สอนลูกเองก็ได้...ง่ายจัง15 : เด็ก 2 ภาษา พ่อแม่สร้างได้

Chik : Yo, Wassup, dude ? Pom : Nothing much. Just come to see if anybody is around. Hi there!!!!!! Hey! Look out your head. Chik : (Bang!!!) OUCH!!!!!!! Pom : Serve you right! ฉิก : อูย! เจ็บหัวจัง หวัดดีครับ ก่อนที่จะงงไปกว่านี้ ขอเปลี่ยนmodeกลับมาเป็นภาษาไทยก่อนนะครับ ทุกท่านคงจะสงสัยนะครับ ว่าวันนี้ผมกับคุณป้อมกำลังทำอะไรกันอยู่ คือบังเอิญเรากำลังฝึกพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันกันอยู่น่ะครับ เรื่องของเรื่องคือ ผมไปเจอหนังสือเล่มนึงที่ถูกอกถูกใจมาก เกี่ยวกับการสอนลูกให้พูดภาษาอังกฤษได้ดีตั้งแต่เล็กๆน่ะครับ เลยอยากลองฝึกพูดภาษาอังกฤษกันดูก่อน แล้วว่าจะลองไปใช้กับลูกบ้างน่ะครับ อ้อ! ลืมบอกไป หนังสือเล่มที่ว่าชื่อ "เด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้" คุณป้อมได้ลองอ่านดูแล้วใช่มั้ยครับ ป้อม : Yep!!! อ่านแล้วครับ และ ก็ทึ่งมากๆ Awesome and cool !!!! ฉิก : อะไรนะครับ มันน่ากลัว และ หนาวมากเลยหรือครับ ป้อม : Nope! ม่ายช่ายครับ หมายถึง พระเจ้าจ๊อด มันยอดมากต่างหากครับ ฉิก : เอ่อ! วันนี้ทำไมศัพท์แสงแปลกๆเต็มไปหมด ผมมึนแล้วนะเนี่ย ป้อม : นี่ล่ะครับ เขาถึงเรียกกันว่า"ภาษาพูด"ไงครับ แต่มันจะออกแนวแสลงไปซักหน่อย คุณเลยไม่ค่อยคุ้นน่ะ พูดถึงเรื่องนี้ ผมอยากจะบอกว่า คนไทยเราเนี่ยเรียนภาษาอังกฤษมาก็เยอะ แต่เรียนกันเข้าไป เรียนกันเป็นสิบๆปีจนจบมหาลัยมาแล้วก็ยังพูดกับฝรั่งไม่ค่อยได้ เจอฝรั่งนี่เป็นต้องหลบกันหมดเลย ทั้งๆที่ส่วนใหญ่เราก็อ่านและเขียนภาษาอังกฤษกันได้ค่อนข้างดี แต่ทักษะการพูดการฟังพวกเรายังจัดอยู่ในขั้นที่เรียกว่า"แย่"เลยนะครับ เรื่องการพูดการฟังเนี่ย ถือเป็นหัวใจของการสื่อสารเลย เพียงแต่เราไม่ค่อยได้รับการฝึกกันตรงนี้ และ ไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้จริง เราก็เลยไม่ค่อยมีความมั่นใจตรงนี้น่ะครับ เอาง่ายๆ ตั้งแต่การออกเสียงคำในภาษาอังกฤษ เราก็มักจะออกเสียงกันตามความเคยชิน แต่หารู้ไม่ว่ามันเพี้ยนไปไกลเลย เช่น ไหนคุณลองออกเสียงคำว่า table กับ manage ให้ผมฟังหน่อยซิครับ ฉิก : โอ๊ย! หมูมาก ก้อ "เทเบิ้ล" กับ "มาเหนจ" ไงล่ะครับ ป้อม : นี่ล่ะครับ accent แบบที่เราถนัดกัน จริงๆแล้วเขาออกเสียงหนักที่พยางค์แรก และ พยางค์หลังเขาจะออกสระเสียงสั้นๆเบาๆ มากกว่า ออกเสียงเต็มเสียงแบบที่เราคุ้นเคย