นก็ถูกนำมาใช้กับแฟชั่นมากขึ้น ชุดไม่ควรดูรุ่มร่าม
ที่สำคัญรองเท้าอาจมีส้นเล็กน้อย ไม่ควรเป็นแตะหนีบ



“เดรสสั้นที่ดูไม่เป็นทางการสามารถนำมาใส่ในงานปาร์ตี้ได้
แต่หากเป็นชุดค็อกเทลที่เน้นผ้าชีฟอง มีปัก มีเลื่อม คงทำให้ดู เกินคำว่าแคชชวลเกินไป
บางคนฉลาด ไปงานค็อกเทลใส่กระโปรงยาวกับเสื้อปัก พอไปงานแคชชวล
ก็เอาเสื้อปักมาใส่กับกางเกงให้ดูแคชชวลขึ้น ก็สามารถทำได้

การแต่งกายที่สำคัญของงานแคชชวล คือ ไม่ควรเป็นชุดหรูหรา กรุยกราย
เช่น ทำจากผ้าชีฟอง มีปัก มีเลื่อม เพราะมันจะดูมากเกินไป”
หมูแนะนำ

ส่วนการแต่งกายในงานธีมปาร์ตี้ แขกสามารถแต่งกายได้สุดโต่ง ไม่ว่าจะเป็นธีมทหาร
ธีมแฟนซี หรือธีมของประเทศต่างๆ แต่ที่สำคัญ แขกต้องดูลักษณะของเจ้าภาพ และธรรมชาติของงานเป็นหลัก หากแขกรู้ว่าเจ้าภาพเป็นคนสุดโต่ง ก็สามารถทุ่มกับการแต่งกายให้เข้ากับธีมงานนั้นได้เลย แต่หากรู้จักเจ้าภาพเพียงผิวเผิน อาจจะแต่งแค่ให้ดูมีกลิ่นอายเท่านั้น

Dress Code เหล่านี้เป็นตัวอย่าง ซึ่งเราอาจจะเจอคำแปลกๆ เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น หากไม่เข้าใจก็อย่าอายที่จะโทร.ไปถามเจ้าภาพหรือผู้รู้ ว่าควรแต่งกายแบบไหน
และที่สำคัญที่สุด อย่าอายที่จะแต่งกายตาม Dress Code !!!

ที่มา : ผู้จัดการ