ดังนั้น table ก็เลยออกเสียงว่า เท้-บึ่ล manage ออกเสียงว่า แม้น-นิ่จ แล้วไหนคุณลองออกเสียงคำว่า police กับ giraffe ให้ผมฟังซิ ฉิก : OK คราวนี้ไม่พลาดแล้ว "โปลิซ" กับ "ยีราฟ" ใช่มั้ย ป้อม : ปล่าว คุณโดนหลอกแล้ว จริงๆมันต้อง stress ที่ตัวหลังครับ ตัวแรกออกเสียง เออะ เบาๆสั้นๆ ต้องอ่าน เพอะ-ลี่ซ กับ เจยอะ-ร่าฟ ฉิก : เฮ้ย! อะไรมันจะออกเสียงพิสดารขนาดนั้นล่ะครับ ไม่เห็นคุ้นเลย ป้อม : นั่นล่ะครับ เราออกเสียงแบบที่เราคุ้นเคย แต่ฝรั่งมันฟังไม่รู้เรื่อง เพราะ เขาไม่ได้พูดกันแบบที่คนไทยเราถนัดนิ่ครับ สมัยเด็กๆ มีเพื่อนผมคนนึง ชื่อ ไอ้กะปิ ชั่วโมงภาษาอังกฤษ มันตอบคำถามอาจารย์เรื่องเมืองหลวงของอังกฤษชื่อว่าอะไร มันตอบว่า "ลั้น-ดึ่น" พอตอบออกมาเท่านั้นแหล่ะ เพื่อนๆทั้งห้องหัวเราะกันครืนเลย หาว่ามันดัดจริต หารู้ไม่ว่าไอ้กะปิน่ะพูดออกเสียงถูกแล้ว แล้วเป็นไงล่ะ ตอนนี้มันบินไปทำงานอยู่ที่อเมริกาสบายใจเฉิบแล้ว ผมและเพื่อนๆยังต้องเตร็ดเตร่ต๊อกต๋อยแถวนี้กันอยู่เลย อีกอันคือ บางทีประโยคง่ายๆที่เราใช้ในชีวิตประจำวันเราก็นึกกันไม่ค่อยออก เช่น ไหนลองพูดประโยค "ผมแค่ล้อเล่นน่ะ"ในภาษาอังกฤษดูซิครับ ฉิก : เอ่อ อ่า....อะไรกันฟะ ล้อเล่นนี่มัน wheel-play อ๊ะก้อไม่ใช่นี่หว่า เอางี้ๆ....... I tell you something that is not true. หรือว่า...... I mislead you as a joke or tease. เฮ้อ! มันแปลกๆวุ้ย เอาเป็นว่า.. I lie to you for fun.ดีกว่าครับ ป้อม : จริงๆเขาพูดกันง่ายๆว่า I'm just kidding.ก็พอแล้วครับ เห็นไหมครับว่า บางทีเราก็รู้คำศัพท์ตั้งเยอะแยะ แต่ก็เอามาใช้กันไม่ค่อยถูก ที่พูดไปทั้งหมดเนี่ยสะท้อนให้เห็นเลยว่าเราอาจกำลังเรียนมาแบบผิดทาง และ เอาไปใช้สื่อสารจริงๆไม่ค่อยได้ ฉิก : แล้วเราจะทำยังไงกันดีครับ ส่งลูกไปเรียน รร.อินเตอร์ หรือ ไปอยู่เมืองนอกแต่เล็กๆเลยดีมั้ยครับ ป้อม : เป็นที่น่ายินดีครับว่า มีคุณพ่ออยู่คนนึง ชื่อคุณพงษ์ระพี ซึ่งเขาก้อเป็นคนไทยนี่แหล่ะ เขาสังเกตเห็นพวกเด็กลูกครึ่งที่มีพ่อหรือแม่เป็นฝรั่งและไทย สามารถพูดได้ชัดเจนทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย เขาก็เกิดความสงสัย และ พยายามไปค้นหาข้อมูลมากมาย และ สรุปได้ว่าเขาต้องพยายามให้ลูกเขาเป็นเด็กสองภาษาให้ได้ตั้งแต่ยังเล็กๆเลย ฉิก : ฮ้า!!!! ทำได้ไงล่ะครับ คือแบบพวกเด็กลูกครึ่งเนี่ย ผมยังพอเข้าใจนะครับ แต่ถ้าพ่อแม่คนไทยแบบเราๆท่านๆจะทำได้เหรอครับ ป้อม : ทำได้ครับ และ เขาก็ทำมาแล้ว โดยมีผลงานเป็นรูปธรรมชัดเจนซะด้วย คุณลองดู clip vdo นี้ดูก่อนครับ เป็นลูกสาวของเขาเอง ชื่อ น้องเพ่ย เพ่ย ลองดูนะครับ ฉิก : โอ้! amazing มากๆๆๆๆๆครับ เอ๋! ผมชักสงสัยแล้วว่า เขาแอบไปจ้างฝรั่งมาสอนที่บ้านรึเปล่าเนี่ย ป้อม : เปล่าเลยครับ ผมอ่านในหนังสือ และ ลองแวะเข้าไปดูใน http://www.2pasa.com มาแล้ว เขาทำได้จริงครับ คือเขาใช้เทคนิค OPOL หรือ One parent, one language น่ะครับ ตัวคุณพ่อเองจะพูดแต่ภาษาอังกฤษกับลูกตลอดเวลาตั้งแต่เกิดเลย ไม่พูดไทยกับลูกเลย ส่วนคุณแม่ก็รับหน้าที่พูดภาษาไทยกับลูก โดยให้เด็กได้เรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติ คือ ให้พูดให้ฟังบ่อยๆ ทำซ้ำๆ จนทำได้ โดยยังไม่ต้องเน้นว่าต้องพูดถูกหลักgrammarเป๊ะๆ และ ไม่ต้องฝึกอ่านฝึกเขียนไปด้วย แต่ให้ฝึกฟังฝึกพูดเป็นหลัก ฉิก : เอ...แล้วเด็กเขาจะไม่สับสนเหรอครับ เดี๋ยวภาษาไทย เดี๋ยวภาษาอังกฤษ ป้อม : นี่ละครับ ความมหัศจรรย์ของสมองเด็ก ว่ากันว่า วัยทองของการฝึกภาษานี่อยู่ที่ 2 ปีแรกของชีวิตเลยล่ะครับ เพราะ สมองเด็กจะมีplasticityหรือความยืดหยุ่นสูงมาก จะปรับตัวและเรียนรู้อะไรได้ไวสุดๆ โดยเฉพาะเรื่องภาษา แรกๆที่เด็กยังมีคลังคำศัพท์ไม่มาก เด็กอาจจะพูดสลับกันทั้ง 2 ภาษา เช่น " Look! This dog is ตลกจัง" อะไรแบบนี้ แต่เราต้องค่อยๆสอน ค่อยๆให้พูดซ้ำบ่อยๆ โดยไม่ต้องแปลเป็นไทย และ พ่อหรือแม่คนนึงต้องพยายามใช้ภาษาอังกฤษตลอด เด็กเขาก้อจะรู้โดยอัตโนมัติว่าเวลาคุยกับพ่อต้อง speak English พอหันมาคุยกับแม่ก็พูดไทยปร๋อเลย ฉิก : แล้วถ้าพ่อแม่ไม่เก่งภาษาอังกฤษก็แย่ซิครับ ป้อม : ไม่หรอกครับ คุณพงษ์ระพีก็ยอมรับว่าเขาเองก็ไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย แต่เขาก็พยายามฝึกฝน และ ถือว่าเรียนรู้ไปพร้อมๆกับลูกด้วย พอได้ใช้ได้พูดบ่อยๆ เขาเองก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นไปด้วยน่ะครับ นอกจากนั้นเขายังเอา Baby sign มาใช้ได้อย่างน่าสนใจอีกด้วย ฉิก : แต่ถ้าอย่างนั้น สำเนียงเด็กที่ได้จะไม่เหมือนสำเนียงอังกฤษแบบไทยๆอย่างเราเหรอครับ ป้อม : นี่ล่ะครับ ถึงบอกว่าเราต้องมาฝึกพูดภาษาอังกฤษแบบฝรั่งเขายังไงล่ะ คุณพงษ์ระพีแกจะพยายามเช็คสำเนียงที่ถูกต้องจากหลายๆแหล่ง เช่น http://www.thefreedictionary.com ที่มีคำศัพท์ที่clickให้มันออกเสียงให้ฟังได้บ่อยๆ หรือ อาจจะใช้ talking dict หรือ ฟังจากipod หรือ เครื่องเล่นmp3 ซึ่งผมยกย่องในความพยายามของเขามากเลยครับ และตัวเด็กเองก็จะได้ฟังสำเนียงภาษาอังกฤษจากเจ้าของภาษาแท้ๆใน dvd ที่คุณพงษ์ระพีแกเลือกมาแล้วว่าดีจริง เช่น Baby Einstein, Mommy & me ,Caillou , Wonder Pets , Kipper เป็นต้น ฉิก : แล้วถ้าลูกเราโตแล้ว ก็คงแย่ซิครับ สายเกินไปแล้วมั๊ง ป้อม : ไม่มีคำว่าสายเกินไปหรอกครับ คุณสามารถเริ่มเลยตั้งแต่วันนี้ก็ได้ เพียงแต่คุณต้องมีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงความเคยชินบางอย่าง และ คิดซะว่าเราได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษไปพร้อมๆกับเด็กน่ะครับ คุณอาจไม่ต้องใช้ระบบ OPOL แบบนั้นก่อนก็ได้ อาจลองแบบ One time of day, one language ดูก่อน คือ ลองsetเวลาซักช่วงนึงของวัน เช่น ตอนไปรับส่งลูกที่รร. ตอนกินข้าวเย็น หรือ ตอนก่อนนอน ชวนลูกพูดภาษาอังกฤษกันทุกวัน แล้วค่อยๆขยับเพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆ แรกๆก็อาจมีเขินๆกันบ้าง หรือ คนอื่นอาจจะมองเราด้วยสายตาแปลกๆ ก็ไม่เป็นไรครับ แกล้งมั่วนิ่มแบบเนียนๆว่าเราเป็นมาเลย์ สิงคโปร์ไปเลยก็ได้ ที่สำคัญ คือ เราและลูกต้องมีแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้าที่จะร่วมกันพัฒนาภาษาอังกฤษแบบชนิดที่ว่าฟัง และ พูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งมันรู้เรื่องน่ะครับ มันถึงจะทำตรงนี้ได้ดี ฉิก : OK , Sound's good! ถ้าใครอยากสนใจ และ อยากรู้อะไรดีๆมากกว่านี้ ลองไปหาหนังสือ "เด็กสองภาษา พ่อแม่สร้างได้" ที่ร้านหนังสือใกล้บ้านท่านมาอ่านกันดูนะครับ ได้ข่าวว่าขายดีมากเลย และ แวะเข้าไปดูใน http://www.2pasa.com ดูนะครับ ที่นั่นมีเครือข่ายพ่อแม่ และ มีclip vdoที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะแยะเลย วันนี้คงไว้แค่นี้ก่อน ไว้เจอกันใหม่นะครับ See ya!!!!!!!!!! pomjom.bloggang.com Create Date : 05 มีนาคม 2552
Load Previous Comments
  • คุณแม่ปู

    คุณแม่พูด E ไม่เป็นเลย แต่ดูจากรายการครอบครัวเดียวกันแล้ว อยากให้ลูกเก่งอย่างนั้นบ้าง น้อง ๆ เก่งจริง ๆ ต้องชมคุณพ่อกับคุณแม่ด้วยค่ะ
  • แม่น้องข้าวหอม

    คุณแม่พูดอังกฤษสำเนียงเพียนมากๆๆ เลยค่ะแต่จะพยายามให้มากขึ้นค่ะ เพราะอยากให้น้องเค้าเก่งบ้างนะค่ะ ขอบคุณมากนะค่ะ
  • ขวัญเรือน

    ซื้อมาอ่านแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้เริ่มจริงจัง นักแต่ว่าจะพยายามค่ะ